หลังจากที่หวงกุ้ยเฟยพานางในมาอวยพรตรุษจีนให้กับฮองเฮาแล้ว ก็ตามด้วยองค์หญิง และสุดท้ายคือบรรดาฮูหยิน
กว่าจะออกมาจากพระตำหนักคุนหนิงก็ยามอู่เสียแล้ว
ต่างเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น จึงต้องแสดงความยินดีซึ่งกันและกันอย่างอบอุ่นและนัดกันไปฉลองตรุษจีน
ไท่ฮูหยินบอกว่ารับปากสกุลนี้แล้วไปสกุลนั้นไม่ได้ แล้วบอกสกุลนี้ว่ารับปากสกุลนั้นแล้วไปสกุลนี้ไม่ได้ บอกว่าอารมณ์ไม่ดีจึงปฏิเสธทุกสกุล
เมื่อทุกคนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสกุลสวีเมื่อช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ก็มีสีหน้าสื่อถึงความเข้าใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย บ้างก็ปลอบใจไท่ฮูหยินอย่างอ้อมค้อม บ้างก็พูดปลอบใจอย่างตรงไปตรงมา ทางฝั่งกระโจมอีกด้านหนึ่งมีบรรดาองค์หญิงองค์ชายเดินออกมาจากประตูวัง ทุกคนต่างทยอยพากันเข้าไปคารวะทักทาย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างครึกครื้น สืออีเหนียงก็หันไปเห็นแม่สามีของสือเหนียง หวังฮูหยินผู้เฒ่าจวนเม่ากั๋วกงกำลังมุ่งหน้าไปทางประตูทิศตะวันออกเพียงลำพัง
รู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังมองนาง นางจึงหันกลับมา
เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็ยิ้มพลางพยักหน้า แต่สีหน้าของนางกลับดูฝืนใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ยังไม่เจอนาง ตอนนี้ในเมื่อได้เจอแล้วก็ควรจะเข้าไปทักทาย
“ท่านแม่ ข้าจะไปคำนับหวังฮูหยินผู้เฒ่านะเจ้าคะ” สืออีเหนียงกระซิบกับไท่ฮูหยินที่กำลังพูดคุยอยู่กับองค์หญิงใหญ่
ไท่ฮูหยินพยักหน้าแล้วหันไปพูดคุยกับองค์หญิงใหญ่ต่อ “…อย่างไรก็ต้องยอมรับว่าแก่แล้ว เมื่อวานเจ้าห้าจุดพลุ หม่อมฉันดูแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ไปเข้านอนแล้ว…”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเจ้าต้องมา สตรีสูงวัยอย่างพวกเรามารวมตัวกันดื่มสังสรรค์ฟังบทเพลงกันสักหน่อย…”
สืออีเหนียงเห็นว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน ไม่ได้สนใจตัวเอง จึงเดินไปหาหวังฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเงียบๆ
ใครจะรู้ว่าพึ่งจะเดินไปได้สองก้าวก็ถูกโจวฮูหยินที่อยู่ข้างหลังองค์หญิงใหญ่ดึงแขนเสื้อไว้ “แม่สามีของข้าเชิญแม่สามีของเจ้าไปดื่มสุราที่จวนวันที่หก เจ้าก็มาด้วยสิ อาศัยโอกาสนี้ที่พี่สะใภ้สามของเจ้าเป็นคนดูแลจวนอยู่ ข้าจะแนะนำคนสองสามคนให้เจ้ารู้จัก”
คนที่สามารถไปมาหาสู่กับสกุลขององค์หญิงได้มิใช่คนร่ำรวย แต่เป็นสตรีในยุคนี้ที่ล้วนมีสามีสูงศักดิ์ ดูแล้วการไปมาหาสู่กันมักจะทำให้มีข่าวลือที่ไม่ปกติ แม้ว่าใต้เท้าโจวกับสวีลิ่งอี๋จะรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่โจวฮูหยินที่สนิทสนมกับคนอื่นไปทั่วกลับทำให้สืออีเหนียงรู้สึกไม่วางใจ
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเองได้อย่างไร เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับท่านแม่และท่านโหว”
โจวฮูหยินยิ้มเจ้าเล่ห์ “แค่เจ้าตอบตกลงก็พอแล้ว ที่เหลือข้าจะคิดหาวิธีเอง!”
