สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้สืออีเหนียงก็ยังทำตัวไม่ถูก
ภรรยาที่ปกติเป็นคนกล้าหาญ แต่ตอนนี้กลับทำตัวไม่ถูกต่อหน้าตัวเอง ทำให้เขารู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก
อยากจะหยอกล้อนางอีกสักหน่อย แต่พอนึกถึงท่าทางเมื่อวานนี้ที่นางทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าแดง รู้ว่านางนั้นเขิน เกรงว่าจะทำให้นางโมโหได้ จึงเรียกชุนมั่วกับซย่าอีเข้ามาปรนนิบัติเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะเป็นคนไร้ยางอาย พูดคำเหล่านั้นออกมาได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร
แต่ตนไม่ชินจริงๆ สองชาตินี้ที่เกิดมาเป็นคน ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำเช่นนี้ต่อหน้านางมาก่อน
ตัวเองก็ยิ่งแล้วใหญ่ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกไม่สบายใจแล้วเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อของเขา…
อย่าลืมสิว่าสวีลิ่งอี๋ไม่เคยขาดแคลนคนร่วมเตียง อย่าว่าแต่เขามีอี๋เหนียงสามคนเลย แม้แต่สาวใช้ในจวนนี้ หากเขาสนใจ ผู้ใดจะไปสามารถขัดขวางเขาได้ เขาให้เกียรตินางมาตลอดแต่ที่จริงแล้วก็คือแผนที่วางเอาไว้ แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงความเคารพภรรยา ไม่อย่างนั้น เหตุใดเฉียวเหลียงฝังถึงไม่เห็นฉินอี๋เหนียงกับเหวินอี๋เหนียงอยู่ในสายตาเล่า อีกทั้งยังไม่สนใจท่าทีของพวกนางแม้แต่น้อย อย่าลืมว่าแม้แต่ตอนที่นักประวัติศาสตร์พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับพระสนมก็จะเรียงลำดับตามสถานะของพระสนม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉียวเหลียนฝังนั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว สถานการณ์การอยู่ร่วมกันระหว่างคนสองคน
หากจะโทษก็โทษตัวเองที่เมื่อวานนี้ตื่นตระหนกเทานไป ทำให้ส่วนที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ก้นบึ้งของหัวใจที่เป็นของมั่วเหยียนผุดขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
สืออีเหนียงลูบดอกเหมยที่แกะสลักอยู่บนหวีไม้หวงหยางที่อยู่ในมือพลางยิ้มเยาะตัวเอง
จะว่าไปแล้วตัวเองก็ยังมีความดื้อรั้นอยู่บ้าง ไม่มีทางที่จะเป็นสืออีเหนียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
นางสงบสติอารมณ์ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นสืออีเหนียงที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน “ให้คุณชายน้อยห้าเข้ามาเถิด”
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วเดินออกไป
ตงชิงและปินจวี๋ประกบข้างซ้ายขวาสวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา
วันนี้เขาสวมเสื้อผ้าแพรสีฟ้าตัวใหม่ เกล้าผมขึ้น สีเสื้อช่วยขับเน้นผิวที่กระจ่างใสของเขา คิ้วทั้งสองข้างงดงามยิ่งนัก
เมื่อเห็นสืออีเหนียงกำลังมองสวีซื่อเจี้ยตงชิงก็รีบอธิบายว่า “พวกบ่าวช่วยกันทำชุดรับตรุษจีนให้คุณชายน้อยห้ากันทั้งคืนเจ้าค่ะ”
