“ท่านโหว ท่านดื่มมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
แม้ว่าจะอาบน้ำแล้วแต่ก็ยังไม่สร่างเมา
สืออีเหนียงถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขนทั้งที่ยังสวมเสื้อกั๊กยาวอยู่จึงทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก พยายามจะลุกขึ้นนั่ง
“สุราไม่ได้ทำให้คนเมา คนนั้นมัวเมาเองต่างหาก” สวีลิ่งอี๋ยิ่มแล้วยื่นมือไปกอดนางไว้
สืออีเหนียงเห็นการหยอกล้อในแววตาของเขา นึกขึ้นได้ว่าเขาชอบหยอกล้อตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงปล่อยไปตามน้ำ แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้จึงซุกหน้าลงบนหมอนใบใหญ่
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าหูของนางแดงระเรื่อก็เริ่มรู้สึกสนุกจึงกระซิบกระซาบข้างหูนางเบาๆ
สืออีเหนียงทำตัวไม่ถูก
ก่อนหน้านี้มีช่วงเวลาที่ทำตัวไม่ถูกค่อนข้างมาก แต่ตนก็ไม่ได้สนใจ คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะหยอกล้อนางเช่นนี้ เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่เดินทางไปโรงเรียนแล้วเจอเด็กผู้ชายผิวปากแซวนาง ถึงแม้ว่าพอโตขึ้นแล้วจะรู้ว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่เด็กผู้ชายแสดงถึงความชื่นชอบ แต่ตอนนั้นกลับรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
นางเงยหน้าแล้วถลึงตาใส่สวีลิ่งอี๋อย่างอดไม่ได้
สวีลิ่งอี๋รู้สึกเพียงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับแสงอาทิตย์ในยามเช้า ดวงตาคู่งามสาดส่องราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ งดงามและอ่อนโยนเป็นที่สุด ในใจพลันหวั่นไหว ท่าทางที่เดิมทีเหมือนเพียงแค่อยากจะเล่นสนุกในตอนแรกเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลมากขึ้น
“สืออีเหนียง…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้แล้วจูบลงบนไหล่ของนาง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าสืออีเหนียงรู้เจตนาของสวีลิ่งอี๋หรือเป็นเพราะความเย็นยะเยือกของอากาศ สืออีเหนียงตัวสั่นเล็กน้อย รู้สึกหนาวจนร่างกายแข็งทื่อไปหมด
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้!
ไม่ว่าด้านไหนตนก็ไม่สามารถปฏิเสธสวีลิ่งอี๋ในเรื่องนี้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงหาวิธีแก้ไข การหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ใช่หลักการของนาง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ตัวเองเป็นสืออีเหนียง ก็ควรจะใช้ชีวิตต่อไปในฐานะที่เป็นสืออีเหนียง…เย็บปักถักร้อยถือเป็นงานของสตรี ก่อนหน้านี้ก็ทำมันได้ดีไม่ใช่หรือ…นอกจากนี้เรื่องที่ว่าผู้หญิงในยุคนี้จะแต่งงานตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ปี ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนนาง จะว่าไปแล้วการที่เป็นมั่วเหยียนนั้นมีเวลามากกว่า…
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่มือของนางกลับจับผ้าห่มไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
สืออีเหนียงรู้สึกเจ็บไหล่เล็กน้อย จึงผลักเขาออกโดยไม่ได้ตั้งใจ
สวีลิ่งอี๋ตกใจจึงเริ่มรู้สึกตัว
บนไหล่มีดอกไม้แดงบานสะพรั่ง ราวกับดอกไม้ที่ตกลงมาบนหิมะขาว…ช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน
เขากอดและจูบแก้มนางเบาๆ “ข้าทำเจ้าเจ็บหรือ” แต่แขนกลับกอดนางไว้แน่น
