ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1087 : ทัศนคติของทวยเทพ

ราชันเร้นลับ 1087 : ทัศนคติของทวยเทพ

การยกเลิกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์… จัดสอบข้าราชการ… ยอมให้โบสถ์หลักมีอำนาจในกองทัพ… สิ่งเหล่านี้มองผิวเผินอาจดูเหมือนกระแสแห่งกาลเวลา แต่แก่นแท้กลับเป็นการสยบและทำให้ขุนนางอ่อนแอลง คอยเกื้อหนุนชนชั้นใหม่… เมื่อเทียบกับกฎในอดีตที่มีมายาวนานกว่าพันปี กฎเหล่านี้ถือว่าแหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย และเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืด…

ในช่วงสิบปีหลัง รูปแบบสถาปัตยกรรมเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อย…

การที่โรซายล์ได้ครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ และตะกอนพลังของลำดับ 1 ในเส้นทางจักรพรรดิมืด นั่นแปลว่าองค์กรลึกลับโบราณคงลงทุนลงแรงไปไม่น้อย บางสิ่งอาจถึงขั้นจัดหาให้ด้วยตัวเอง… แล้วในตอนที่จักรพรรดิร่วงหล่น ใครเป็นคนนำตะกอนพลังเหล่านั้นไป?

แบร์นาแดตหมกตัวอยู่ที่เบ็คลันด์ในช่วงหลายเดือนหลัง และก่อนหน้านั้นก็แวะมาบ่อยครั้ง…

เฮ้อ… ปัญหาสำคัญก็คือ รสนิยมเกี่ยวกับความไม่สมมาตรของจักรวรรดิในยุคสมัยที่สี่ ทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อนไป เข้าใจผิดว่าเงื่อนไขซึ่งต้อง ‘แหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย’ จะต้องแปลกและขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี สิ่งใดคือความปรกติ? คำตอบก็คือ สิ่งที่ทุกคนเคยชินแล้ว เรื่องที่ทุกคนไม่รู้สึกต่อต้านกับมัน… จากชนเผ่ากลายเป็นแคว้น จากศักดินากลายเป็นสาธารณะรัฐ ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นการ ‘แหวกวัฒนธรรมของยุคสมัย’ หรอกหรือ? การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากโหยหาของเก่า…

สำนวนที่ว่า ‘คนหัวโบราณจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง’ สรุปเรื่องนี้ได้ดีมาก…

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่เทพไม่เข้ามาแทรกแซง การปฏิวัติที่เป็นเงื่อนไขของจักรพรรดิมืดจะต้องเกิดขึ้นอย่างมิอาจเลี่ยง ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น… เมื่อกระแสแห่งเวลาถาโถม ไม่ว่าใครก็ยากที่จะหยุด พี่ชายอามุนด์ช่างเป็นนักประพันธ์ที่เก่งกาจ…

สิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านในโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตคงจะเป็นอนุสาวรีย์บรรจุศพที่มีลักษณะคล้ายพีระมิด พิจารณาจากข้อกำหนดของพิธีกรรม สิ่งนี้จำเป็นต้องก่อสร้างโดยแรงงานจำนวนมาก จึงไม่แปลกที่จะมีเหตุการณ์คนหายเกิดขึ้นในเขตตะวันออก รวมถึงการค้าทาสทางทะเล และอีกมากมาย…

เมื่อสงครามดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง จะมีการใช้ข้ออ้างทำนองว่า ขอสวดวิงวอนแด่ชัยชนะ หรือไม่ก็ไว้ทุกข์ให้กับทหารที่เสียชีวิต ทำการระดมผู้คนมารวมตัวตามเมืองใหญ่เป็นจำนวนมากเพื่อประกอบพิธีกรรมสังเวย…

อา… เมื่อหลายปีก่อน ราชวงศ์โลเอ็นได้ครอบครองมงกุฎจากจักรวรรดิไบลัม จากนั้นก็เชื่อมโยงพระนามของกษัตริย์ด้วยตำแหน่งจักรพรรดิ…

เป็นแผนที่แนบเนียนมาก!