“สีนี้ดูดีมาก” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ให้ตงชิงตามหญิงรับใช้สูงวัยที่เป็นคนรายงานข่าวไปที่ตรอกกงเสียนก่อน วันนี้เป็นวันที่สอง ทุกคนต้องกลับสกุลเดิมเพื่อไปอวยพรตรุษจีน
ตงชิงไม่ได้อยากจะกลับจวนสกุลหลัว แต่สืออีเหนียงทำท่าทางเหมือนอยากให้พวกนางไปพบกับสหายเก่า นางเองก็ไม่อยากหักหน้าสืออีเหนียง จึงยิ้มตอบรับแล้วเดินออกทางประตูข้างของจวนสวี
สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ยังไม่ออกมาจึงอุ้มสวีซื่อเจี้ยแล้วถามเขาว่าทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง ทานอะไรมาบ้าง สิ่งใดบ้างที่อร่อย
สวีซื่อเจี้ยพูดจาอย่างเฉลียวฉลาด ไม่เหมือนเด็กอายุสามขวบแม้แต่นิด ค่อยๆ ตอบคำถามของสืออีเหนียงทุกคำถาม
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ สวีลิ่งอี๋ก็ล้างหน้าล้างตาเสร็จพอดี
สวีซื่อเจี้ยพลันเหม่อลอย สายตามองตามสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่ทันได้สังเกต เห็นเพียงว่าสืออีเหนียงกำลังอุ้มเด็กหน้าตาขาวผ่องคนหนึ่ง ดวงตาอ่อนโยน รอยยิ้มสดใส มองแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก ทำให้อารมณ์ของเขาสงบ
“อวี้เกอยังไม่มาอีกหรือ” เขายิ้มพลางจัดแขนเสื้อ สื่อให้เห็นว่าชุนมั่วได้ช่วยเขาสวมเสื้อคลุมแล้ว
สืออีเหนียงรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว จึงให้ปินจวี๋มาอุ้มสวีซื่อเจี้ย ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ให้ไปอยู่กับจุนเกอเถิด”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพาสืออีเหนียงกับสวีซื่อเจี้ยไปหาไท่ฮูหยิน
คนของเรือนสามได้มาลาไท่ฮูหยินไปที่จวนจงฉินปั๋วแต่เช้าแล้ว สวีซื่ออวี้ยืนอยู่หน้าตั่งนั่งของไท่ฮูหยิน มองดูไท่ฮูหยินจัดเสื้อผ้าให้จุนเกอพลางกำชับการปฏิบัติตัวกับเขา เมื่อเห็นท่านพ่อกับท่านแม่เข้ามาก็รีบเดินเข้าไปคำนับ จุนเกอตะโกนเรียก “เจี้ยเกอ” ด้วยความดีใจ เมื่อสวีซื่อเจี้ยเห็นว่าจุนเกอเรียกตัวเองก็หันไปยิ้มให้จุนเกอ
ไท่ฮูหยินเห็นว่าทั้งสองสนิทสนมกันก็หัวเราะขบขัน
แต่สวีลิ่งอี๋กลับดุจุนเกอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจี้ยเกอใช่ชื่อที่เจ้าควรเรียกหรือ ต้องเรียกว่าน้องห้า!”
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
จุนเกอหน้าซีดเซียว พูดพึมพำกับสวีซื่อเจี้ยว่า “น้องห้า” ส่วนสวีซื่อเจี้ยที่เห็นสวีลิ่งอี๋ทำหน้าบึ้งตึงก็ตกใจหลบไปอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินส่ายหน้า รีบพูดคลี่คลายสถานการณ์ “วันตรุษจีนเช่นนี้ จะเอ่ยปากสั่งสอนอะไรเจ้าก็ช่วยหาคำพูดที่น่าฟังสักหน่อยไม่ได้หรือ”
สวีลิ่งอี๋เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป ทำท่าทางเหมือนไม่สามารถทำสิ่งใดกับที่ไท่ฮูหยินเข้ามาขัดได้
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ยิ้มพลางอุ้มจุนเกอนั่งลงบนเตียงเตา “นี่ก็สายแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันเถิด!”