โจวฮูหยินเกิดในตระกูลขุนนาง แต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ขององค์หญิง แม้จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอบอุ่นครบทุกด้าน แต่นางกลับมีความกล้าบ้าบิ่นไม่เกรงกลัวสิ่งใด นางกลัวว่าโจวฮูหยินจะพูดสิ่งที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ทำให้ไท่ฮูหยินคิดว่าตัวเองอยากเข้าไปอยู่ในกลุ่มของโจวฮูหยิน
“ดูพี่หญิงโจวพูดเข้าสิ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “แม่สามีข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผลเช่นนั้น ข้าอยากจะถามพี่หญิงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีวิธีอื่นหรือไม่ อย่าลืมสิว่าอาการโรคข้อเท้าอักเสบของท่านโหวยังไม่หายดี!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” โจวฮูหยินฟังแล้วปิดปากหัวเราะ ท่าทางดูเหมือนว่า ‘ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ’ พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็อย่าลืมบอกข้าล่วงหน้าด้วยล่ะ ข้าจะได้จัดการได้ถูก”
สืออีเหนียงตอบรับ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหวังฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
“เจ้ากำลังหาใคร” เมื่อเห็นนางมองซ้ายมองขวาโจวฮูหยินก็มองไปตามสายตาของนาง เห็นสตรีจวนเจี้ยนหนิงโหวกับโซ่วชังปั๋วสองคนกำลังเดินตามขันทีไปยังพระตำหนักฉือหนิงพอดี นางยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสกุลหยางทั้งสองช่างกตัญญูเสียจริง ว่ากันว่าทุกเดือนจะต้องเข้าวังไปเยี่ยมไทเฮา” จากนั้นก็พูดหยอกล้อสืออีเหนียง “จะว่าไปแล้วเจ้ายังถือว่าห่างชั้นกันมาก ไม่สู้พี่สะใภ้สองของเจ้า เดิมทีนางมักจะเข้าวังมาพูดคุยกับฮองเฮาอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่เคยเห็นแม้แต่เงาของเจ้า”
สืออีเหนียงได้แต่ปรับตัวไปตามสถานการณ์ “ก็ข้ายังต้องดูแลท่านโหวนี่เจ้าคะ”
แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย จะว่าไปแล้วจวนเม่ากั๋วกงก็เป็นตระกูลขุนนางเหมือนกัน เหตุใดจึงทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากคบค้าสมาคมกับผู้อื่นมากนัก
“น่าแปลก” นางพูดพึมพำ “เมื่อครู่หวังฮูหยินผู้เฒ่าจวนเม่ากั๋วกงยังอยู่ที่นี่ เหตุใดเพียงแค่พริบตาเดียวก็หายไปเสียแล้ว!”
“มีอะไรน่าแปลก” โจวฮูหยินพูดเสียงเบาว่า “ตั้งแต่หวังหลังเกิดเรื่องเช่นนั้น หวังฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะยังกล้าสนิทสนมกับทุกคน แน่นอนว่าต้องรีบปลีกตัวออกมาจากทุกคน…” ยังพูดไม่จบก็คิดได้ว่าหวังหลังเป็นพี่เขยของสืออีเหนียง จึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “วันตรุษจีนพวกเราจะพูดเรื่องเช่นนี้ทำไมกัน เจ้าก็อย่าลืมกลับไปถามด้วยเล่า จะได้รีบมาให้คำตอบกับข้า”
เมื่อทุกคนพูดถึงหวังหลังต่างก็บอกว่าเขาไม่ดี ถามว่าไม่ดีอย่างไร ก็พากันพูดคลุมเครือ ยากนักที่จะได้เจอคนตรงไปตรงมาอย่างโจวฮูหยิน
สืออีเหนียงดึงแขนเสื้อนางไว้แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “พี่หญิงโจว พี่เขยของข้าทำอะไรไว้กันแน่”
โจวฮูหยินหัวเราะเบาๆ “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าเขารกหูรกตาก็เท่านั้น”
ในเยี่ยนจิงที่ใหญ่เท่าฝ่ามือ โจวฮูหยินเกิดและเติบโตในตระกูลขุนนางของเยี่ยนจิง ในบรรดาคนที่สืออีเหนียงรู้จัก เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยเรื่องการนินทาตระกูลขุนนางไปมากกว่าโจวฮูหยินอีกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสกุลหวังนั้นยังปิดบังตนไม่ได้ เกรงว่าตอนนี้ก็ปิดบังนางไม่ได้เช่นเดียวกัน
สืออีเหนียงเข้าใจได้เช่นนี้ จึงจูงมือนางไปที่ข้างกำแพงวัง “พี่หญิงโจวไม่ใช่คนนอก ข้าจะพูดความจริงกับท่านเอง! บ่าวรับใช้ข้างกายของพี่หญิงข้าตั้งครรค์ พูดจาไม่เข้าหูพี่เขยจึงถูกทำร้ายทุบตีจนแท้ง…”
คำพูดนี้กึ่งจริงกึ่งเท็จ แต่โจวฮูหยินกลับไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย นางเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความลังเล “เจ้าหมอนี่…” พูดพลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เจ้าพึ่งมาเยี่ยนจิง มีเรื่องบางอย่างที่ยังไม่รู้ เมื่ออยู่นานเข้า ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็จะรู้เอง บทบาทคนชั่วนี้ข้าจะเป็นคนเล่นเอง” โจวฮูหยินมองซ้ายขวา เข้าไปกระซิบข้างหูสืออีเหนียง “เขาเริ่มไปหอคณิกาชายตั้งแต่อายุสิบสองสิบสามปีแล้ว…”
รสนิยมทางเพศผิดปกติ?