สวีลิ่งอี๋มีไอร้อนพร้อมกับกลิ่นสุราที่ค่อนข้างแรงทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางก็จะอดทนแล้วเกลี่ยกล่อมให้เขาปล่อยมือ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อตัดสินใจที่จะแก้ปัญหานี้ เช่นนั้นการสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลับตาลงแล้วพูดพึมพำว่า “ท่านโหวมีกลิ่นสุราติดเต็มตัวไปหมด…ข้าจึงรู้สึกไม่ค่อยสบาย…” นึกขึ้นได้ว่าถึงแม้สวีลิ่งอี๋จะเป็นคนใจกว้าง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของสามีภรรยา ไม่รู้ว่าเขาจะรับได้หรือไม่ ดวงตาของนางเหลือบมองเขา
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปชั่วครู่
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะใช้เหตุผลนี้ เห็นว่านางไม่กล้าสบตากับตน สีหน้ายังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว ราวกับเด็กสาวที่กลัวว่าจะถูกเขาตำหนิ…ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสวีลิ่งควน ตอนที่สวีลิ่งควนยังเด็กเวลาเจอเขาก็จะมีท่าทางเช่นนี้ จากนั้นเวลาที่สองพี่น้องพูดถึงเรื่องตอนเด็กๆ เขาก็รู้สึกว่าสวีลิ่งควนชอบเอาเรื่องของเขามาพูด รู้สึกไม่สบอารมณ์ ทำตัวเหมือนเป็นเด็กผู้หญิง ดังนั้นเมื่อเห็นสวีลิ่งควนเขาจึงมักจะขมวดคิ้ว แต่สวีลิ่งควนกลับบอกว่าอยากจะใกล้ชิดเขามาตั้งแต่เด็ก แต่ทุกครั้งที่เห็นเขาขมวดคิ้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี...หรือว่าสืออีเหนียงก็เป็นเช่นกัน
อยากจะใกล้ชิดกับเขาแต่ก็กลัวท่าทางเคร่งขรึมของเขา!
เมื่อนึกถึงหลายวันมานี้ที่เพียงแค่กอดนางแล้วนอนหลับไป นางก็มีท่าทางเชื่อฟัง แล้วครั้งนั้นที่หยอกล้อนาง สุดท้ายตัวเองก็ถลำลึกลงไป…ท่าทางของนางที่โอนอ่อนตาม…
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ
สืออีเหนียงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ เห็นคิ้วของเขาเลิกขึ้นสูง “เพราะอย่างนี้เองหรือ”
แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
ทานคำเดียวไม่สามารถทำให้อ้วนได้ มีบางคำที่ต้องค่อยๆ พูดจึงจะเข้าใจ
“เจ้าค่ะ!” นางพยักหน้าเล็กน้อย
ส่วนสวีลิ่งอี๋ก็มองริมฝีปากแดงระเรื่อของนาง แล้วก้มลงจูบริมฝีปากของนางด้วยรอยยิ้ม
คนรักกันเท่านั้นจึงจะจูบกันได้…
สืออีเหนียงเบี่ยงหน้าหลบจูบของเขาโดยไม่รู้ตัว
“สืออีเหนียง…” สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยความประหลาดใจ
สืออีเหนียงเห็นแล้วอดถอนหายใจไม่ได้
พึ่งจะตัดสินใจไปแล้วเมื่อครู่ แต่ทำไม…
นางทำได้เพียงวัวหายล้อมคอก
ผลักเขาออกแล้วพูดพึมพำว่า “กลิ่นสุราเต็มตัวไปหมดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทางออดอ้อนของเด็กน้อยเมื่อครู่ ความไม่สบอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ก็ราวกับน้ำแข็งที่เจอกับแสงอาทิตย์จนละลายกลายเป็นน้ำทันที
“เอาล่ะ เอาล่ะ” เขาลูบผมของนางเบาๆ กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น “รีบนอนเถิด!”
ท่าทางดูหยาบกระด้างเล็กน้อย แต่กลับทำให้สืออีเหนียงที่ตัวแนบชิดอยู่กับเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน
นอนไปแล้วจริงๆ หรือ…
สืออีเหนียงไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้นนางก็รู้สึกว่ามือกว้างอันอบอุ่นของสวีลิ่งอี๋ลูบไปมาที่เอวของนางไม่หยุด ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ สงบลง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกกระวนกระวายใจ
หากไม่มีความทรงจำของมั่วเหยียน นางจะคิดว่าเขาเป็นสามีที่ดีหรือไม่
ถึงแม้ว่าจะมีความทรงจำของมั่วเหยียนอยู่ แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนรักที่ดี...