สวีลิ่งอี๋อาศัยโอกาสนี้พาสืออีเหนียงกับเด็กๆ ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
พึ่งจะเดินออกมาจากเรือนก็ได้พบกับสวีลิ่งควนและฮูหยินห้า
ทุกคนทักทายซึ่งกันและกัน สวีลิ่งควนกับฮูหยินห้าไปหาไท่ฮูหยิน ส่วนสวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ ไปที่ตรอกกงเสียน
ด้านหน้าประตูสกุลหลัวแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ บนประตูมีตัวอักษร ’โชคดีมีสุข’ สีแดงขนาดใหญ่ติดอยู่ ตรงมุมกำแพง ต้นไม้และดอกไม้ในลานบ้านล้วนผูกเชือกสีแดงไว้ บรรยากาศดูเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
หญิงรับใช้สูงวัยที่เป็นคนรายงานของสกุลสวีมาถึงก่อนพวกเขา หลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่มาต้อนรับพวกเขาที่หน้าประตูฉุยฮวา เมื่อเห็นสวีซื่อเจี้ย ทั้งสองคนก็อดมองเขาไม่ได้
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางให้เด็กทั้งสามคนคำนับหลัวเจิ้นซิ่งกับคุณนายใหญ่ จากนั้นก็รับอั่งเปาจากทั้งสองคน
หลัวเจิ้นซิ่งพาพวกเขาไปคารวะนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่
คุณนายใหญ่ยืนกระซิบอยู่ข้างๆ สืออีเหนียงว่า “ข้าคิดว่าอย่างไรเด็กๆ ก็ต้องออกไปเรียนรู้นอกจวน จึงบอกท่านแม่อย่างอ้อมค้อมไปแล้ว พอท่านแม่รู้ว่าเด็กๆ ถูกเลี้ยงดูโดยถงอี๋เหนียงก็พอใจเป็นอย่างมาก”
สิ่งที่นายหญิงใหญ่สนใจคือผลประโยชน์ของจุนเกอ เมื่อผลประโยชน์ของจุนเกอไม่ได้รับผลกระทบจึงวางใจได้!
สืออีเหนียงพยักหน้า ตามไปที่เรือนหลักเพื่อคารวะนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่
นายท่านใหญ่ให้สวีลิ่งอี๋อยู่พูดคุยก่อน ส่วนคุณนายใหญ่ สืออีเหนียงกับเด็กๆ อยู่ที่เรือนนายหญิงใหญ่
ป้าสวี่มอบอั่งเปาให้กับเด็กๆ แทนนายหญิงใหญ่
เมื่อมาถึงสวีซื่อเจี้ย ดวงตาของนางก็จ้องเขม็งไปที่เด็กน้อย ทำเอาสวีซื่อเจี้ยตกใจจนไม่อยากก้าวเข้าไป
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงเดินไปจูงมือสวีซื่อเจี้ยพาเขาเข้าไปรับอั่งเปา
คุณนายสี่ที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็หัวเราะ หยิบอั่งเปาออกมายื่นให้สวีซื่อเจี้ย “นี่ของป้าหญิงสี่ มอบให้เจ้า” จากนั้นก็ทักทายสวีซื่ออวี้ “นี่คือคุณชายน้อยสองใช่หรือไม่ รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเสียจริง” พลางยื่นอั่งเปาให้สวีซื่ออวี้และจุนเกอคนละถุง
การที่นางท่าทางร่าเริงเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศในห้องมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้สี่ของตัวเองจะเป็นคนมีไหวพริบ
สืออีเหนียงเห็นแล้วแอบพยักหน้าในใจ หยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้นานแล้วยื่นให้ซิวเกอ
ซิวเกอรับมาพลางยิ้มอย่างดีใจ พึ่งจะพูดคำอวยพรสืออีเหนียงว่า “สุขสันต์วันตรุษจีนนะขอรับ” ก็ถูกจุนเกอดึงตัวไป ชี้ไปที่สวีซื่อเจี้ยแล้วพูดว่า “นี่คือน้องห้าของข้า!”