เมื่อได้สติจากคำถามของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ความติดไคลน์เริ่มตึงเครียด ข้อมูลมากมายแล่นเข้ามาในหัว รวมถึงคำถาม

ชายหนุ่มจ้องหน้า ‘ผู้เฝ้าประตู’ เจ้าของร่างกายผอมแห้ง ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่ขาดเลือด ก่อนจะกล่าวหลังจากไตร่ตรอง

“จอร์จที่สามต้องการเป็นจักรพรรดิมือด้วยตัวเอง? แต่เขายังไม่ใช่ลำดับ 4 ด้วยซ้ำ…”

ต่อให้จอร์จที่สามเตรียมการล่วงหน้าและทำให้ตัวเอง ‘มีพรสวรรค์’ จนสามารถลดผลข้างเคียงและตราประทับวิญญาณที่เหลือจากโอสถ ไคลน์ก็ไม่เชื่อว่าลำดับ 5 จะกลายเป็นเทพได้ในการดื่มโอสถเดียว เว้นเสียแต่จะโชคดีอย่างมากซึ่งโอกาสนั้นแสนริบหรี่

และการพึ่งพาพลังในขอบเขตโชคชะตาก็คงไม่ ‘เพียงพอ’ เพราะแม้แต่ ‘อสรพิษปรอท’ วิลอัสตินซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคชะตา ก็ยังไม่กล้าฝืนปรองดองกับ ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ โดยตรง แต่มองหาหนทางอย่างรอบคอบ

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอหลังจากได้ยิน:

“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าจอร์จที่สามอยู่แค่ลำดับ 5? แน่ใจได้อย่างไรว่าจอร์จที่สามที่ถูกตรวจสอบเป็นตัวจริง ไม่ใช่ตัวตนที่ถูกจินตนาการขึ้นหรือผู้ไร้หน้าระดับเทวทูตสักตน? แม้สิ่งเหล่านี้จะทำได้ยาก แต่สำหรับคนขี้ระแวงบางคน นั่นเป็นเรื่องที่ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถและทรัพยากร… ข้าสงสัยว่าจอร์จที่สามคือสมาชิกคนสำคัญขององค์กรลับที่พยายามเลียนแบบกุหลาบไถ่บาปของพวกข้า ลำดับที่แท้จริงของเจ้านั่นอาจจะสูงถึงเทวทูตก็ได้… หึหึ… คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าจะอยู่ในลำดับ 1 เรียบร้อยแล้ว”

นี่มัน… จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวว่า สมาชิกขององค์กรล้วนเป็นบุคคลสำคัญชนิดที่เหนือความคาดหมาย… หากทั้งหมดร่วมมือกัน ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำไม่ได้นอกจากการกวาดล้างเจ็ดโบสถ์หลัก… หนึ่งในนั้นเป็นถึงกษัตริย์ของอาณาจักรเชียว? ไม่สิ โรซายล์ที่ตายไปก็เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของอินทิส… คนขี้ระแวง… นี่คือคำที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดใช้นิยามพี่ชายอามุนด์? ถึงจะเป็นคำดูแคลนที่ค่อนข้างรุนแรงและอาจมาจากอคติส่วนตัว แต่ก็คงซ่อนความจริงบางอย่างไว้ ฉายาเช่นนี้ไม่มีทางตั้งขึ้นมาส่งเดช… ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดขมวดคิ้วและพูด

“ปัญหาที่คุณมองออกได้ง่ายดายเช่นนี้ ทำไมโบสถ์รัตติกาล วายุสลาตัน และจักรกลไอน้ำถึงไม่ตระหนัก? พวกเขาก็ไม่น่าจะมีข้อมูลของจักรพรรดิมืดน้อยไปกว่าคุณ…”

เพราะเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตันต่างก็เคยสนับสนุนจักรวรรดิร่วมทูดอร์ทรันซอสต์!

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดเผยสีหน้าขบขันอีกครั้ง จ้องดอนดันเตสและบุรุษรับใช้หัวจดเท้า

“เจ้าอายุเท่าไร? ทำไมถึงไร้เดียงสาและเด็กน้อยเช่นนี้? ในบางสถานการณ์ หกเทพจารีตจะไม่เท่ากับหกโบสถ์หลัก และนั่นหมายความว่า สิ่งที่หกเทพจารีตทราบ ไม่จำเป็นต้องถูกถ่ายทอดลงมายังเทวทูตหรือนักบุญ”

เมื่อเห็นดอน·ดันเตสยังคงขมวดคิ้วฉงน วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ

“สาบานได้เลย สิ่งที่ข้าพูดถัดไปจะทำให้ภาพลักษณ์ของหกเทพจารีตต้องป่นปี้ ส่วนเจ้าก็เก็บไปคิดเอาเองว่านั่นเป็นความจริงหรือไม่… เอาเป็นว่า หกเทพจารีต… อา เจ็ดเทพจารีต มีทัศนคติที่ค่อนข้างคลุมเครือต่อผู้ที่ต้องการเป็นจักรพรรดิมืด… พวกท่านล้วนยินดีที่จักรพรรดิมืดคนใหม่จะถือกำเนิด แต่ก็สนับสนุนอย่างออกนอกหน้าไม่ได้… ส่งผลให้เหล่าเทพจารีตมิได้ส่งวิวรณ์ทุกเรื่องให้สาวกทราบ ปล่อยให้เป็นไปตามครรลองธรรมชาติและกฎหมาย หากผู้ใดพยายามเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืดและถูกเหล่าสาวกของแต่ละโบสถ์จับได้ ทวยเทพก็จะลงทัณฑ์ตามปรกติ แต่ถ้าเหล่าสาวกสืบสาวไม่พบ ทุกตนก็จะยอมให้การเลื่อนลำดับเกิดขึ้นโดยปริยาย… แน่นอน ระหว่างกระบวนการ ย่อมมีใครสักคนอยากขัดขวางหรือสร้างความเสียหาย แต่ก็มิอาจทำได้อย่างเปิดเผยหรือชัดเจนนัก เพราะพฤติกรรมดังกล่าวมักจะถูกสกัดกั้นโดยเทพตนอื่น… หากไม่ใช่เพราะทวยเทพมีทัศนคติเช่นนี้ จอร์จที่สามจะกล้าเสี่ยงเชียวหรือ? เอาล่ะ… ในเมื่อสงครามปะทุขึ้นแล้ว เงื่อนไขของเจ้านั่นได้บรรลุไปอีกหนึ่งข้อ ถัดไปคือการรอโอกาส”

ทันใดนั้น ไคลน์นึกถึงเหตุการณ์ที่ข่าวคราวการ ‘บุกตรวจค้น’ โบราณสถานจักรพรรดิโลหิตเกิดรั่วไหล จนมันเริ่มไม่มั่นใจว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเบื้องบนของสามโบสถ์หลักมีสมาชิกองค์กรโบราณแทรกซึมอยู่ หรือเป็นเพราะมีเทพสักตนแจ้งข่าวแก่พี่ชายอามุนด์โดยตรงกันแน่ หากเป็นอย่างหลัง ผู้ต้องสงสัยรายเดียวที่สามารถตัดออกไปได้คือเทพวายุสลาตัน

ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ลังเลก่อนจะถาม

“หมายความว่า หากไม่เกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย จอร์จที่สามซึ่งเตรียมการไว้อย่างพร้อมสรรพ จะประกอบพิธีกรรมก้าวขึ้นไปเป็นเทพแท้จริง? และถ้าพิธีกรรมราบรื่น ถ้าจอร์จที่สามรอดพ้นจากผลข้างเคียงของโอสถ เขาจะได้เถลิงบัลลังก์จักรพรรดิมืด?”

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตอบเรียบง่าย

“ยังเป็นอย่างอื่นไปได้อีกหรือ?”

“แล้วทำไมเจ็ดเทพจารีตถึง…” ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถาม

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดส่ายหน้า

“เจ้าอยากรู้ไหมล่ะ? หากต้องการ ข้าสามารถบอกได้ทันที”

ขณะไคลน์เตรียมตอบว่า ‘แน่นอน’ ทันใดนั้นมันฉุกคิดถึงคำเตือนของ ‘บริวารอำพราง’ มาดามอาเรียนน่า

“สำหรับบางสิ่ง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งมีโอกาส ‘ติดเชื้อ’ จากร่างกายสู่ดวงวิญญาณ… จนกว่าจะกลายเป็นเทวทูต คุณห้ามสืบหาคำตอบส่งเดช”

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยิ้มมุมปาก

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เลว… เจ้าเกือบต้องตายเพราะความอยากรู้อันโง่เขลา” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดส่ายหน้าอย่างผิดหวัง

มันมองออกไปนอกหน้าต่างและกล่าว

“ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”

“ตกลง” ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดยืนขึ้นและยกมือขวา

ทันใดนั้น วิญญาณมารเทวทูตสีชาดตั้งคำถาม

“ข้ามีความรู้สึกแปลกๆ ว่า… หากข้าลงมือตอนนี้ เจ้าคงมิได้สิ้นท่าเสียทีเดียว… ใช่ไหม?”

