เฉียวเหลียนฝังสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีแดงกุหลาบ สวมกระโปรงผ้าไหมสีเขียวเข้ม ม้วนผมมวยสูง ปักปิ่นหยก ยังคงทำท่าทีอกผ่ายไหล่ผึ่ง สีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่แววตาของนางกลับเจือความเหนื่อยล้า ราวกับว่านอนไม่เต็มอิ่ม
ดูเหมือนว่า เฉียวเหลียนฝังคงจะเป็นเหมือนกับฉินอี๋เหนียง นอนไม่หลับเหมือนกัน!
เฉียวเหลียนฝังชื่นชอบสวีลิ่งอี๋ ได้ยินว่าเขายังคงคิดถึงอนุภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วสิบกว่าปี นอนไม่หลับยังพอเข้าใจได้ แต่ฉินอี๋เหนียงเหตุใดถึงนอนไม่หลับกัน
คิดถึงความรักที่ลึกซึ้งของพวกนางเมื่อก่อน?
หรือว่า สงสารที่นางเสียชีวิตเร็วเกินไป?
หรือว่า แค่กังวลว่าการมาของสวีซื่อเจี้ยจะกระทบกับสวีซื่ออวี้?
นางกำลังครุ่นคิด ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านโหวและคุณชายห้าตื่นนอนเเล้วเจ้าค่ะ”
“อืม!” สืออีเหนียงรีบดึงสติกลับมา ยิ้มแล้วพูดกับหู่พั่ว “เจ้าไปถามว่าเขาจะทานข้าวเช้าที่ใด”
หู่พั่วตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วเดินออกไป
จากนั้นสืออีเหนียงก็พูดกับฉินอี๋เหนียง “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า เรือนของคุณชายน้อยห้ายังทำความสะอาดไม่เสร็จ คนในเรือนก็ไม่พอ คงต้องรบกวนฉินอี๋เหนียงแล้ว”
ฉินอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะบอกให้คนในเรือนช่วยทำความสะอาดประเดี๋ยวนี้”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วยกถ้วยชาขึ้นมา “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด ช่วงบ่ายอย่าลืมมากันเร็วหน่อย จะได้ไปทานอาหารส่งท้ายปีเก่าที่เรือนไท่ฮูหยินด้วยกัน”
ทุกคนลุกขึ้นแล้วตอบรับ
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วโน้มตัวไปหาสืออีเหนียง “ฮูหยิน ข้าไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่สู้ไปช่วยพี่หญิงฉินทำความสะอาดเรือนให้คุณชายน้อยห้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
เรือนของเหวินอี๋เหนียงมีท่านป้าผู้ดูแลอยู่แล้วหนึ่งคน ป้ารับใช้ที่ทำงานใช้แรงอีกหนึ่งคน สาวใช้ระดับสองจำนวนสองคน สาวใช้น้อยอีกสองคน
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้ม “คนยิ่งมาก กำลังยิ่งมาก ตอนเย็นยังมีดอกไม้ไฟให้ชม รีบจัดการให้เรียบร้อย เราจะได้ขึ้นปีใหม่อย่างสบายใจ!”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปที่เรือนเก่าของสวีซื่ออวี้กับฉินอี๋เหนียง ส่วนเฉียวเหลียนฝังพาซิ่วหยวนกลับเรือนของตัวเอง
ซิ่วหยวนยิ้มแล้วยกชาร้อนให้เฉียวเหลียนฝัง “คุณหนูวางใจได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านโหวไปที่เรือนของสืออีเหนียง ก็แค่ไปทักทายแค่นั้น”
เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามานางพาแค่ซิ่วหยวนติดตามมาคนเดียว คนอื่นล้วนเป็นคนของสกุลสวี ดังนั้นปกตินางมักจะให้ซิ่วหยวนอยู่ด้วย ในห้องไม่มีคนอื่น
ได้ยินซิ่วหยวนพูดเช่นนี้ นางก็หน้าแดง ยิ้มแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าตีซิ่วหยวน “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