ซิวเกอมองสวีซื่อเจี้ยด้วยความแปลกใจ “เขาหน้าตาเหมือนสาวน้อยเลย”
จุนเกอรีบอธิบายทันที “เขาเป็นน้องชายไม่ใช่น้องสาว” ชี้ไปที่ซิวเกอแล้วพูดกับสวีซื่อเจี้ยว่า “นี่คือญาติผู้น้อง เรียกเขาว่าญาติผู้น้องสิ”
ท่าทางจริงจังราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย ทำเอาสตรีในห้องพากันหัวเราะ
คุณนายสี่ยิ้มอย่างสดใส “คุณชายน้อยสี่ ซิวเกอไม่ใช่ญาติผู้น้องของคุณชายน้อยห้าแต่เป็นญาติผู้พี่ของคุณชายน้อยห้าต่างหาก”
จุนเกอพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดจึงยิ้มเจื่อนๆ
แต่สวีซื่อเจี้ยเห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่คุ้นเคยของคนในห้องกลับดูหวาดกลัวเล็กน้อย เขามองไปรอบๆ อย่างทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นสืออีเหนียงอยู่ข้างๆ จึงรู้สึกสงบลง
สืออีเหนียงรู้สึกถึงความไม่สบายใจของเขา จึงเดินเข้าไปลูบหัวเขา ยิ้มพลางชี้ไปที่ซิวเกอ “นี่คือญาติผู้พี่ของเจ้า”
เขาเรียกออกมาเบาๆ “ญาติผู้พี่”
“เสียงของญาติผู้น้องห้าน่าฟังมาก” ซิวเกอเบิกตากว้าง
“แน่นอนอยู่แล้ว” จุนเกอดูท่าทางภูมิใจเป็นอย่างมาก “เขาเป็นน้องห้าของข้า” แล้วพูดต่อว่า “ที่เรือนเจ้ามีขนมแป้งแผ่นทอดหรือไม่ เขาชอบทานขนมแป้งแผ่นทอดที่สุด!”
“ไม่มี!” ซิวเกอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “แต่ว่าที่จวนเรามีขนมถั่ว ขนมเกาลัด และลูกกวาดรังนก อร่อยทุกอย่างโดยเฉพาะขนมเกาลัดที่ทำขึ้นโดยจวนเราเอง” พูดพลางยืดอก “ท่านน้าหญิงสิบเอ็ดก็ชอบทานเป็นอย่างมากตอนอยู่ที่จวนนี้” จากนั้นก็มองไปที่สืออีเหนียงอย่างใจจดใจจ่อ ราวกับว่ากำลังขอการสนับสนุนจากนาง
สืออีเหนียงจะทำลายความนับถือที่เด็กน้อยมีต่อตนได้อย่างไร รีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ขนมเกาลัดของจวนเราทั้งหอมทั้งหวาน อร่อยอย่างมาก”
เมื่อซิวเกอได้ยินก็มีท่าทางดีใจเหมือนลูกเจี๊ยบได้ทานข้าว “เห็นแล้วใช่ไหม ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ท่านน้าหญิงสิบเอ็ดก็บอกว่าอร่อย”
เมื่อคุณนายใหญ่เห็นก็หัวเราะ พลันรู้สึกว่านายหญิงใหญ่กำลังป่วย หากเด็กๆ พากันอยู่ที่นี่นานจะไม่ดี จึงเรียกป้าหังมา “พาคุณชายน้อยไปทานของว่างที่ห้องปีกทิศตะวันออก”
ป้าหังยิ้มพลางตอบรับ “เจ้าค่ะ” แต่ซิวเกอกลับพูดเสียงดังว่า “ไม่ได้ ไม่ได้ ท่านน้าหญิงห้ายังไม่มาเลย พวกเรายังไม่ได้รับอั่งเปาจากท่านน้าหญิงห้าเลย!”