แน่นอน ลองเดาดูสิว่าทำไมฉันกลับออกไปด้วย ‘กระโจนไฟ’ แทน ‘เทเลพอร์ต’ … นั่นก็เพื่อซ่อนตัวตนนกกระเรียนกระดาษที่ลุกไหม้ในกระเป๋าสตางค์! ด้วยวิธีนี้ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสตินจะจ้องมองมาที่นี่อย่างเงียบงัน และหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เจ้านั่นก็จะใช้ ‘ยันต์วันวานอีกครั้ง’ เพื่อช่วยเราทันที… การจะรับมือกับตัวตนระดับนายย่อมต้องระวังตัวเป็นพิเศษ จะให้ไม่ซ่อนไพ่ตายไว้ได้อย่างไร? ไคลน์ไม่ได้ตอบตรงๆ ทำเพียงยิ้มเพื่อยืนยันโดยนัย

เป๊าะ!

ชายหนุ่มดีดนิ้วและปล่อยให้เปลวไฟสีแดงลุกไหม้จากกระเป๋าสตางค์จนกระทั่งปกคลุมท่วมลำตัว

เมื่อเปลวไฟสีแดงเข้มสลายไป ร่างไคลน์ก็อันตรธานหายไปจากการมองเห็นของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด

กรุงเบ็คลันด์ ในรถเข็นเด็กสีดำที่บ้านนายแพทย์อลัน·คริสต์

เด็กทารกอวบอ้วนขยี้ตาพลางส่งเสียงพึมพำ

“สำหรับเด็กเล็ก เบ็คลันด์ไม่น่าอยู่เลยสักนิด!”

บ้านเลขที่สามเก้า ถนนเบิร์คลุน ไคลน์ซึ่งทำนายดวงชะตาล่วงหน้า แวะมาหาส.ส. มัคท์ที่เตรียมจะเดินทางไปยังเขตตะวันตก

“คุณไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบหรอกหรือ? ผมวางแผนจะให้ลีอานน่ากับเฮเซลซ่อนตัวอยู่ที่คฤหาสน์กวางมูสไปอีกสักพัก” ส.ส. มัคท์เลื่อนนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นมาจับเบ้าตาขวา

เมื่อไรผลข้างเคียงอันนี้จะหายไป… ไคลน์ถอนสายตากลับพลางพ่นลมหายใจ

“ผมต้องเตรียมติดอาวุธให้คฤหาสน์เพลงกุหลาบ จึงต้องแวะมาขอความช่วยเหลือจากคุณ… นอกจากนั้น หากคุณมีช่องทางสำหรับซื้ออาหาร ผมเองก็ต้องการส่วนหนึ่ง”

ตามความคิดของมัน ชนชั้นล่างไม่มีปัญญาจะตุนอาหารเนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างมากก็ตุนได้สองถึงสามวัน ดังนั้น การกักตุนของไคลน์จะไม่ถือว่าเบียดเบียนชนชั้นล่าง และถ้าชาวเมืองเริ่มประสบภาวะอาหารขาดแคลนเมื่อไร ไคลน์ก็จะบริจาคอาหารกลับคืนผ่านมิสออเดรย์ – ก่อนที่รัฐบาลจะออกกฎหมายห้ามกักตุนอาหาร ต่อให้ไคลน์ไม่กักตุน เศรษฐีคนอื่นก็จะทำอยู่ดี และอาจไม่บริจาคกลับคืนเหมือนกับตน

“ไม่มีปัญหา” ส.ส. มัคท์ตอบรับโดยไม่ลังเล

ไคลน์ไม่ถามถึงราคา เพราะมันได้มอบเงินให้แม่บ้านทาเนญ่าไปแล้วห้าพันเหรียญทองสำหรับใช้จ่าย

แน่นอน หลังจากยืนยันว่าซาราธอยู่ในเบ็คลันด์ รวมถึงเรื่องที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดทราบว่าดอน·ดันเตสคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายหนุ่มตัดสินใจยังไม่กลับไปที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบ เพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ

สำหรับข้อแก้ตัว มันคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยจะแจ้งว่าโบสถ์รัตติกาลมีงานให้ทำหลายชิ้นจนไม่สามารถกลับไปได้สักพัก และถ้ามีงานเกี่ยวกับองค์กรการกุศลที่ต้องการความช่วยเหลือจากตน ไคลน์ได้มอบอำนาจให้มิสออเดรย์จัดการแทนทั้งหมด

………………………………….