ซิ่วหยวนเบี่ยงตัวหลบ ใช้แขนเสื้อปิดปากยิ้มแล้วพูดเล่นว่า “คุณหนูระวังเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ สีหน้าพลันหม่นหมองลง จากนั้นก็จับท้องของตัวเอง
รอยยิ้มบนใบหน้าของซิ่วหยวนค่อยๆ จางหายไป นางเดินเข้าไปหาเฉียวเหลียนฝังแล้วกระซิบเบาๆ “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ครั้งนี้ต้องมีข่าวดีแน่นอน”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ตาแดง “ยาก็ทานแล้ว เครื่องรางก็พกแล้ว…เรื่องที่ทำได้ก็ทำหมดแล้ว แต่ว่าร่ายกายของข้า…” พูดจบนางก็พนมมือไปทางทิศตะวันตก “พระโพธิสัตว์กวนอิม หากครั้งนี้ข้าสมปรารถนา ข้าจะบูชาท่าน จุดธูปให้ท่านทั้งวันทั้งคืน”
*****
อี๋เหนียงทั้งสามกำลังออกไป หู่พั่วก็เข้ามารายงาน “ท่านโหวบอกว่าจะทานข้าวเช้าที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพาสวีซื่อเจี้ยและปินจวี๋ที่อุ้มเข้าอยู่ไปยังห้องหนังสือ
พวกนางเจอกับลี่ว์อวิ๋นที่กำลังพาสาวใช้ของฮูหยินห้าสองคนเดินออกมาที่หน้าประตู
ทั้งสามคนย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง ลี่ว์อวิ๋นก็รีบอธิบาย “ฮูหยินห้าบอกให้คนนำเสื้อผ้ามาให้คุณชายห้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าดูแลสวีลิ่งควนเป็นอย่างดีมาตลอด
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้สาวใช้สองคนนั้น จากนั้นก็รู้สึกลังเลใจ
หรือว่า ตนมาเช้าเกินไป? พวกเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่?
กำลังจะเอ่ยถามลี่ว์อวิ๋น หงซิ่วก็เปิดม่านเดินออกมา “ฮูหยิน ท่านโหวเชิญท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีฟ้าไพลิน คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว สีหน้านิ่งสงบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสองคนอารมณ์ดีไม่น้อย
เห็นสืออีเหนียงพาสวีซื่อเจี้ยเข้ามา สวีลิ่งควนก็รีบเดินออกไปคำนับ “พี่สะใภ้สี่ขอรับ” ด้วยท่าทีที่เคารพ
หรือเพราะว่าได้ยินที่สวีลิ่งอี๋พูดเมื่อคืน…
สืออีเหนียงแอบคิดในใจ นางยิ้มแล้วคำนับกลับ เมื่อลุกขึ้นก็มองเห็นดวงตาสีดำที่แวววาวของสวีซื่อเจี้ยที่ถูกปินจวี๋อุ้มอยู่กำลังมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
หันไปมองสวีลิ่งควน เขากำลังหันหน้าไปมอง
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ
เด็กคนนี้อาจจะไม่มีวาสนากับสวีลิ่งควนจริงๆ
นางคิดแล้วบอกให้สวีซื่อเจี้ยคำนับทั้งสองคน
สวีลิ่งอี๋ถามถึงเรื่องของสวีซื่อเจี้ย “…เรียบร้อยหมดแล้วหรือยัง”
“ให้เขาอยู่ที่เรือนเก่าของสวีซื่ออวี้เจ้าค่ะ เพราะว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว หาคนไม่ค่อยได้ จึงให้สาวใช้ของข้าค่อยดูแลเขาก่อนชั่วคราว เมื่อผ่านเทศกาลโคมไฟไปแล้วค่อยหาคนที่สามารถพึ่งพาได้มารับใช้เขาเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเล่าให้เขาฟังสั้นๆ
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า ทำสีหน้าพอใจเป็นอย่างมาก ดูแตกต่างกับความถ่อมตนในวันปกติของเขา
หรือว่า แสดงให้สวีลิ่งควนดู?