ทุกคนอดหัวเราะไม่ได้
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “บุตรเขยห้ากับคุณหนูห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อทุกคนได้ฟังก็หัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม ทำเอาเฉียนหมิงกับอู่เหนียงที่เดินเข้ามาจึงหัวเราะอย่างงงๆ ตามไปด้วย
คุณนายสี่อธิบายให้ฟังว่า “ซิวเกอของพวกเรากลัวว่าจะไม่ได้รับอั่งเปาจากน้องเขยห้ากับน้องหญิงห้า”
เมื่อเฉียนหมิงได้ฟังก็หัวเราะ หยิบอั่งเปาออกมาจากแขนเสื้อทันที “รับไปคนละหนึ่งถุง!”
ซิวเกอเดินเข้าไปรับอย่างเบิกบานใจ
จุนเกอกลับมีท่าทางระมัดระวังเล็กน้อย
ซิวเกอกระซิบข้างหูเขาว่า “ท่านอาเขยห้าใจดีที่สุด เจ้าไม่ต้องกลัว”
จุนเกอจึงเดินเข้าไปรับแล้วกล่าวขอบคุณเฉียนหมิงเบาๆ
เฉียนหมิงมองดวงตาที่อ่อนโยนของเขาแล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นท่านโหว”
จุนเกอยกสองมือขึ้นมาคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อกำลังพูดคุยอยู่กับท่านตาในห้องหนังสือขอรับ”
เฉียนหมิงยิ้มพลางพยักหน้าแล้วส่งอั่งเปาให้สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่ออวี้กล่าวขอบคุณด้วยสีหน้านิ่งสงบ แต่สวีซื่อเจี้ยกลับวิ่งไปหาสืออีเหนียงแล้วยื่นอั่งเปาให้นาง
อู่เหนียงเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้ช่างมีวาสนากับน้องหญิงสิบเอ็ดเสียจริง”
เฉียนหมิงได้ยินดังนั้นก็กระแอมออกมาเบาๆ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าเตียงของนายหญิงใหญ่ ไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ของนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่ผอมลงอย่างมาก ท่าทางไม่ค่อยสบายดีเช่นเดิม เมื่อเห็นเฉียนหมิงซักถามด้วยความห่วงใยก็น้ำตาซึม พยักหน้าเล็กน้อย ส่วนป้าสวี่ที่คอยตอบคำถามแทนนายหญิงใหญ่อยู่ข้างๆ ก็น้ำตาซึมเช่นกัน ท่าทางที่มีต่อเฉียนหมิงดูให้ความเคารพมากกว่าเมื่อครู่ที่ปฏิบัติต่อสวีลิ่งอี๋
ซิวเกอพาจุนเกอไปรับอั่งเปาจากอู่เหนียง
อู่เหนียงได้เตรียมไว้นานแล้ว นางยิ้มพลางหยิบอั่งเปาออกมา ขณะที่แจกอั่งเปาก็พูดหยอกล้อคุณนายใหญ่ “ตอนที่คุณนายใหญ่ตั้งท้องซิวเกอ ในห้องท่านได้บูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภไว้ใช่หรือไม่”
คุณนายใหญ่หน้าแดง “เด็กคนนี้ถูกข้าตามใจจนเสียคนแล้ว”
อู่เหนียงปิดปากหัวเราะ
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “คุณหนูสิบสอง อี๋เหนียงห้า และอี๋เหนียงหกมาแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเฉียนหมิงได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้นกล่าวลา
นายหญิงใหญ่มองเขาแล้วพยายามพูดว่า “มาอีก” อย่างยากลำบาก จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ป้าสวี่ไปส่งเขา
เฉียนหมิงโน้มตัวลงพูดกับนายหญิงใหญ่สองสามประโยค จากนั้นป้าสวี่ก็เดินออกไปส่งเขา