ในวินาทีที่เห็นวิญญาณมารเทวทูตสีชาด รูม่านตาไคลน์พลันเบิกกว้าง ถุงมือหนังมนุษย์ข้างซ้ายพลันโปร่งใส

มันไม่สนใจในสิ่งอีกที่ฝ่ายกำลังจะพูด ท่าทีตอบสนองแรกตามสัญชาตญาณคือการเทเลพอร์ตออกไปจากที่นี่ทันที แต่ทันใดนั้น โลกวิญญาณในการมองเห็นของไคลน์กลับผิดแผกไปจากปรกติ

สิ่งมีชีวิตโปร่งใสจำนวนมากล้วนถูกย้อมด้วยสีเหล็กและเลือดผสมควันดินปืน ริ้วแสงทั้งเจ็ดด้านบนสุด ซึ่งอัดแน่นความรู้มหาศาลกลับถูกบดบังจนแทบมองไม่เห็น

หัวใจไคลน์เต้นระรัวอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เทเลพอร์ตบุ่มบ่าม

เมื่อเห็นฉากตรงหน้า วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ

“เจ้ากลัวอะไร? ซาราธ?”

ได้ยินคำพูดดังกล่าว ไคลน์มองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติ

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยังคงรักษารอยยิ้มที่น่ารำคาญ พลางชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามเก้าอี้เอนหลัง

“ถ้าข้าเป็นคนบอกซาราธว่าดอนดันเตสคือเกอร์มันสแปร์โรว์ ในตอนที่เจ้ากลับไปยังบ้านเลขที่หนึ่งหกศูนย์ ถนนเบิร์คลุนในช่วงเช้า เหล่าพ่อบ้านและคนรับใช้ที่อยู่ในห้องเก็บไวน์คงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่จะถูกแขวนกับเพดานเหมือนกับแฮมตากแห้ง แน่นอนว่าทุกคนจะยังต้อนรับเจ้าอย่างอบอุ่น… นั่งลงก่อน… ในสถานการณ์แบบนี้ การรับฟังความเห็นของข้าไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายนัก”

เมื่อจินตนาการถึงฉากที่วิญญาณมารเทวทูตสีชาดบรรยาย แม้ว่าไคลน์จะเคยเห็นภาพที่คล้ายคลึงกันมาก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกไปทั่วร่าง

มันยังคงไม่ประมาท บังคับให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์ที่อยู่ในร่างดอน·ดันเตส นั่งลงบนโซฟาและให้ตัวเองยืนด้านข้างในฐานะบุรุษรับใช้เอ็นยูน

ชายหนุ่มใช้พลังสลับตำแหน่งร่างต้นกับหุ่นเชิดอย่างแนบเนียน แถมรูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปในพริบตา

“อาจเป็นไปได้ว่า คุณเพิ่งทราบข้อมูลนี้จากแพทริคเบรน จึงยังไม่ทันได้แจ้งข่าวให้ซาราธ” ไคลน์ตอบโต้ผ่านหุ่นเชิด

พร้อมกันนั้น จากคำพูดของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ชายหนุ่มสามารถยืนยันได้ว่า ซาราธมาถึงเบ็คลันด์แล้วจริงๆ!

อีกฝ่ายเป็นถึงเทวทูตลำดับหนึ่งตัวจริง ไม่มีข้อจำกัดหรือพันธนาการ เป็นตัวตนที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว สามารถเรียกว่าตัวตนลึกลับได้อย่างเต็มปาก!

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดมองสลับไปมาระหว่างเจ้านายและคนรับใช้ ตามด้วยยิ้มและกล่าว

“แพทริคเบรนเป็นแค่ไอ้งั่ง ข้าสามารถเค้นข้อมูลทั้งหมดที่อยากทราบได้ภายในสิบห้านาที นับประสาอะไรกับช่วงเวลาที่ยาวนานตั้งแต่เสร็จพิธีกรรมจนถึงเช้า”

…เขาตั้งฉายาให้แพทริคเหมือนกับมิสผู้ส่งสาร… ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดเลิกคิ้วพร้อมกับถาม

“แล้วยังไงต่อ?”

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดโยกเก้าอี้เอนหลังแผ่วเบา

“ข้าไม่ทราบว่าเจ้าเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่… หลังจากเลือกเส้นทางผู้วิเศษ มิตรและศัตรูจะถูกกำหนดขึ้นทันที… ข้ากับเจ้าไม่ใช่มิตร แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูเช่นกัน… จริงอยู่ที่เจ้ากับข้าอาจเคยมีเรื่องบาดหมางกันมาบ้าง แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เจ็บตัวมากนัก เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว… สำหรับข้า พัฒนาการของเจ้าทำให้บางคนที่ข้าเกลียดขี้หน้าต้องเดือดร้อน ข้าจึงยังไม่อยากฆ่าเจ้าทิ้งในตอนนี้ ยังอยากเห็นเจ้าเลื่อนลำดับต่อไปเรื่อยๆ”

จักรพรรดิเคยพูดบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันไว้… บางคนที่เขาเกลียดขี้หน้า… ไคลน์ตัดสินใจถาม

“ผู้เย้ยเทพอามุนด์?”

