สวีลิ่งอี๋วิ่งวุ่นเข้าออกไปมาทั้งวัน แม้แต่มื้อเที่ยงและมื้อค่ำก็ทานจากข้างนอกทั้งนั้น
สืออีเหนียงก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินก่อน
ฮูหยินสามไปถึงก่อนนานแล้ว กำลังพูดคุยกับไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่สีหน้าของไท่ฮูหยินไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ดูเหมือนว่ากำลังฟังด้วยจิตใจที่เหม่อลอย
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามา ไท่ฮูหยินก็ได้ให้ฮูหยินสามกลับไปก่อน แล้วจึงอยู่คุยกับสืออีเหนียง
“…ดวงตาเด็กคนนั้นเป็นตาชั้นเดียวจริงๆ หรือ” ไท่ฮูหยินถามขึ้นราวกับว่าไม่เชื่ออย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ นางอยากที่จะช่วยเรียกร้องให้กับเฟิ่งชิงสักหน่อย จึงได้บอกเรื่องบาดแผลบนร่างกายให้กับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็พูดถึงจุนเกอขึ้นมา “…หากต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าความรู้เพิ่มพูนมากขึ้น ข้าจะให้เว่ยจื่อไปฝึกคัดตัวอักษรเป็นเพื่อนเขาที่เรือนหน่วนเก๋อ”
สืออีเหนียงเห็นว่าไท่ฮูหยินหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ จึงพูดไปตามเนื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน “ฝึกคัดอักษรเสียหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ เวลาเจออาจารย์จะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกจนเกินไปและไม่รู้อะไรสักอย่าง จะกลายเป็นไม่ยอมเรียนเอาได้”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เด็กน้อย ลงมือก่อนได้เปรียบกว่าเสมอ ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งแกร่ง สวีลิ่งอี๋มีความตั้งใจจะให้จุนเกอไปเรียนกับพี่ชายทั้งสามด้วย แต่ข้าคิดว่าเรียนอยู่ในจวนตระกูลดีกว่า อย่างไรเสียฉินเกอและคนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นเด็กที่โตกว่า สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ค่อนข้างมาก จุนเกอตามไปเรียนด้วย จะรู้สึกกดดันรอบด้านไปหมด พลอยจะทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวในใจ…” ไท่ฮูหยินก็ได้พูดคุยถึงเรื่องการเรียนของเด็กๆ กับสืออีเหนียงขึ้นมา
สืออีเหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน แล้วจึงได้พากันไปดูจุนเกอ จากนั้นก็เดินไปส่งไท่ฮูหยินไปยังห้องสวดมนต์ เสร็จแล้วก็ค่อยไปหาเฟิ่งชิง
ปินจวี๋เดินออกมารับสืออีเหนียง “ฮูหยิน ข้าวของจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะ”
เมื่อวานนี้นางนอนค้างที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเป็นเพื่อนตงชิง
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เดินเข้าไปในหอนอนพร้อมกับนาง
เฟิ่งชิงสวมเสื้ออ่าวสีบานเย็นตัวเก่าของบุตรสาวหนานหย่ง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ริมฝีปากแดงเลือดฝาดฟันขาวสะอาด ราวกับเป็นเด็กผู้หญิงอย่างไรอย่างนั้น ดูงดงามเป็นอย่างมาก ตงชิงนั่งยองๆ และกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเจอสืออีเหนียง ก็รีบหยิบกล่องอาหารที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมากอดไว้แน่น จ้องมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่หวาดระแวง
เมื่อตงชิงรู้ว่าสืออีเหนียงมาก็รีบลุกขึ้นย่อตัวทำความเคารพ พลางยิ้มเจื่อนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน บ่าวและปินจวี๋เกลี้ยกล่อมคุณชายน้อยเฟิ่งชิงไปครึ่งค่อนวัน ไม่ว่าอย่างไรคุณชายน้อยเฟิ่งชิงก็ไม่ยอมวางกล่องอาหารลงเลย เดินไปที่ไหนก็เอาแต่กอดกล่องอาหารไว้ บ่าวจนปัญญาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
ปินจวี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็ได้พูดขึ้นว่า “จริงเจ้าค่ะฮูหยิน พวกบ่าวช่วยกันเกลี้ยกล่อมแล้ว”
“กล่องอาหารยังมีขนมอยู่กระมัง” สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่งแล้วจึงได้พูดขึ้น
ปินจวี๋จึงรีบพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังมีขนมหลูต๋ากุ่นหนึ่งห่อ ขนมข้าวเหนียวหนึ่งห่อแล้วก็ขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนอีกหนึ่งห่อเจ้าค่ะ”
เด็กคนนี้คงจะหิวจนหวาดกลัวไปแล้ว!
