สวีลิ่งอี๋กลับมาตอนเย็น “ได้ยินว่าอู่เหนียงมา มีเรื่องอันใดหรือไม่”
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงเดินเข้าไปรับเสื้อคลุมมาจากเขา ได้กลิ่นสุราจางๆ บนตัวของเขา “พี่เขยห้าได้ยินเรื่องของเด็ก จึงให้พี่หญิงห้ามาถามเจ้าค่ะ ถือโอกาสอยู่ทานข้าวกลางวันที่เรือนของไท่ฮูหยิน นั่งเล่นพูดคุยอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กลับไป”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เดินไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องชำระแล้วเดินออกมา
“ตอนเย็นทานอะไร” เขาถามพร้อมกับถอดรองเท้าขึ้นไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง
“ทานหม้อเนื้อแกะ” สืออีเหนียงรับชาจากสาวใช้มาให้สวีลิ่งอี๋ “มีผักตากแห้งที่เรียกว่าใบซานเซี่ยน ต้มในหม้อไฟ รสชาติอร่อยอย่างมาก” จากนั้นก็ถามเขาอย่างยิ้มแย้ม “วันนี้ท่านโหวร่ำสุรามาหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋จิบชาร้อน เอนตัวลงบนหมอนอิงใบใหญ่ด้วยท่าทางสบายใจ “หวังลี่มาหา ทุกคนจึงดื่มกันนิดหน่อย”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปจัดเตียง
แต่สวีลิ่งอี๋กลับจับมือนางเอาไว้ “นั่งลงก่อน”
สืออีเหนียงเดินมานั่งลงบนเตียงเตา
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าไม่เคยจนตรอกขนาดนี้มาก่อน” เขายิ้มให้สืออีเหนียงอย่างขมขื่น “ทุกอย่างที่คนพูดกันนั้นมีแต่เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึง พูดออกมาได้ทุกแบบจริงๆ”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ข่าวลือเป็นเช่นนี้แหละเจ้าคะ!” ราษฎรทั่วไปก็สนใจเรื่องของเหล่าสกุลขุนนางหรือตระกูลเศรษฐีอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสกุลโอวคอยยุแยง
“เดิมทีข้าอยากจะอธิบาย แต่เห็นท่าทีลับๆ ล่อๆ ของพวกเขาแต่ละคน ดูก็รู้ว่าพวกเขามาดูความสนุก ข้าจึงไม่อธิบาย กลัวว่ายิ่งอธิบายพวกเขาก็จะยิ่งได้ใจ ข้าจึงไม่พูดอะไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างเอือมระอา เขาไม่ได้มีสีหน้าโมโห เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้
“ข่าวลือขึ้นอยู่กับคนฟัง” สืออีเหนียงพูดปลอบเขา “ผ่านไปสองสามวันประเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “สกุลรองเจ้ากรมโยธาธิการเกิดคดีฆาตกรรมสามีลักพาตัวภรรยา ข้าส่งคนไปเผยแพร่เรื่องนี้แล้ว ทุกคนได้ยินเรื่องใหม่ ผ่านไปสองสามวันก็คงค่อยๆ ลืมเรื่องของข้าไปเอง”
แทนที่จะหลบหนีข่าวลือ ไม่สู้ใช้เรื่องอื่นมาแทนที่ดีกว่า เบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน ทำให้ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนไปเอง
สองสามีภรรยาปรึกษากันว่าจะทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กเช่นไร ยามที่เรื่องเล็กลงแล้ว ในยามนั้น ฮ่องเต้ทรงยิ้มแล้วไปที่พระตำหนักคุนหนิง
เมื่อวานองค์ชายใหญ่พึ่งกลับมาพระราชวัง ฮองเฮาทรงเรียกนางกำนัลของเขาไปถาม พลันได้ยินรายงานของขันทีว่าฮ่องเต้เสด็จมา นางจึงรีบเดินออกไปต้อนรับ
ฮ่องเต้จับมือฮองเฮาเดินเข้ามาห้องข้างใน
นางกำนัลยกชาเข้าไปแล้วรีบเดินออกมา
ฮ่องเต้ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงบ่ายของวันนี้ปรึกษาเรื่องการป้องกันของฝูเจี้ยนกับเก๋อเหล่าสองสามคน ได้ยินเรื่องสนุกๆ มาเรื่องหนึ่ง”
ฮองเฮาตกใจ จากนั้นก็นึกถึงสกุลโอวขึ้นมา