“ข้อมูลแน่น… แถมไม่โง่…” วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ ตามด้วยยกมือลูบคาง

ไม่ว่าจะเป็นวาจาหรือพฤติกรรม ทุกองค์ประกอบล้วนส่งเสริมให้คู่สนทนาอยากซัดปากสักหมัด

หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์เริ่มเข้าใจปัญหา

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เลือกซาราธได้เลย… หากท่านผู้นั้นเลื่อนลำดับ อามุนด์ก็จะเดือดร้อนไม่ต่างกัน เทียบกับซาราธ ผมยังอ่อนแอเกินไปและต้องการเวลาอีกมาก สามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้มากมาย”

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดพยักหน้าขรึม

“อันที่จริงข้าก็เคยคิดแบบนั้น เมื่อเทียบกับลำดับ 1 อย่างซาราธ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขข้างถนน… เจ้ามีสิ่งใดเหนือกว่าหมอนั่นบ้าง? แข่งกันว่าใครตายเร็วกว่า?”

กล่าวถึงตรงนี้ วิญญาณมารเทวทูตสีชาดถอนหายใจยาว

“แต่ว่า… ถ้าทุกปัญหาในโลกมีทางออกง่ายดายเช่นนั้นเสมอ นั่นคงวิเศษไปเลย…”

ยังไม่ทันจบประโยค ปากเปื้อนเลือดได้ปริแตกบนแก้มข้างซ้ายของมัน

ช่องว่างขยายกว้างขึ้นพร้อมกับเผยให้เห็นฟันซี่ขาวสองแถว

“ข้าตรวจสอบมาแล้ว ตระกูลเซารอนล่มสลายเพราะซาราธและโรซายล์!”

นี่คือวิญญาณของบรรพชนตระกูลเซารอน? อาการหลายบุคลิกของเทวทูตสีชาดร้ายแรงกว่าที่เราคิด… ไม่สิ นี่ไม่ใช่อาการหลายบุคลิกแล้ว แต่เป็นการยัดวิญญาณของคนสามคนไว้ในร่างเดียว จะทำสิ่งใดก็ต้องผ่านการเห็นชอบ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความขัดแย้งภายใน… ไคลน์เริ่มเชื่อว่าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดมิได้วางกับดัก อีกฝ่ายยังไม่ได้แจ้งข่าวกับซาราธจริงๆ

นี่คือจุดอ่อนที่เราสามารถนำมาใช้ได้ในอนาคต… หลังจากพึมพำกับตัวเอง ไคลน์ซักถาม

“แล้วมีธุระอะไรกับผม?”

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยกมือลูบแก้มซ้ายจนปากเลือนหายไป จากนั้นก็ยิ้มและกล่าว

“ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังตามสืบราชวงศ์โลเอ็นอยู่หรือ? เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับแม่มดระดับสูงนามว่าคาร์เทอริน่า หาเจ้าพบเบาะแสของหล่อน ช่วยแจ้งข่าวกับข้าก่อนจะลงมือกระทำสิ่งใด”

‘นักบุญสีขาว’ คาร์เทอริน่า… วิญญาณมารเทวทูตสีชาดต้องการสิ่งใดจากเธอ? ลำดับ 4 ของเส้นทางนักล่าสามารถเปลี่ยนให้สตรีกลายเป็นบุรุษ ส่วนลำดับเจ้ดของเส้นทางแม่มดจะเปลี่ยนให้บุรุษกลายเป็นสตรี หมายความว่าทั้งสองเส้นทางอาจสับเปลี่ยนกันได้ในลำดับสูง… หรือว่าเทวทูตสีชาดกำลังมองหาทางเลือก หากหาตะกอนพลังลำดับสี่ของเส้นทางนักล่าไม่ได้ ก็จะย้ายไปยังเส้นทางแม่มดแทน? สำหรับวิญญาณมาร ตราบใดที่มันมีวิธียืดอายุขัยออกไปได้เรื่อยๆ การดื่มโอสถและตะกอนพลังก็ยังช่วยให้เลื่อนลำดับได้… ไคลน์ผงะในตอนต้น ก่อนจะนำข้อมูลมาประกอบกันและเริ่มคาดเดาบางสิ่ง

นั่นมาพร้อมกับคำถามสุดประหลาด

ถ้าในร่างกายมีตะกอนพลังลำดับสูงของเส้นทางนักล่าและแม่มดอยู่ด้วยกัน วิญญาณมารเทวทูตสีชาดจะมีเพศเป็นชายหรือหญิง? ฝั่งไหนมีศักดิ์สูงกว่าและเป็นตัวกำหนดเพศ?