สืออีเหนียงทอดถอนใจเบาๆ “เอาขนมออกจากกล่อง ประเดี๋ยวเขาก็คงจะทิ้งกล่องอาหารไป” จากนั้นก็ได้พูดเรื่องที่เฟิ่งชิงจะอยู่ที่จวนต่อให้พวกนางฟัง “…อาศัยอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นต่อชั่วคราว ปินจวี๋เจ้าก็เข้ามาดูบ่อยๆ ช่วยแบ่งเบานิดๆ หน่อยๆ” จากนั้นก็ได้กำชับพวกนางว่า “ที่นี่มีบ่อน้ำ มีลำคลอง พวกเจ้าจะต้องระวังเป็นอย่างมาก ห้ามให้คุณชายน้อยเฟิ่งชิงคลาดสายตาโดยเด็ดขาด”
ทั้งสองขานรับ “เจ้าค่ะ” พร้อมกัน ปินจวี๋ก็ได้ยิ้มออกหน้าออกตาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสองพักอาศัยอยู่ที่ซีซาน ที่นั่นระเบียบขั้นตอนเข้มงวด พี่ตงชิงยังแอบกังวลว่าจะไปเสียมารยาทอยู่เลยเจ้าค่ะ! ยังดีที่ไม่ต้องไปแล้ว”
ตงชิงได้ยินแล้วใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมา “บ่าวกลัวว่าจะไปทำให้ฮูหยินขายหน้านี่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงพอจะเข้าใจความกังวลของพวกนาง
ฮูหยินสองเป็นคนที่ดูแล้วสูงส่งสง่างาม คนปกติทั่วไปเวลาอยู่ต่อหน้านางก็จะรู้สึกอายและทำตัวไม่ถูก
สืออีเหนียงจึงยิ้มให้กำลังใจพวกนาง “ควรทำอะไรก็ทำไป มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” จากนั้นก็ได้เร่งพวกนาง “ไปเอาขนมออกจากกล่องใส่อาหารก่อน เปลี่ยนไปใส่กล่องกระดาษแทน แล้วให้เฟิ่งชิงถือไว้กับตัว” พูดจบก็ลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเบาๆ “ต่อไปเจ้าจะมีของกินทุกวัน ก็จะไม่ต้องเป็นแบบนี้แล้ว”
รอยยิ้มของตงชิงและปินจวี๋ก็ค่อยๆ หายไป ต่างก็พากันจ้องมองเฟิ่งชิงด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ
เฟิ่งชิงเห็นว่าทุกคนต่างพากันจ้องมองเขา ก็รีบกอดกล่องอาหารแน่นยิ่งขึ้น
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ ย่อตัวลงแล้วช่วยเขาจัดระเบียบเสื้อผ้า จากนั้นก็บอกเรื่องที่เขายังไม่ต้องไปที่ซีซานกับเขา “…เจ้าจะต้องเชื่อฟัง อยู่ที่นี่กับพี่ตงชิง หากว่าอยากไปเล่นที่ใด ห้ามแอบไปคนเดียวเด็ดขาด ไปบอกกับพี่ตงชิงให้นางเป็นคนพาเจ้าไป”
เฟิ่งชิงไม่เข้าใจว่าสืออีเหนียงกำลังพูดอธิบายอะไร เขารู้เพียงแต่ว่าเขาสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้
เขาจึงรีบพยักหน้าไม่หยุด รอยยิ้มของเขาสดใสราวกับแสงแดดเดือนหกก็ไม่ปาน ยังหยิบขนมข้าวเหนียวมาให้สืออีเหนียงทาน
สืออีเหนียงไม่เอา แต่เฟิ่งชิงกลับพยายามที่จะยัดเยียดให้นางจนได้ “อร่อย!” สืออีเหนียงกัดไปแค่นิดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ฉวยโอกาสย้ายขนมจากกล่องไม้ไปไว้ในกล่องกระดาษ พูดเตือนเฟิ่งชิง ตงชิงและปินจวี๋อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงไปค่อยไปที่เรือนของฮูหยินสามต่อ
เรื่องที่ต้องกำชับก็กำชับไปหมดแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ต้องเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันให้ได้ก็พอแล้ว