“สามารถทำให้ฝ่าบาทตรัสว่าเป็นเรื่องสนุก แสดงว่าต้องสนุกมากแน่ๆ ฝ่าบาททรงรีบเล่าให้หม่อมฉันฟังเถิดเพคะ” ฮองเฮายิ้ม “ให้หม่อมฉันได้เปิดโลกเสียบ้าง”
ฮ่องเต้หัวข้าะแล้วพูดว่า “บอกว่าสามปีก่อนหย่งผิงโหวพาหญิงของหัวหน้าค่ายทหารฝ่ายศัตรูนางหนึ่งกลับมาจากเเคว้นเหมียวเจียง แอบเลี้ยงดูนางอยู่ที่ตรอกฟั่นหม่าทางทิศตะวันตกของเมือง ตอนนี้มีบุตรชายอายุสามขวบแล้ว”
“เป็นไปได้เช่นไรเพคะ” ฮองเฮาตกใจ “ท่านโหวจะทำเรื่องเช่นนี้ได้เช่นไร”
ต้องรู้ว่า ปีนั้นฮ่องเต้ขับเคลื่อนกองทัพทหารในผิงเหมียวเป็นครั้งแรก หลังจากที่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ เพื่อแสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของต้าโจว บรรดาหัวหน้าถูกจับมาตัดหัว…การพาหญิงของหัวหน้าฝ่ายศัตรูนางหนึ่งกลับมา มันเท่ากับการแอบปล่อยเชลย หากตุลาการเอาเรื่องขึ้นมา เขาอาจจะกลายเป็นคนที่ร่วมมือกับศัตรูทรยศประเทศชาติ ความผิดเช่นนี้ต้องถูกฆ่าล้างทั้งโคตรเหง้า!
“เรื่องนี้ต้องเป็นข่าวลือแน่นอนเพคะ!” ฮองเฮาพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว ขมับของนางมีเหงื่อไหลออกมา
“ข้ารู้” ฮ่องเต้ก้มหน้าลงมองใบชาในถ้วยน้ำชา ไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติของฮองเฮา “น้องสี่เป็นคนรอบคอบและระมัดระวัง ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องนี้จริง แต่เขาก็ไม่มีทางทำให้มันแพร่กระจายไปทั่วเมืองเช่นนี้” เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาที่เฉียบแหลม “แต่ว่า เหลียงเก๋อเหล่าพูดเป็นตุเป็นตะ แม้แต่เด็กคนนั้นหน้าตาเช่นไรก็รู้ เกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดา ข้าคิดว่า เจ้ารีบจัดการเสียเถิด เชิญฮูหยินหย่งผิงโหวมาซักถามในพระราชวัง พรุ่งนี้ประทับตรา ฏีกาของตุลาการยังส่งเข้ามาไม่ได้ รอให้ถึงวันที่สามถึงจะประทับตราได้…”
ถึงตอนนั้นฎีการ้องขอก็คงจะมาไม่หยุด!
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” ฮองเฮารีบตอบรับ จากนั้นก็ปรึกษากับฮ่องเต้ “แต่ว่าฮูหยินของหย่งผิงโหวอายุยังน้อย หม่อมฉันเกรงว่านางจะพูดไม่ชัดเจน ไม่สู้เชิญไท่ฮูหยินเข้ามาในพระราชวังดีกว่าเพคะ…”
“เชิญฮูหยินหย่งผิงโหวมาจะดีกว่า!” ฮ่องเต้พึมพำ “ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว ลูกหลานมีเรื่องอะไรก็คงจะไม่บอกนาง หากนางโมโหขึ้นมามันจะไม่ดี”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นวาบในใจ
ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ตอนบ่าย แต่พึ่งมาบอกตัวเองตอนนี้ แล้วยังบอกให้เชิญสืออีเหนียงเข้ามาในพระราชวัง…เวลาผ่านไป สามีเมื่อก่อนของตัวเองกลายเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไปแล้ว!
แต่เมื่อนึกถึงน้องสะใภ้ที่หน้าตาสวยงามและฉลาดหลักแหลมคนนั้นของตน นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง” นางตอบกลับ “พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันจะเชิญฮูหยินหย่งผิงโหวมาซักถามเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า จากนั้นก็พูดกับเฮ่อกงกงที่อยู่ข้างๆ “พวกเจ้าออกไปเถิด”
หมายความว่าวันนี้จะบรรทมที่นี่
จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ฮองเฮา “ครั้งก่อนที่ข้ามา กระดูกหอยเป๋าฮื้อที่เจ้าทำช่างอร่อยเสียจริง วันนี้เจ้าก็ทำให้ข้าทานอีกเถิด!”
ฮองเฮายิ้มแล้วตอบรับ “เพคะ” จากนั้นก็บอกนางกำนัลให้ไปทำแล้วแอบครุ่นคิด หรือว่าพระองค์ยังไม่วางใจ กลัวว่าข้าจะแอบรายงานหย่งผิงโหว อยากเห็นว่าข้าจะบอกนางกำนัลเช่นไรด้วยตาตัวเองอย่างนั้นหรือ?
ตื่นเช้าวันต่อมา นางก็บอกให้คนไปเชิญสืออีเหนียงมาต่อหน้าฮ่องเต้
“…บอกว่าพาหญิงของหัวหน้าค่ายกลับมาเยี่ยนจิง แอบเลี้ยงดูนางอยู่ที่ตรอกฟั่นหม่า แล้วยังบอกว่าเด็กคนนั้นหน้าตาหล่อเหลา ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เรือนหน่วนเก๋อเงียบสงัด ไม่มีคนอื่นสักคน ฮองเฮาทรงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เค้นถามสืออีเหนียง
สืออีเหนียงตกใจ
ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกให้เข้าเฝ้าอย่างกะทันหัน สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงก็เคยนึกถึงความเป็นไปได้มากมาย รวมถึงเรื่องของเฟิ่งชิงที่หากคนในพระราชวังได้ยินเข้าก็คงจะส่งคนมาถาม รวมถึงเรื่องที่สกุลโอวจะพูดเรื่องนี้จากมุมของประเทศชาติ ทำให้พวกเขาโจมตีสกุลสวีได้สำเร็จ รวมถึงเรื่องที่ฮองเฮาจะได้ยินข่าวลือนี้แล้วเรียกสืออีเหนียงเข้าไปสอบถามในพระราชวัง…แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือท่าทีของฮองเฮา พวกนางสองคนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แต่พระองค์กลับยังทำท่าทีน่าเกรงขามและสวมมงกุฎเฟิ่งกวน สวมชุดสีน้ำเงินนั่งอยู่บนเก้าอี้
หัวของนางหมุนอย่างรวดเร็ว
จากการที่เคยอยู่กับฮองเฮาเพียงไม่กี่ครั้ง เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาไม่ใช่สตรีที่เย็นชา ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางสองคนกำลังคุยเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับสกุลสวี เหตุใดพระองค์ถึงทำท่าทีเคร่งขรึมเช่นนี้…หรือทรงกลัวว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง? แต่ที่นี่คือพระตำหนักคุนหนิง พระตำหนักของฮองเฮาเอง จะมีใครกล้าเช่นนั้นหรือ
นางคิดเช่นนี้ก็พลันเหงื่อตก
ในพระราชวังแห่งนี้ คนที่สามารถทำให้ฮ่องเฮาทรงหวาดกลัวได้ก็มีแค่ฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น!
นางอดไม่ได้ที่จะหายเข้าลึกๆ แต่จิตใจกลับสงบราวกับบ่อน้ำที่ไร้คลื่น
“ทูลฮองเฮา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงเพคะ ท่านโหวเป็นคนมีศีลธรรมและซื่อสัตย์ เขาจะทำเช่นนั้นได้เช่นไร” นางพูดพร้อมกับกะพริบตา อยากให้น้ำตาไหลลงมาเร็วๆ “ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นคนพูดเช่นนี้ หากฮ่องเต้ทรงรู้เข้า ท่านโหวยังจะมีชีวิตอยู่หรือเพคะ” พูดจบนางก็น้ำตาคลอเบ้า “ฮองเฮาเพคะ ท่านต้องช่วยท่านโหวนะเพคะ มีคนอยากจะใส่ร้ายท่านโหว! ทำร้ายท่านโหว!”
ฮองเฮาตกพระทัย จากนั้นนางก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา
นางยังไม่ได้พูดอะไร แต่สืออีเหนียงกลับรู้ว่าควรจะตอบเช่นไร เห็นได้ชัดว่าน้องชายของตัวเองมีการเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ตนจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่เมื่อนึกถึงฮ่องเต้ที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องข้างใน เขาสามารถได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอกอย่างชัดเจน รอยยิ้มของนางก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าอย่าพึ่งร้องไห้” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ “นั่งลงแล้วคุยกันก่อน” จากนั้นก็ชี้ไปที่เก้าอี้ทางขวามือ
สืออีเหนียงได้ยินเสียงที่นิ่งสงบของฮองเฮา นางก็รู้ว่าตนนั้นทำถูกต้องแล้ว จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ไปนั่งที่เก้าอี้
“ข้าถามเจ้า เจ้าได้ยินข่าวลือนี้หรือไม่” ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะเชื่อในตัวน้องชายของตัวเอง แต่แม้แต่บรรดาเหล่าเก๋อก็ยังทำท่าทีมีเหตุผลเช่นนั้น นางจึงไม่มั่นใจ
“เคยได้ยินเพคะ” สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วกระแอม “ไม่เพียงแต่เคยได้ยิน แม้แต่เด็กคนนั้นก็ยังพาเขากลับมาเลี้ยงอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเพคะ!”
“หา!” สีหน้าของฮองเฮาพลันเปลี่ยนไป
แต่สืออีเหนียงกลับเอียงหูฟังเสียงในห้องข้างใน
ดูเหมือนว่า ฮ่องเต้ทรงกำลังฟังอยู่ข้างในจริงๆ ด้วย
“เพราะเช่นนี้หม่อมฉันถึงบอกว่าท่านโหวถูกใส่ร้ายเพคะ!” ไม่รอให้ฮองเฮาได้เอ่ยอะไร นางก็รีบพูดทันทีว่า “เด็กคนนั้นไม่ใช่บุตรของท่านโหว แต่เป็นบุตรของคุณชายห้าเพคะ”
“ว่าไงนะ!” สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปอีกครา
นางคิดไม่ถึงว่ามีเรื่องเด็กจริงๆ
สืออีเหนียงที่คอยสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวในห้องข้างในอยู่ตลอดได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าม่าน
“มันเป็นเช่นไรกันแน่ หม่อมฉันก็ไม่เข้าใจเพคะ” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ฮองเฮาฟัง แต่กลับไม่ได้บอกว่าใครจะซื้อเด็ก บอกแค่ว่าสืบหาไม่เจอ “…ทันใดนั้นก็ได้ยินข่าวลือ บอกว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรของท่านโหวกับหญิงคณิกา แล้วยังบอกว่าพี่หญิงของข้าไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้ท่านโหวพาเด็กกลับมาที่จวน” พูดจบนางก็ร่ำไห้ “ฮองเฮาเพคะ คนพวกนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว แม้แต่คนที่เสียชีวิตไปแล้วก็ไม่ยอมปล่อยไป ฮองเฮาเพคะ ท่านคิดว่าหม่อมฉันควรจะทำเช่นไรดี ท่านโหวไม่มีทางอธิบายความจริงอย่างแน่นอน แต่หากท่านโหวไม่อนุญาติ แม้แต่อยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน หม่อมฉันก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ…”
ตอนนี้ฮองเฮาสับสนไปหมด
ถึงแม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ใช่บุตรของสวีลิ่งอี๋ แต่เขาก็เป็นลูกหลานของสกุลสวี
แก้ต่างให้สวีลิ่งอี๋แล้ว แต่มันก็เกี่ยวข้องกับสวีลิ่งควนและตานหยาง แล้วยังเกี่ยวข้องกับติ้งหนานโหว พ่อตาของสวีลิ่งควน แต่หากไม่แก้ต่างให้สกุลสวี เรื่องนี้ สกุลสวีคงจะแบกรับไว้ไม่ไหว
เช่นนั้น ก็เหมือนฝ่ามือและหลังมือ ถึงแม้จะรู้ว่าเนื้อตรงฝ่ามือหนากว่า แต่หากตีมัน มันก็เจ็บเหมือนกันทั้งนั้น
นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังห้องข้างในผ่านทางผ้าม่าน
เพราะว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาแล้วตั้งหลายปี เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ยังคงหวังว่าคนคนนั้นจะช่วยตัวเองแก้ปัญหาด้วยความเคยชิน
สืออีเหนียงที่แอบมองฮองเฮาอยู่ตลอดก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจในใจ มีเรื่องบางเรื่องที่นางก็พูดออกมาไม่ได้ แต่ตอนนี้นางต้องตัดพ้อแทนสวีลิ่งอี๋
“ท่านโหวนอนไม่หลับมาสองวันแล้วเพคะ พูดออกไปแล้วคุณชายห้าจะทำเช่นไร น้องสะใภ้ห้าก็ยังตั้งครรภ์อยู่ แต่หากไม่พูด มีข่าวลือข้างนอก ท่านโหวกลัวว่าตัวเองจะทำลายศักดิ์ศรีของจวนหย่งผิงโหว ยิ่งกลัวว่าจะทำให้ฮองเฮาและฮ่องเต้เสื่อมเสียชื่อเสียง เขาลำบากใจเป็นอย่างมากเพคะ…”