ทันใดนั้น วิญญาณมารเทวทูตสีชาดมองสลับระหว่างดอน·ดันเตสและบุรุษรับใช้ ก่อนจะ ‘หึ’ ในลำคอและพูด

“เจ้าเองก็มีพรสวรรค์ด้านยั่วยุ”

เรายังไม่ทันได้ตอบอะไรเลย… ไคลน์รำพันด้วยความฉงน

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดขดริมฝีปาก

“ข้าพอจะเดาได้ว่าเจ้ากำลังคิดสิ่งใด เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมรับว่าตัวเองโง่… นั่นสินะ เรื่องนี้อาจจะส่งผลดีกับ ‘พวกเขา’ ก็ได้”

“หุบปาก!” ปากเปื้อนเลือดโผล่ขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างของวิญญาณมาร

ไคลน์มองหน้าชายผู้เป็นเจ้าของอาการหลายบุคลิกฝั่งตรงข้าม ตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะถามไถ่ในเชิงลึก เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“ทางนี้ก็ไม่ได้ติดขัดอะไรหากต้องแจ้งข่าว… แต่คำถามก็คือ ผมจะแจ้งข่าวด้วยวิธีใด”

ตามความเห็นของชายหนุ่ม ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ คาร์เทอริน่าไม่ใช่คนดี เฉกเช่นวิญญาณมารเทวทูตสีชาด เป็นเรื่องดีแล้วที่พวกมันทะเลาะกัน

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะ

“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าต้องเอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่งของข้า”

“มหาเทพแห่งสงคราม สัญลักษณ์แห่งเหล็กและเลือด เจ้าแห่งความวุ่นวายและขัดแย้ง”

“เฮ่อะ!” ปากบนแก้มทั้งสองข้างของวิญญาณมารเทวทูตสีชาดพ่นลมหายใจเย้ยหยันโดยพร้อมเพรียง ราวกับไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย

ฟังดูเหมือนชื่อทั่วไปของเทพ… หรือว่าหลังจากปรองดองกับ เอกลักษณ์สำเร็จ เมดีซีก็เข้าใกล้ความเป็นเทพเข้าไปทุกที? ตราบใดที่ยังไม่มีคนใหม่มาปรองดองกับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางนักบวชสีชาด ระดับของวิญญาณตนนี้ก็จะไม่ลดลง? พระนามเต็มอันสูงส่งนี้จะชี้ไปหาเขาเสมอ? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิดพลางไต่ถามด้วยความไม่มั่นใจ

“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับโบราณสถานลับของจักรวรรดิโลหิต อลิสต้าทูดอร์บ้าง?”

เมื่อได้ยินเชื่อดังกล่าว กล้ามเนื้อบนใบหน้าวิญญาณมารเทวทูตสีชาดพลันบิดเบี้ยวเล็กๆ ก่อนจะหัวเราะเยาะ

“เจ้าอยากถามว่าราชวงศ์โลเอ็นซ่อนความลับใดไว้?”

“คุณอาจไม่ทราบ แต่คุณน่าจะคุ้นเคยกับโบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิตเป็นอย่างดี” ไคลน์จงใจยั่วยุอีกฝ่าย

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะพลางตบที่พักแขนของเก้าอี้เอนหลัง

“ลูกไม้ของเจ้าช่างไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กสามขวบ! หึหึ… ความลับของราชวงศ์โลเอ็นนั้นไม่ซับซ้อน ข้าสามารถเดาได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน… เจ้าฉลาดแค่หน้าตาสินะ แต่สมองคงเต็มไปด้วยหนอนแมลงยุบพอง”

“เดาได้จากการอ่านหนังสือพิมพ์?” ไคลน์ขมวดคิ้วพลางย้อนคำถาม

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะในลำคอ

“ใช่แล้ว แต่ก็ต้องมีความรู้ทั่วไปอยู่บ้าง ข้าคิดว่าเจ้าควรมีมันนะ… เอาแบบนี้เป็นไง ข้าจะตั้งคำถามสักสองสามข้อ แล้วเจ้าจะเข้าใจทันทีว่าเรื่องราวนั้นง่ายดายเพียงใด… ข้อแรก เจ้าคิดว่าบรรดาโบสถ์หลักรู้เรื่องโบราณสถานจักรพรรดิโลหิตมาก่อนหรือไม่?”