สืออีเหนียงนั่งลงตรงข้ามกับนาง ฮูหยินสามก็ได้พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “เหตุใดถึงมาเอาป่านนี้ ท่านแม่ไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกเหมือนว่าสีหน้าของนางไม่ค่อยดีเท่าไรนัก!” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความประชดประชัน
สืออีเหนียงตอบกลับด้วยความคลุมเครือพร้อมกับรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ทั้งสองพูดคุยเรื่องปีใหม่อยู่พักหนึ่ง จากนั้นสืออีเหนียงก็หาข้ออ้างขอกลับเรือนของนางไป แล้วจึงให้ลี่ว์อวิ๋นย้ายโต๊ะปักผ้าไปที่เตียงเตา นางค่อยๆ สงบสติอารมณ์ของตัวเองลง จากนั้นก็เริ่มปักลายผ้าของฉากบานพับ
ปักไปเพียงไม่กี่เข็ม ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “นายหญิงเฉียนสำนักศึกษามาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
ไม่รู้ว่าเจตนาจะหลีกเลี่ยงหรือเพราะตั้งครรภ์ร่างกายจึงไม่ค่อยสะดวก ตั้งแต่ตนแต่งงานเข้าจวนสกุลสวี อู่เหนียงไม่เคยมาหาตนเลยสักครั้ง และสืออีเหนียงเองก็คิดว่า ‘เหนือตนยังมีแม่ย่าที่ต้องเคารพ ล่างมายังมีสามีที่ต้องปรนนิบัติ’ ออกนอกบ้านไม่สะดวกเท่าไรนัก ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนอู่เหนียง
เมื่อนึกถึงหลัวเจิ้นซิ่งที่จู่ๆ ก็มาหาตั้งแต่เช้าตรู่…หรือว่านางเองก็ได้ยินข่าวลือเรื่องนี้ด้วย?
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็ได้หันไปสั่งกับสาวใช้ว่า “รีบเชิญไปดื่มชาที่ห้องปีกทิศตะวันออก”
จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้จัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมที่หน้ากระจก แล้วก็ตรงไปยังห้องปีกทิศตะวันออกทันที
อู่เหนียงสวมชุดอ่าวสีแดงสดลายดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง ดูสมบูรณ์กว่าตอนเจอหน้าครั้งก่อน แต่กลับดูงดงามมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่า
“พี่หญิงห้า!” สืออีเหนียงย่อตัวทำความเคารพนางด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
จื่อเวยเข้าไปช่วยประคองแขนของอู่เหนียงย่อตัวเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพตอบ
สืออีเหนียงเดินเข้าไปช่วยประคองนางไปนั่งที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง จากนั้นก็มีสาวใช้ยกชาขึ้นมาให้ สืออีเหนียงรับถ้วยชามาให้นางด้วยตัวเอง แล้วจึงค่อยนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“พี่หญิงวันนี้ทำไมถึงมีเวลามาเยี่ยมข้าได้ พี่เขยเล่า ไม่มาด้วยกันหรือ”
“ข้าอยากมา” อู่เหนียงก็ได้ชี้ไปยังท้องที่กลมและนูนของตัวเอง “แต่เจ้านี่ไม่ยอมน่ะสิ” แล้วก็ได้พูดต่อไปว่า “จะปีใหม่แล้ว ทางฝั่งซุ่นอ๋อง รองเจ้ากรมตู้แห่งกรมโยธาธิการ ผู้อาวุโสของสำนักศึกษา ล้วนแล้วแต่ต้องเคลื่อนไหวขยับขยายทั้งสิ้น พี่เขยของเจ้ายุ่งจนเท้าไม่แตะพื้นเสียด้วยซ้ำ” น้ำเสียงเคล้าไปด้วยความลำพองใจ