นางหันหน้าออกไป
ด้านนอกมุ้งผ้าแพรสีเหลืองขมิ้นปักลายค้างคาวสีฟ้า เมื่อแสงสว่างสีขาวส่องเข้ามา ทำให้รู้สึกเหมือนแสงที่สาดส่องในความมืดมิด
สืออีเหนียงกัดริมฝีปากแล้วพลิกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋ มือบางเอื้อมไปกอดที่เอวหนาเบาๆ
“ท่านโหว…” น้ำเสียงใสกังวานของนางแฝงไว้ด้วยความลังเล ปลายนิ้วของนางไล่ผ่านผ้าแพรที่อ่อนนุ่มอย่างมีเลศนัย ค่อยๆ หยุดอยู่บนผิวที่ร้อนระอุของเขา
จู่ๆ มือของนางก็ถูกจับไว้
“รีบนอนเถิด!” น้ำเสียงแหบพร่า “พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า!”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
จากนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้า
ถูกปฏิเสธอย่างนั้นหรือ…
“ข้าดื่มสุรามา…” น้ำเสียงของเขาฟังดูหม่นหมอง
เป็นเพราะที่ถูกปฏิเสธก่อนหน้านี้หรือ
สืออีเหนียงเขินอายจนยากที่จะทนได้ จึงพลิกตัวหันหลังให้เขา
สวีลิ่งอี๋รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็เข้าใจได้ในทันทีจึงอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
“ข้าไม่อยากต้องหยุดกลางคันเหมือนครั้งที่แล้ว…”
เขาจูบเบาๆ ที่หลังของนาง
สืออีเหนียงพลันตัวแข็งทื่อ
สวีลิ่งอี๋รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของนางจึงหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงของเขาฟังดูมีความสุขอย่างชัดเจน
จริงๆ เลย…หน้าอายเสียจริง…
สืออีเหนียงใช้ผ้าห่มคลุมหัวแต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋ดึงมากอด
“มั่วเหยียน…” เขาจูบแก้มนาง น้ำเสียงมีความสุข “รีบโตเร็วเข้า!”
******
สะใภ้หนานหย่งมองสืออีเหนียงที่นั่งอยู่หน้ากระจกอย่างระมัดระวัง พลางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ที่เอนกายอยู่บนเตียง ก่อนที่จะนำปิ่นปักผมสีทองประดับไข่มุกมาปักตรงมวยผม จากนั้นก็เอ่ยถามเสียงกระซิบว่า “ฮูหยิน ท่านว่าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สืออีเหนียงจ้องมองคนในกระจก
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจริงๆ ด้วย
มวยผมทรงดอกบัวตั๋นยกสูง สวมเสื้อปักลายดอกไม้สีแดงลูกพลับที่ปักเย็บอย่างสวยงาม ปัดแก้มบางๆ คิ้วดำขลับที่วาดอย่างประณีต การแต่งกายดูสง่างามกว่าปกติ
นางยิ้มพลางพยักหน้าให้สะใภ้หนานหย่ง หยิบถุงเงินสองถุงในกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งมามอบให้ “อันหนึ่งให้เจ้า อีกอันหนึ่งให้เป็นอั่งเปาแก่บุตรสาวของเจ้า”
สะใภ้หนานหย่งรีบย่อเข่าคำนับขอบคุณ ก้มหน้าแล้วถอยหลังไปจนถึงห้องโถงทางเดิน ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น
ฮูหยินที่ปกติยิ้มแย้มแจ่มใสกลับทำหน้าบึ้งตึง แต่ท่านโหวที่ปกติทำหน้าบึ้งตึงกลับยิ้มแย้มแจ่มใส…ซ้ำยังนอนอยู่บนเตียงมองดูฮูหยินแต่งตัว…ช่างแปลกเสียจริง