“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้าหนักแน่น

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยิ้มและถามต่อ

“เจ้ารู้ไหมว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์อยู่ในลำดับและเส้นทางใดก่อนจะกลายเป็นลำดับ 0?”

“เส้นทางจักรพรรดิมืด… ลำดับหนึ่ง… องค์ชายวิปลาส” ไคลน์ตอบสุขุม

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดพยักหน้าแผ่วเบา

“เจ้ารู้ไหมว่า ก่อนที่อลิสต้าทูดอร์จะกลายเป็นจักรพรรดิโลหิต ชายคนนั้นคือหนึ่งในกงสุลแฝดของจักรวรรดิร่วมทูดอร์·ทรันซอสต์ และผู้สนับสนุนหลักคือหกจากเจ็ดเทพจารีต โดยสองจากหกคือรัตติกาลและวายุสลาตัน?”

ไคลน์พยักหน้าเป็นนัยว่าทราบ

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดในท่าเอนหลังครึ่งหนึ่งทำการไขว่ห้าง

“แล้วเจ้ารู้ไหมว่า หลังจากกลายเป็นจักรพรรดิโลหิต อลิสต้าทูดอร์เสียสติโดยสมบูรณ์ และร่วงหล่นท่ามกลางสงครามทวยเทพ?”

“ก็พอจะ” ไคลน์ไม่กล้าแสดงความมั่นใจเกินเหตุ เพราะความรู้นี้นำมาจากจักรพรรดิโรซายล์ และอีกฝ่ายก็นำมาจากมิสเตอร์ประตู

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดหัวเราะและกล่าวต่อ

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าคิดว่าอลิสต้าทูดอร์มีเหตุผลหรือมีโอกาสที่จะสร้างโบราณสถานลับหลังจากกลายเป็นจักรพรรดิโลหิตหรือไม่?”

“ไม่…” ไคลน์ส่ายหน้าเชื่องช้า

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดผายมือออก

“ในเมื่อเป็นโบราณสถานที่อลิสต้าทูดอร์สร้างไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิโลหิต และแม้แต่หกเทพจารีตที่คอยสนับสนุนก็ไม่ทราบเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว โบราณสถานดังกล่าวจะยังเป็นอะไรได้อีก? หากเลือกได้ เจ้าจะเลือกเดินบนเส้นทางที่ตัวเองต้องเสียสติหรือไม่?”

นี่มัน… ไคลน์หวนนึกถึงสุสานทั้งเก้าแห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเลื่อนเป็นเทพของเส้นทางจักรพรรดิมืด

สำหรับองค์ชายวิปลาส ก่อนที่จักรพรรดิมืดคนเดิมจะหวนกลับมา มันย่อมต้องหาทางเลื่อนตำแหน่งเป็นจักรพรรดิมืดอยู่แล้ว!

“โบราณสถานดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิมืด?” ไคลน์ถามเสียงทุ้ม

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดลูบคางและกล่าวพลางยิ้ม

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักพิธีกรรมของจักรพรรดิมืดสินะ… ก็ง่ายๆ แบบนั้นแหละ… กษัตริย์ทำสิ่งใดบ้างในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา? ยกเลิกพระราชบัญญัติเมล็ดพันธุ์ มีการเปิดสอบข้าราชการหลายรอบ ความสัมพันธ์ทางการทหารถูกจัดระเบียบใหม่ สภาขุนนางและเหล่าขุนนางถูกลิดรอนอำนาจ สภาสามัญเข้มแข็งขึ้น… สิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ประจำวันไม่ใช่หรือ? นอกจากนั้น เรื่องที่เส้นทางผู้พิพากษาสามารถสลับไปเป็นเส้นทางจักรพรรดิมืดได้ นี่ก็เป็นความรู้ทั่วไป”

เนื่องจากหลายๆ สิ่งที่กล่าวมาเป็น ‘กระแสแห่งยุคสมัย’ สำหรับไคลน์ และหนึ่งในนั้นเกิดจากการผลักดันด้วยตัวไคลน์เอง มันจึงไม่เคยตรวจสอบในมุมมองของศาสตร์เร้นลับมาก่อน

ในไม่ช้า ชายหนุ่มฉุกคิดได้อีกหนึ่งสิ่ง

คนสุดท้ายที่ปรารถนาจะเป็นจักรพรรดิมืดคือโรซายล์ และชายคนนั้นบังเอิญเกี่ยวข้องกับพี่ชายของอามุนด์!

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท