สืออีเหนียงนำจี้หยกไปแขวนบนเข็มขัดที่เอวอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยืนตัวตรงสำรวจสวีลิ่งอี๋ที่สวมชุดขุนนางสีแดง นางยิ้ม “เรียบร้อยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปราชสำนักประเดี๋ยวนี้!”
“ท่านโหวเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงสวมเสื้อคลุมให้สวีลิ่งอี๋แล้วส่งเขาไปที่ประตู
สวีลิ่งอี๋ตอบรับ “อืม” จากนั้นจ้าวอิ่งก็รับใช้เขาออกจากเรือน
มองดูโคมสีแดงที่ค่อยๆ ไกลออกไป สืออีเหนียงยืนอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กลับเข้าไปข้างใน
สาวใช้กำลังจัดโต๊ะอาหาร หู่พั่วรับใช้นางเข้าไปในห้องข้างใน
“ฮูหยินจะนอนต่ออีกสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ดีกว่า” สองสามวันนี้นางกำลังเร่งปักม่านกันลม “ข้าจะทำงานปักต่อ! ตอนกลางวันค่อยนอนกลางวันก็ได้”
หู่พั่วตอนรับแล้วไปย้ายโต๊ะปักผ้ามาที่เตียงเตาริมหน้าต่าง นางนั่งลงช่วยนางแบ่งด้าย พูดคุยกับสืออีเหนียง
“สองสามวันก่อนสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมาหาบ่าว บ่าวเห็นว่าท่านกำลังยุ่งจึงไม่ได้รายงานเจ้าค่ะ”
“มาเรื่องงานแต่งงานของต้าเสี่ยน?” สืออีเหนียงถามนางอย่างไม่นิ่งสงบ “สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยไม่ยอมบอก?”
“ไม่ใช่เข้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “สะใภ้ว่านอี้จงคิดว่าท่านอยากจะส่งสาวใช้ที่ไม่เชื่อฟังออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมรับปาก ต่อมาได้ยินว่าเป็นสาวใช้คนสนิทของท่าน ถึงอายุที่ควรปล่อยออกไปแล้ว พวกเขาก็ดีอกดีใจแล้วรับปากทันทีเจ้าค่ะ ขอร้องให้สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมาพูดแทน บ่าวเห็นท่าทีของพวกเขาเช่นนั้น จึงจงใจยื้อเอาไว้ ทำให้พวกเขาร้อนใจเสียบ้าง”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้านี่จริงๆ เลย!”
หู่พั่วปิดปากยิ้ม “สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยอยากมาคุยกับท่าน ท่านจะเจอนางเมื่อไรดีเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพึมพำ “พรุ่งนี้ก็ได้! ปีนี้ตงชิงก็ยี่สิบแล้ว หากตกลงกันก่อนปีใหม่ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จัดการเสีย นางจะได้ออกไปข้างนอกเสียบ้าง”
หู่พั่วยิ้มแล้วตอบรับ
ตงชิงเข้ามาพอดี หู่พั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้นาง
ตงชิงสงสัย “มีเรื่องอันใดหรือ”
เรื่องราวยังไม่แน่นอน กลัวว่าตงชิงจะเขินอาย สืออีเหนียงจึงรีบพูดว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” นางถามตงชิง “ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าให้เจ้าปัก ปักเสร็จหรือยัง” งานปักธรรมดาๆ มักจะเป็นดอกไม้และนกที่ซับซ้อน นางจึงวาดลายดอกหญ้าง่ายๆ สองสามแบบมาล่อฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ แต่เพราะว่านางไม่มีเวลา จึงให้ตงชิงช่วยปัก
ตงชิงหยิบผ้าเช็ดหน้าในตะกร้ามาให้สืออีเหนียงดู
ปักได้ไม่เลวเลยทีเดียว!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้
สะใภ้หนานหย่งมาแล้ว
“เจ้าม้วนผมมวยสูงให้ข้าเถิด!” ปกตินางม้วนแค่ผมมวยธรรมดา “สองสามวันก่อนในจวนมีเรื่องมากมาย ฮูหยินสองวันนี้ทานข้าวเช้าแล้วก็จะกลับไปที่เขาซีชาน ประเดี๋ยวข้าจะไปส่งนาง”
สะใภ้หนานหย่งยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” รับใช้สืออีเหนียงไปนั่งม้วนผมที่หน้ากระจก สืออีเหนียงเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีชมพู กระโปรงผ้าไหมสีฟ้าเขียว จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสองเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว นางกำลังบอกลาไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงคารวะไท่ฮูหยินและคำนับฮูหยินสอง ฮูหยินสามและฮูหยินห้าก็มาพอดี ทุกคนพูดคุยกับฮูหยินสองคนละสองสามประโยค บอกให้นางระวังความปลอดภัย หากมีเรื่องอะไรก็ส่งคนมารายงานที่จวน…จนถึงยามซื่อถึงได้ส่งฮูหยินสองออกไป
สองสามวันที่ผ่านมานี้ ฮูหยินสองอยู่กับไท่ฮูหยินทุกวัน เมื่อนางต้องจากไป ไท่ฮูหยินจึงรู้สึกโศกเศร้า โชคดีที่สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนไม่ต้องไปสำนักศึกษาแล้ว จึงมีพวกเขามาเอะอะโวยวายที่เรือนของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์มาเย็บปักถักร้อยที่เรือนของไท่ฮูหยิน ในเรือนคึกคักเป็นอย่างมาก ไท่ฮูหยินก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย มองดูท้องฟ้าที่แจ่มใส แล้วยังบอกให้ป้าตู้ไปเชิญคุณชายห้าและฮูหยินห้ามาเล่นไพ่อีกด้วย
คุณชายห้าเป็นคนตลกขบขัน เขาหยอกล้อให้ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข
มีบ่าวรับใช้ชายเข้ามาหาเขา “…บอกว่าเป็นสหายเก่าของคุณชายห้า ตอนที่คุณชายห้าขับร้อง ‘หอกุ่นโหลว’ ที่หอชุุ่ยชิ่งโหลว หลิวฮุ่ยฟังผู้นี้เคยเล่นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายให้คุณชายห้าขอรับ”
คุณชายห้าได้ยินเช่นนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เขาพูดว่า “เขามาทำอะไรที่นี่” จากนั้นก็ลุกขึ้น “ข้าจะไปดูประเดี๋ยวนี้”
ฮูหยินห้ามองดูพลางครุ่นคิด
ไท่ฮูหยินสีหน้ามืดมนลง “ไม่ต้องไป!”
คุณชายห้าได้ยินเช่นนี้ก็หยุดเดิน สีหน้าของเขาซีดลง
“ใกล้จะปีใหม่แล้ว” ไท่ฮูหยินพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “คนพวกนั้นมาหาเจ้าจะมีเรื่องอะไร” จากนั้นก็บอกป้าตู้ “ไปนำเงินยี่สิบตำลึงมา” แล้วก็พูดกับบ่าวรับใช้ชาย “เจ้ากลับไปบอกเขาว่าคุณชายห้ามีแขก ไม่สะดวกที่จะออกไปต้อนรับ เงินยี่สิบตำลึงนี้ก็ถือซะว่าคุณชายห้าเลี้ยงสุราเขา”
บ่าวรับใช้ชายรับเงินมา ตอบรับแล้วเดินออกไป
แต่คุณชายห้ากลับไม่สบายใจ “ท่านแม่ ข้าออกไปดูดีกว่าขอรับ”
“ทำไมกัน” ไท่ฮูหยินมองคุณชายห้าด้วยสายตาที่เฉียบขาด “คิดว่าข้าให้เขาน้อยไปหรือ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ขอรับ” คุณชายห้ารีบพูด “ข้ากลัวว่าเขาจะก่อเรื่อง…”
“จะเป็นไปได้เช่นไร!” ไท่ฮูหยินทำหน้าโมโห “เขาจะก่อเรื่องทำไม หรือว่าเจ้ามีอะไรปิดบังข้าอยู่”
“ไม่มีขอรับ ไม่มี” คุณชายห้าพูดด้วยสายตาที่หวาดกลัว
“ท่านแม่” จู่ๆ ฮูหยินห้าก็ยิ้มแล้วพูด “คุณชายห้าเมตตาผู้อื่นมาโดยตลอด นำเงินมาไล่เขาเช่นนี้ เขาคงกลัวคนอื่นจะมองไม่ดี ถึงได้ไม่สบายใจเจ้าค่ะ!”
คุณชายห้าได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าซ้ำๆ “ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ ข้าเห็นพวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ มาตลอด…”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ตบโต๊ะเสียงดัง “เห็นพวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ?”