นึกถึงสิ่งที่เขาพูดกับสวีลิ่งควนเมื่อวาน สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้
“เรื่องนี้ลำบากเจ้าแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ “เรียกสาวใช้ยกอาหารเข้ามาเถิด ประเดี๋ยวเรายังต้องไปจัดเครื่องบูชาบรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน”
ตามกฎแล้ว เครื่องบูชาบรรพบุรุษต้องให้บุรุษเป็นคนจัด สตรีจะแตะต้องไม่ได้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เรียกสาวใช้ให้ยกอาหารเข้ามา นางรับใช้พวกเขาสองคนทานอาหารเช้า จากนั้นก็พาสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
คุณชายสาม ฮูหยินสาม ฮูหยินห้า สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ สวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว
เห็นพวกเขาเดินเข้ามา ฮูหยินห้าก็เดินไปหาสวีลิ่งควน “คุณชายห้าเมื่อคืนนอนหลับพักผ่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” แต่สายตากลับเหลือบมองสวีซื่อเจี้ยที่อยู่ในอ้อมแขนของปินจวี๋ สีหน้าดูจริงจัง แล้วยังมีกลิ่นอายของความจับผิด
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างข่มขื่น
สวีลิ่งควนพยักหน้าให้ภรรยาของตัวเองแล้วพูดเบาๆ “กลับไปค่อยคุย” จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินไปคำนับทุกคน
เมื่อวานฮูหยินห้าไม่ดูให้ละเอียด ต่อมาอยากจะดูก็ไม่มีโอกาสได้ดูอีกแล้ว ครั้งนี้นางพยายามมองดูอย่างละเอียด นางรู้สึกว่าเขาหน้าตาเหมือนสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็นึกถึงคำพูดของป้าสือ นางจึงสบายใจ ยิ้มแล้วเดินไปคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงคำนับกลับ ทักทายคุณชายสามและฮูหยินสาม จากนั้นก็พอสวีซื่อเจี้ยเดินตามสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนไปคารวะไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋พาคุณชายสาม สวีลิ่งควนและเด็กๆ ผู้ชายไปที่ศาลบรรพชน ฮูหยินสามเป็นคนเตรียมอาหารส่งท้ายปีเก่า สืออีเหนียงจะไปดูว่าเรือนของสวีซื่อเจี้ยจัดการไปถึงไหนแล้ว ฮูหยินห้าอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน ฮูหยินสามและสืออีเหนียงจึงขอตัวลาแล้วแยกย้ายกันไป
*****
ลานฉินอี๋เหนียงตกแต่งเหมือนลานของเฉียวเหลียนฝัง แต่แค่กว้างขวางกว่านิดหน่อย กลางลานไม่ได้ปลูกดอกไม้ แต่เป็นเขาหินที่ทำด้วยหินไท่หู เดินเข้าไปทางประตูทางทิศตะวันตก มีระเบียงอยู่ทางทิศเหนือ สามารถเดินทะลุไปถึงเรือนเก่าของสวีซื่ออวี้ ลานของสวีซื่ออวี้กว้างขวางกว่าลานของฉินอี๋เหนียง เรือนหลักอยู่ทางเหนือหันหน้าไปทางทิศใต้ มีเรือนปีกที่มีห้องสามห้องทางซ้ายและขวา เรือนหน้ามีทางเดินหลบฝนเหมือนกลางเรือนหลักของฉินอี๋เหนียง ช่างเป็นลานสี่เหลี่ยมที่สมบูรณ์แบบ
เหวินอี๋เหนียงเดินเข้ามาในลานกับสืออีเหนียง ชี้ไปทางเรือนทิศตะวันตก “เดิมทีมันคือประตูหรูอี้”
หมายความว่าหากทำประตูขึ้นมาตรงนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเดินผ่านลานของฉินอี๋เหนียง สามารถเดินไปถึงเรือนเก่าของสวีซื่ออวี้ได้โดยตรง
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร
รอถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก่อนจะดีกว่า!
ถึงตอนนั้นนางต้องซ่อมแซมลานของตัวเอง สามารถถือโอกาสนี้ซ่อมแซมลานนี้ได้อีกด้วย
เดินเข้ามา เห็นฉินอี๋เหนียงสั่งสาวใช้สองสามคนแขวนผ้าม่าน แล้วยังมีสาวใช้สองสามคนถือผ้าขี้ริ้วเช็ดพื้น
ได้ยินเสียงเดินเข้ามา ทุกคนก็รีบหยุดแล้วคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเดินเข้ามาก็เห็นว่าข้าวของข้างในจัดเก็บเกือบจะเสร็จแล้ว นางพลันตกใจ
“เพราะว่าจะขึ้นปีใหม่ สองสามวันก่อนพึ่งจะทำความสะอาดไปแล้ว ก็ถือว่าทำเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง” ฉินอี๋เหนียงอธิบาย “ตอนบ่ายย้ายเข้ามา ปูที่นอนเสร็จแล้วคุณชายน้อยห้าก็ย้ายเข้ามาได้แล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า บอกให้สาวใช้ทำความสะอาดต่อ ตัวเองเดินดูรอบๆ ลานกับเหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียง ปรึกษากันว่าจะเติมอะไรที่ใด ตรงไหนขาดอะไรไป จัดข้าวของวางไว้ตรงไหน แค่พริบตาเดียวก็ถึงเที่ยงวัน
บ่าวรับใช้ชายของสวีลิ่งอี๋มารายงาน “ท่านโหวและคุณชายห้าทานข้าวกลางวันที่ลานข้างนอก บอกว่าฮูหยินไม่ต้องรอขอรับ”
หู่พั่วมอบเงินให้บ่าวรับใช้คนนั้นสิบอีแปะ สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านโหวไม่กลับมาแล้ว เราก็ทานอะไรกันนิดๆ หน่อยๆ เถิด ประเดี๋ยวตอนเย็นก็มีอะไรอร่อยๆ ทาน เรารีบจัดการเรือนของคุณชายน้อยห้าให้เรียบร้อย จะได้ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินเร็วๆ”
เหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วตอบรับ ไปทานอะไรนิดหน่อยที่เรือนของสืออีเหนียง รีบจัดการธุระให้เสร็จเรียบร้อยก่อน นัดกันไปที่เรือนของไท่ฮูหยินยามเซิน ส่งคนไปบอกเฉียวเหลียนฝัง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับไปแต่งตัวที่เรือนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ ไปที่ศาลบรรพชน ที่นั่นเตรียมเครื่องบูชาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจัดของเสร็จแล้วก็รีบไปทานอาหารกลางวันที่ลานข้างนอก จากนั้นก็กลับไปที่ศาลบรรพชน ทำพิธีบูชาบรรพบุรุษ เขียนชื่อของสวีซื่อเจี้ยลงในสมุดรายชื่อวงศ์สกุล จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
*****
ฮูหยินห้ารอสวีลิ่งควนกลับมา
นางยิ้มแล้วรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พูดว่า “พูดคุยเรื่องใดกันบ้างเจ้าค่ะ คุยกันทั้งคืน ข้ากลัวว่าท่านโหวจะโมโหใส่ท่าน กลัวว่าท่านจะน้อยใจ…นอนไม่หลับทั้งคืน”
สายตาของสวีลิ่งควนมีความละอายใจ “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
“พูดอะไรกันเจ้าคะ” ฮูหยินห้าพูด “เป็นข้าเองที่ชอบคิดมาก” พูดจบนางก็รับชามาจากสาวใช้แล้วยื่นให้เขา “แต่ว่า ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าท่านโหวพูดอะไรกับท่านบ้าง”
สวีลิ่งควนไม่ได้บอกเรื่องเด็กกับภรรยาของตัวเอง เพราะว่าเขาคิดว่าเรื่องนี้มันจบไปตั้งนานแล้ว เขาให้เงินหลิ่วฮุ่ยฟังเพื่อให้หลิ่วฮุ่ยฟังรับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กให้เติบโต
เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินความในใจของพี่สี่เมื่อวาน เขาถึงตระหนักได้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำให้สกุลสวีตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้
เมื่อได้ยินภรรยาเอ่ยถามเขา เขานั้นอยากจะบอกความจริงกับภรรยาของตนเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นได้สัญญากับพี่สี่ไว้แล้ว ลืมเรื่องเด็กคนนั้นไปเสีย คิดเสียว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะถามตัวเอง ก็ต้องกัดฟันบอกว่าเขาคือลูกของพี่สี่ เขาจึงกัดฟันกลืนมันลงไป
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งควนสูดหายใจเข้าลึก ท่าทีอกผายไหล่ผึ่ง “พี่สี่ให้ข้าช่วยงานเขา!”