สืออีเหนียงพูดต่อจากนางด้วยรอยยิ้มว่า “สองสามวันมานี้ ถึงแม้ว่าหิมะจะไม่ตก แต่ลมเหนือพัดค่อนข้างแรง พี่หญิงจะต้องกำชับพี่เขยให้ระวังสุขภาพร่างกายด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว” สีหน้าท่าทีของอู่เหนียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “พี่เขยของเจ้ามีนิสัยเหมือนเด็ก ไม่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าอะไร ทานอะไร ก็ต้องให้ข้าดูแลจัดการทั้งหมด บางทีข้าก็อยากจะแอบอู้งานบ้าง ให้จื่อย่วนปรนนิบัติแทนสักประเดี๋ยว แต่เขาก็ไม่ยอม…” หว่างคิ้วของนางปรากฏสีหน้าเขินอาย บอกเล่าถึงชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขของนาง
สืออีเหนียงยังเป็นดังเช่นเมื่อก่อน รับฟังเงียบๆ อย่างตั้งใจ เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ คอยพูดแทรกบ้างเป็นบางครั้งบางคราวเพื่อให้นางสนุกกับการเล่ามากยิ่งขึ้น
ไม่นาน ก็วกกลับมาพูดถึงเรื่องเด็ก
อู่เหนียงส่งสายตาให้กับสืออีเหนียง บอกเป็นนัยว่าให้บ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติถอยออกไปก่อน
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็เข้าใจได้ในทันที อู่เหนียงคงจะได้ยินข่าวลือที่ซุบซิบกันอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่านางมาด้วยตัวของนางเอง หรือว่าเฉียนหมิงเป็นคนให้นางมา
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็ได้ให้คนที่ปรนนิบัติรับใช้ถอยออกไปจนหมด
“น้องหญิงสิบเอ็ด” อู่เหนียงจ้องมองสืออีเหนียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ “เจ้ารู้เรื่องที่ท่านโหวเลี้ยงอนุอีกคนอยู่ข้างนอกหรือไม่ ยังได้ให้กำเนิดบุตรชายอีกด้วย…”
ถึงแม้ว่าจะแตกต่างจากต้นฉบับ แต่เนื้อหาไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก
สืออีเหนียงและอู่เหนียงไม่ได้คิดไปในทิศทางเดียวกัน จึงไม่อยากที่จะพูดมากจนเกินไป พูดเพียงว่า “เมื่อเช้าพี่ใหญ่เองก็ได้มาที่นี่ เขาบอกข้าหมดแล้ว”
อู่เหนียงค่อนข้างตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เมื่อวานนี้ เฉียนหมิงได้ยินข่าวคราวแล้วก็รีบมาปรึกษาหารือกับนาง “… น้องหญิงสิบเอ็ดอยู่แต่ในเรือน เกรงว่าคงจะไม่รู้เรื่องนี้ พรุ่งนี้เจ้าไปที่จวนหย่งผิงโหวแต่เช้า แจ้งเรื่องนี้กับนาง”
ยังจำได้ตอนที่เพิ่งจะได้ยินข่าวลือ นางรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก “ทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ รีบไปบอกเรื่องนี้ให้พี่ใหญ่และท่านพ่อก่อน พวกเขาจะได้คิดวางแผนและเตรียมรับมือได้เร็วขึ้น”
“เจ้านะเจ้า!” เฉียนหมิงได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมา “ทำไมถึงได้ทำตัวเหมือนเด็กเช่นนี้ ทำอะไรไม่รู้จักระวังหน้าระวังหลัง”
นางได้ยินแล้วก็รู้สึกงงงวยไปหมด
เฉียนหมิงจึงได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าลองคิดดู เกิดเรื่องเช่นนี้กับจวนสกุลสวี คนทั่วไปจะกล้าเอ่ยปากพูดได้อย่างไร แต่เจ้าไม่เหมือนกัน นางเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดที่เติบโตมาพร้อมกับเจ้า ตอนที่เราเปิดร้านผลไม้ตากแห้ง ท่านโหวช่วยออกทั้งเงินออกทั้งแรง ถึงแม้จะเป็นการยื่นหมูมาไก่ไป เราก็ควรจะไปดูเสียหน่อยถึงจะถูก ยิ่งไปกว่านั้น เราเองก็กำลังเตรียมที่จะร่วมทำธุรกิจการค้ากับจวนสกุลเหวิน เรื่องที่จะต้องขอรบกวนน้องหญิงสิบเอ็ดยังมีอีกมาก เจ้าฉวยโอกาสนี้ไปทำความสนิทสนมกับนางให้มากยิ่งขึ้น มีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย”