พวกเด็กๆ ที่กำลังวุ่นวายอยู่ในห้องเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ พวกเขาก็รีบยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
“คุณชายห้าพูดไม่เป็นเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยิน “ท่านไม่ต้องสนใจเขาหรอกเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ตะโกนเรียกคุณชายห้า “ยังไม่รีบขอโทษท่านแม่อีก”
คุณชายห้าได้สติกลับมา เขาเดินเข้าไปขอโทษไท่ฮูหยิน
มองดูบุตรชายที่สีหน้าหดหู่ อารมณ์ที่กำลังดีของไท่ฮูหยินก็มลายหายไป
นางวางไพ่ลง “ดึกมากแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปที่สวนดอกไม้หลังจวนเถิด! ประเดี๋ยวดึกแล้วพื้นจะลื่น”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ลงมาจากเตียงเตาข้างหน้าต่าง สวมรองเท้า พูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค จากนั้นก็กลับไปที่สวนดอกไม้หลังจวนกับคุณชายห้า
ระหว่างทาง ฮูหยินห้าเอ่ยถามคุณชายห้า “เจ้ามีสิ่งใดที่บอกท่านแม่ไม่ได้ บอกข้าก็เหมือนกัน เราเป็นสามีภรรยากัน ต้องช่วยกันหาทางออกได้เสมอ!”
คุณชายห้าไม่พูดไม่จาอยู่นาน เขาขมวดคิ้วมุ่น
กลับมาในห้อง คุณชายห้าเอนตัวลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างด้วยท่าทีที่เบื่อหน่าย
ฮูหยินห้ายกชาไปให้เขาด้วยตัวเอง “ท่านพี่ ดื่มชาเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อยากดื่ม!” คุณชายห้าตอบอย่างเบื่อหน่าย
ฮูหยินห้าก็ไม่บังคับเขา นางนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างๆ
คุณชายห้าพลิกตัวไปมาอย่างไม่สบายใจ
เมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาทานไปสองสามคำแล้วลุกขึ้นจะไปหาสวีลิ่งอี๋ “…ข้าจะเอาแต่อยู่ที่จวนเช่นนี้ไม่ได้”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วไปส่งเขาออกไป “ประเดี๋ยวให้ข้าออกไปตามท่านหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าท่านโหวตำหนิไม่รู้จักจบสิ้น”
คุณชายห้าก้มหน้าลงแล้วจับมือฮูหยินห้า “ตานหยาง…” เขาทำท่าทีซาบซึ้ง
ฮูหยินห้าปิดปากยิ้ม “ข้ากับคุณชายห้าเป็นสามีภรรยากัน หากข้าไม่ช่วยท่านแล้วใครจะช่วยท่าน”
คุณชายห้าพยักหน้าแล้วเร่งนาง “รีบกลับเข้าไปเถิด ข้างนอกนั้นหนาว!”
“ท่านก็ระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าพยักหน้า ยืนมองคุณชายห้าเดินออกไปอยู่ที่ประตู
รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง คุณชายหน้าหันหน้ากลับไป มองเห็นใบหน้าที่นิ่งสงบของภรรยาตัวเองยืนอยู่ภายใต้โคมไฟสีแดงที่ประตูไกลๆ เขาก็ยิ้มแล้วโบกมือ “รีบกลับเข้าไป!”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วโบกมือให้เขา จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของสามีตัวเอง นางถึงได้กลับเข้าไปในเรือน
ป้าสือรีบเดินเข้ามาประคองฮูหยินห้าไปนั่ง
“เป็นเช่นไร รู้เรื่องแล้วหรือยัง”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ!” ป้าสือพูดเบาๆ “คนนั้นคือหลิวฮุ่ยฟัง คนของสกุลหลี่หยวน มีลุงสองคน ลูกพี่ลูกน้องหนึ่งคนนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง แต่ว่าคนผู้นี้นิสัยไม่ดี ชอบสำมะเลเทเมา สามปีก่อนดื่มสุราจนคอพัง ตั้งแต่นั้นมาจึงขึ้นแสดงบนเวทีไม่ได้อีกต่อไป”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “แล้วคุณชายห้าจะกลัวสิ่งใด”
“เขาพูดเป็นนัย คุณชายห้าใจกว้างแต่ก็รักในศักดิ์ศรี…” ป้าสือพูดช้าๆ “บ่าวคิดว่าเขาขอคนอื่นไม่ได้ จึงมาขอคุณชายห้าเจ้าค่ะ”
“แค่นี้หรือ…” ฮูหยินห้านั้นไม่เชื่อ แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรที่ไม่ดี
ป้าสือไม่เข้าใจ นางจึงพูดว่า “คุณชายห้าไม่ใช่คนประเภทนั้น มิฉะนั้น คณะฉังเซิงปานเหตุใดต้องส่งเสี่ยวไห่ถังให้กับคุณชายน้อยสามจวนจงซานโหว…ยิ่งไปกว่านั้น บ่าวเห็นท่าทีของหลัวฮุ่ยฟังตอนนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ตัวก็อ้วน ไม่มีท่าทีของเมื่อก่อนเลยสักนิดเจ้าค่ะ…”
“เจ้าจะรู้อะไร!” ฮูหยินห้าพูดอย่างกังวล “หากหลิวฮุ่ยฟังเป็นเช่นนี้แล้วยังทำให้คุณชายห้าเป็นห่วง มันยิ่งน่ากังวลมากกว่าเสี่ยวไห่ถังเสียอีก!”
หากเขาไม่สนใจ ฮูหยินห้าคงจะไม่สนใจว่าสามีของตัวเองจะทำอะไร
“เช่นนั้น บ่าวจะไปสืบมาอีก…”
ฮูหยินห้าพยักหน้า
*****
อีกด้านหนึ่ง สวีลิ่งอี๋กำลังพูดคุยกับสืออีเหนียง “…ข้าบอกว่าข้าเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ อากาศของปีนี้ก็หนาวกว่าปีก่อนๆ มันจึงปวดมาก อยากจะลาออกไปจากตำแหน่งแม่ทัพทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค”
“แล้วฮ่องเต้ตรัสเช่นไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงถามด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย” สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่น “แล้วยังถามข้าว่าเป็นเพราะเรื่องขององค์ชายห้าหรือไม่”
“แล้วท่านว่าเช่นไรเจ้าคะ”
“ข้าเล่าเรื่องที่จวนให้เขาฟัง” สวีลิ่งอี๋พูด “เล่าเรื่องของจุนเกอ บอกว่าเขาเป็นโรคขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนข้าเอาแต่สู้รบข้างนอก ต่อมาก็ยุ่งกับเรื่องของบ้านเมือง หยวนเหนียงตามใจจุนเกอจนเสียนิสัย ทุกวันนี้เขารู้จักแค่เล่นพันด้าย เล่นถุงทรายกับพี่หญิง ถึงแม้ว่าข้าไม่ได้หวังให้เขารอบรู้ทุกด้าน แต่ก็จะเลี้ยงเขาให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ถือโอกาสตอนที่เขายังเด็ก ข้าอยากจะตั้งใจอบรบสั่งสอนเขา จะได้ไม่ทำให้สกุลสวีเสียหน้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา ดูออกว่า ที่เขาพูดถึงจุนเกอไม่ใช่เพราะว่าอยากจะลาออกจากตำแหน่ง “ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็ตาแดง บอกว่า เดิมทีคิดว่าหากจุนเกอโตแล้วจะให้เขาเข้ามาเรียนหนังสือกับองค์ชายห้าในพระราชวัง…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดพูด “จากนั้นก็ถามถึงโรคข้อเท้าอักเสบของข้า ข้าบอกว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงมาดูให้แล้ว แล้วยังทำการรักษาแบบพื้นบ้าน แต่ตอนนี้กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็คุยเรื่องของซีเป่ยกับฮ่องเต้ บอกว่าถึงแม้ว่าตอนนี้ซีเป่ยจะสงบ แต่ห้าปี สิบปีข้างหน้า ก็คงจะเกิดสงครามขึ้นอีก บอกให้ฮ่องเต้ถือโอกาสส่งองครักษ์และแม่ทัพที่ไว้ใจได้ไปที่นั่น ให้พวกเขาไปหาประสบการณ์ ประการแรกคือพวกเขาอยู่กับฮ่องเต้มานาน จงรักภักดีและมีความสามารถ ประการที่สองคือฮ่องเต้ทรงมอบหมายหน้าที่ให้กับคนเก่าคนแก่ คนใหม่ที่พึ่งเข้ามาเห็นเช่นนี้ก็จะได้รู้ว่าควรปฏิบัติตนเช่นไร ประการที่สามคือซีเป่ยจะได้ไม่รกร้าง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่อยากให้พี่สามย้ายออกไปให้ฮ่องเต้ทรงทราบ บอกว่าแยกย้ายกันไปด้วยดี…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจ
สวีลิ่งอี๋ ปล่อยอำนาจในมือไปอย่างเต็มรูปแบบแล้ว!
สืออีเหนียงตกใจแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบ
ผ่านไปอยู่นานแล้วจึงเอ่ยถามว่า “แล้วฮ่องเต้ทรงเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