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นคนใจร้อนและชอบทุบตีผู้คน
“เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ แต่ยังมีเรื่องที่ทุกคนไม่รู้” เสียงของโจวฮูหยินเบายิ่งกว่าเดิม “…ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดบีบบังคับบุตรชายคนเดียวของกรมพิธีการมาไว้ในกำมือได้ แล้วยังทำให้คุณชายผู้นั้นต้องอับอายขายหน้า แขวนคอตายบนต้นไม้ที่หน้าประตูหลังจวนของพวกเขา ในเหตุการณ์นั้นทำให้ขุนนางกรมพิธีการผู้นั้นโกรธจนล้มป่วย ไม่กี่วันมานี้ก็ตามบุตรชายไปแล้ว…สกุลหวังกล่าวเพียงว่าหวังหลังติดนี้คุณชายผู้นั้น คุณชายผู้นั้นเอาแต่ตามทวงหนี้ ด้วยความโกรธทั้งสองฝ่ายจึงได้ตีกันจนเกิดการสูญเสีย…”
“แม้แต่สกุลที่เป็นคนดีก็ยังกล้าไปบีบบังคับ…”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ใจเต้นระรัว นึกถึงสวีลิ่งควน…
“เขากล้าบ้าบิ่นจะตาย แล้วยังเคยฆ่าสาวใช้ที่บ้านตายอีกด้วย” โจวฮูหยินถอนหายใจ “หากไม่ใช่เพราะว่าต่อมาเขาได้ไปฆ่าคนเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นก็ลากเจ้าห้าของพวกเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ถูกหย่งผิงโหวสั่งสอนอย่างรุนแรง ตอนนี้จะประพฤติตัวอยู่ในกรอบเช่นนี้ได้อย่างไร เขาก็แค่ชอบทำตัวอวดเบ่ง ตบตีผู้หญิง…” นางมองสืออีเหนียงอย่างเห็นอกเห็นใจ “พอได้ยินว่าสกุลหลัวแต่งงานกับสกุลของพวกเขา ทั้งสองสกุลได้แลกเทียบรายชื่อกันแล้ว ก็นึกถึงคำพูดที่ว่า ‘ต่อให้รื้อถอนวัดแต่โชคชะตาก็ตัดไม่ขาด’ ข้าเองก็พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่แอบเสียดายพี่หญิงของเจ้า…”
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
นางรู้ว่าหวังหลังผู้นี้ทำตัวไม่เหมาะสม แต่คิดไม่ถึงว่าจะเลวร้ายถึงเพียงนี้
โจวฮูหยินเห็นนางสีหน้าหม่นหมอง ก็รู้ว่านางรู้สึกไม่สบายใจ จึงยิ้มปลอบใจนาง “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ชายผู้นี้ข้างนอกก็ส่วนข้างนอก ในเรือนก็ส่วนในเรือน พี่หญิงของเจ้าแต่งเป็นภรรยาเอก ไม่ว่าหวังหลังจะทำอะไรก็ยังนึกถึงหน้าตาตัวเองอยู่บ้าง เพียงแค่ไม่สามารถมีความรักที่ดีอย่างสามีภรรยาทั่วไปจึงอดเสียดายไม่ได้ แต่จะว่าไปแล้วสามีภรรยาในโลกนี้ส่วนใหญ่จะเคารพซึ่งกันและกันมากกว่ารักใคร่กันอย่างสามีภรรยา…” พูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีลิ่งอี๋พึ่งจะอุ้มเด็กเข้าจวนจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เดือนห้าปีหน้าก็สิ้นสุดการไว้อาลัยแล้วใช่หรือไม่ พวกเจ้ากับสกุลเจียงคงต้องหารือกันแล้วกระมัง”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็พลันรู้สึกหนักใจ
ตอนนี้นางก็แต่งออกไปแล้ว สือเหนียงก็ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ‘ไม่ใช่ปลาย่อมไม่รู้ว่าปลารู้สึกอย่างไร’ ไม่ว่าคนรอบข้างอย่างพวกนางจะร้อนใจเพียงใดก็ไร้ประโยชน์!
แม้จะคิดเช่นนี้แต่ในใจก็ยังรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อได้ยินโจวฮูหยินจงใจเปลี่ยนเรื่อง นางก็ไม่อยากพูดอะไรมาก จึงพูดออกไปว่า “ของขวัญวันตรุษจีนของสกุลเจียงในปีนี้มีผู้ดูแลจ้าวเป็นคนส่งไป เมื่อครบกำหนดไว้อาลัยแล้วก็ควรจะเริ่มปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งได้แล้ว”
โจวฮูหยินพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าจะต้องใส่ใจเรื่องงานแต่งของจุนเกอกับเจินเจี่ยเอ๋อร์จึงจะถูก ตอนนั้นจุนเกอเป็นกรณีพิเศษ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่หญิงของเจ้า ตอนนี้หากจะพูดถึงเรื่องแต่งงานของจุนเกอก่อนอวี้เกอ เกรงว่าเจ้าต้องระวังว่าจะมีการนินทาแพร่งพรายออกไป”
สืออีเหนียงพยักหน้า “อย่างไรก็ต้องฟังท่านโหวกับไท่ฮูหยิน ต่อให้ข้ารีบร้อนแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมได้”
“ก็จริง…”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ก็มีองค์หญิงมาเชิญองค์หญิงใหญ่ให้ไปคารวะไทเฮา
โจวฮูหยินรีบเข้าไปปรนนิบัติ รอให้องค์หญิงทักทายไท่ฮูหยินแล้วจึงพาองค์หญิงใหญ่ไปที่พระตำหนักฉือหนิง ไท่ฮูหยินพาบรรดาลูกสะใภ้กล่าวลาฮูหยินทั้งหลาย ไปเจอกับสวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ ที่ประตูพระราชวังแล้วกลับเหอฮวาหลี่พร้อมกัน
ตอนนี้อีกครึ่งชั่วยามก็จะต้นยามเว่ยแล้ว ทุกคนต่างก็หิวกระหาย รีบแยกย้ายกันกลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะไปทานเกี๊ยวที่เรือนไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงกำลังนั่งแต่งหน้าทำผมอยู่หน้ากระจก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาค่อยๆ เข้ามาเรื่อยๆ ได้ยินเสียงร้องอุทานเบาๆ ของหญิงสาว
นางหันไปมองด้วยความสงสัย
เห็นร่างเล็กๆ วิ่งเข้ามา เกือบจะชนเข้ากับสาวใช้น้อยซวงอวี้ที่ถือหม้อทองแดงใส่น้ำร้อนอยู่พอดี
“เกิดอะไรขึ้น!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม
ปินจวี๋ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องด้านใน
นางพูดอย่างร้อนรนว่า “ฮูหยิน บ่าวไม่ดีเอง บ่าวไม่ได้หยุดคุณชายน้อยห้าไว้…”
ปินจวี๋ยังไม่ทันพูดจบสวีซื่อเจี้ยก็วิ่งเข้ามาหยุดตรงหน้าสืออีเหนียงแล้ว
หน้าของเขาแดงระเรื่อ หางคิ้วและหางตาเต็มไปด้วยความปิติยินดี ยื่นมือออกไปหาสืออีเหนียง
บนฝ่ามือมีขนมรังนกสีกุหลาบ อาจจะเป็นเพราะกำไว้ในมือนานเกินไป จึงละลายไปเล็กน้อย น้ำหวานสีกุหลาบติดอยู่บนฝ่ามือ ดูสกปรกเป็นอย่างมาก
“นี่คือ…” สืออีเหนียงมองสวีซื่อเจี้ยด้วยความประหลาดใจ
“ข้าให้ท่าน” เขายิ้มแล้วยกมือขึ้นเตรียมยัดขนมใส่ปากสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเบี่ยงศีรษะหนีไปตามสัญชาติญาณ
ปินจวี๋รีบวิ่งตามหลังเขาเข้ามา นางคว้าสวีซื่อเจี้ยเอาไว้ ดึงเขาออกมาให้ห่างจากสืออีเหนียงแล้วพูดอย่างกังวลว่า “คุณชายน้อยห้า ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”
สวีซื่อเจี้ยมองสืออีเหนียงอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มหน้าลง ใบหน้าปรากฏให้เห็นถึงความโศกเศร้าที่ดูเกินอายุเขา
หัวใจของสืออีเหนียงเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างชนเข้าเต็มๆ
มันเจ็บและมึนงงเล็กน้อย