เมื่อได้ยินแล้วก็อดที่ไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหว
เฉียนหมิงรู้จักกับคุณชายสามจวนสกุลเหวินผ่านงานเลี้ยงสุรางานหนึ่ง คุณชายสามสกุลเหวินได้ยินมาว่าเฉียนหมิงแต่งงานกับคุณหนูห้าสกุลหลัว จึงค่อนข้างให้ความสนิทสนม ต่อมาก็ได้ยินว่าการเงินของเฉียนหมิงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงได้นำใบแสดงหนี้เสบียงอาหารของจวนเซวียนถงราวห้าพันหาบออกมา “ข้าเก็บตั๋วเงินเกลือแค่สองพันแปดร้อยหาบส่วนที่เหลือเป็นของเจ้า” เฉียนหมิงแปลกใจเป็นอย่างมาก คุณชายสามสกุลเหวินพูดขึ้นว่า ”เจ้ากลับไปลองคำนวณรวมยอดดีๆ” ต่อมา เฉียนหมิงก็ได้ไปสืบสาวราวความมาว่าต้องใช้เสบียงอาหารราวห้าพันหาบแลกกับหนังสืออนุญาตจำหน่ายเกลือ นอกเสียจากว่าใช้วิธีอาศัยความกตัญญูต่างๆ นานา แต่หาได้มากสุดเพียงสามพันหาบเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าได้ผู้บัญชาการกองทัพทหารของเซวียนถงช่วยออกหน้าให้ สูญเสียมากสุดก็ราวห้าร้อยหาบเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็เป็นกำไรของตัวเองล้วนๆ
ครั้งที่แล้วเปิดร้านผลไม้ตากแห้ง ทำเอานางขาดทุนจนย่อยยับ
หากไม่ใช่เพราะปิดกิจการเร็ว และรีบขายต่อร้านค้าออกไปทันที รอจนครบกำหนดค่าเช่าร้านค้าในปีหน้า เกรงว่าห้าร้อยตำลึงเงินคงจะขาดทุนจนหมดเกลี้ยงกระมัง
ธุรกิจการค้าที่ไม่ต้องทำการลงทุนเพียงแค่รอรับผลกำไรเหมาะกับพวกเขาที่สุด
เพียงแต่ว่า หากอยากจะให้การค้าขายครั้งนี้สำเร็จลุล่วง ก็จำเป็นจะต้องให้สวีลิ่งอี๋ที่สนิทกับทางผู้บัญชาการกองทัพทหารฟั่นเหวยกังจวนเซวียนถงช่วยออกหน้า แต่กลับหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อจะพูดเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ไม่ได้เลย เรื่องนี้จึงล่าช้าจนถึงตอนนี้
ยามนี้จวนสกุลสวีเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากว่าสืออีเหนียงรู้เรื่องนี้เข้า คงจะสับสนมึนงงใจทำตัวไม่ถูกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นหากนางช่วยสืออีเหนียงชี้แนะออกความคิดเห็น สืออีเหนียงคงจะรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจในตัวนาง จากนั้นก็ค่อยมาพูดเรื่องทุกข์ร้อนของนางเอง…
แต่เมื่อนึกถึงบิดาและพี่ใหญ่ของนาง นางก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา
หากไม่บอกเรื่องนี้กับท่านพ่อและพี่ใหญ่ นางก็จะรู้สึกกระวนกระวายใจไม่หาย
ดูเหมือนจะรู้ว่านางเป็นกังวลใจอย่างไรอย่างนั้น เฉียนหมิงบีบจมูกที่งดงามของนางเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เด็กโง่! ทางพ่อตากับพี่ใหญ่ก็ยังมีข้าไง รอเจ้ากลับจากเหอฮวาหลี่แล้วเราค่อยไปที่ตรอกกงเสียนก็ยังไม่สาย!”