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินคนเอ่ยเรียกนางว่า “พี่หนาน พี่จะเริ่มทำงานที่เรือนคุณชายน้อยห้าเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
สะใภ้หนานหย่งชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อหันไปก็เห็นซวงอวี้ที่อายุเพียงสิบขวบกำลังถือน้ำร้อนยืนอยู่ใต้ชายคาเรือน
ซวงอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “ป้าเถาบอกว่าพี่หนานจะมารับใช้อยู่ในเรือนคุณชายน้อยห้าหลังจากตรุษจีน ข้าเองก็เป็นคนที่ฮูหยินให้มารับใช้คุณชายน้อยห้า ต่อไปนี้ก็จะได้อยู่เรือนเดียวกันกับพี่หนานแล้ว”
สะใภ้หนานหย่งประหลาดใจ
สืออีเหนียงถามสะใภ้หนานหย่งว่าอยากทำงานรับใช้คุณชายน้อยห้าหรือไม่ นางกลับไปปรึกษากับหนานหย่ง แต่กลับถูกด่ามาชุดใหญ่ “ที่ฮูหยินถามเจ้าก็เพื่อให้เกียรติเจ้า แต่เจ้ากลับไร้เดียงสามาปรึกษากับข้าก่อนจริงๆ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ยังไม่รีบไปขอบคุณฮูหยินอีก”
ตอนนั้นนางกระวนกระวายไปหมด “ข้ากลัวว่าข้าจะดูแลคุณชายน้อยห้าได้ไม่ดี คุณชายน้อยห้าเกิดและเติบโตนอกจวน เลี้ยงมาจนอายุสามขวบจึงได้เข้าจวนมา มีสายตาหลายคู่คอยจ้องมองมาที่เขา หากเข้มงวดไปก็กลัวว่าคุณชายน้อยห้าจะไม่ชอบ หากไม่เข้มงวดจนไม่รู้จักกฏในเรือนก็จะรู้สึกผิดต่อฮูหยิน ข้าจะกล้ารับงานนี้ได้อย่างไร!”
“เจ้าโง่ ยังจะพูดเหลวไหลอยู่อีก” หนานหย่งฟังแล้วรู้สึกโมโหดั่งสายฟ้าฟาด “เช่นนั้นเจ้ากล้าปฏิเสธฮูหยินอย่างนั้นหรือ” ดุด่าไปพลางผลักนางออกไปนอกประตู จะพานางไปขอขมากับสืออีเหนียง
ยังดีที่ภรรยาของผู้ดูแลจ้าวที่อยู่ห้องข้างๆ มาห้ามหนานหย่งเอาไว้ “เจ้าทำอะไร ฮูหยินก็เพียงแค่ชอบที่ภรรยาของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ เจ้าเลิกเข้ามาแทรกกลางได้แล้ว ก็แค่ให้ภรรยาของเจ้าไปบอกกับหู่พั่วก็พอแล้ว”
ผู้ดูแลจ้าวเป็นคนมีเกียรติในจวน คำพูดของภรรยาเขามีหรือที่หนานหย่งจะกล้าขัดขืน จึงเร่งให้ภรรยาของตนรีบกลับไปให้คำตอบฮูหยิน
สะใภ้หนานหย่งไม่กล้ารอช้า รีบกลับไปให้คำตอบกับหู่พั่ว
คิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
นางยิ้มให้ซวงอวี้ “ข้าต้องรอฟังคำสั่งของฮูหยินก่อน” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้ายกน้ำไปให้ใครหรือ ระวังจะเย็นเสียก่อน”
“ไม่เป็นไร นี่เป็นน้ำที่ข้ายกมาให้พี่ลี่ว์อวิ๋น” ซวงอวี้ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “วันนี้พี่หู่พั่วและคนอื่นๆ จะตามฮูหยินไปเยี่ยมญาติที่ตรอกกงเสียน พี่หงซิ่วกำลังทำงานอยู่ ส่วนพี่ลี่ว์อวิ๋นกำลังพักผ่อน”
“เช่นนั้นก็อย่าปล่อยให้น้ำเย็นเสียก่อน” สะใภ้หนายหย่งกำชับนางด้วยรอยยิ้มสองสามประโยคแล้วแยกย้ายกันไป
ส่วนสืออีเหนียงที่อยู่ในห้องก็หันไปพูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “ท่านโหวยังไม่เตรียมลุกจากเตียงอีกหรือ เดี๋ยวจะไปตรอกกงเสียนสายนะเจ้าคะ”
