การกระทำขึ้นอยู่กับคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้า สิ่งที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว ในใจสืออีเหนียงได้ตัดสินใจไปแล้ว หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จจึงพาเด็กๆ กลับเหอฮวาหลี่
ฮูหยินสามกำลังส่งหวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวและคุณนายสามสกุลหวงอยู่หน้าประตูฉุยฮวา เมื่อเห็นสืออีเหนียงกลับมา คุณนายสามสกุลหวงก็ยิ้มทักทายสืออีเหนียง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่สวีซื่อเจี้ย
เรื่องที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ เรื่องบางเรื่องหากปิดซ่อนไว้ถือเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อเด็ก
สืออีเหนียงจึงแนะนำเด็กๆ ให้หวงฮูหยินกับคุณนายสามสกุลหวงอย่างเปิดเผย
หวงฮูหยินตกใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา “ข้ามาเชิญแม่สามีของเจ้าไปเล่นที่จวนพรุ่งนี้ เจ้าต้องมาให้ได้ล่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นนางกับฮูหยินสามก็ส่งหวงฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงขึ้นรถม้า แล้วพาเด็กๆ ไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
จุนเกอเล่าเรื่องที่เล่นโยนศรกับซิวเกอและอวี้เกออย่างสนุกสนาน เมื่อไท่ฮูหยินกับสวีซื่อเจี่ยนได้ฟังก็หัวเราะตามไปด้วย แต่สวีซื่อฉินกลับแอบเดินออกไปกับสวีซื่ออวี้ ไปยืนกระซิบกระซาบกันที่ใต้ชายคาเรือน
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย สวีซื่อฉินก็ถึงวัยที่ต้องพบเจอปัญหาแล้ว
ฮูหยินสามบอกสืออีเหนียงอย่างมีเลศนัยว่า “วันนี้ที่จวนมีแขกมามากมาย ล้วนแต่มาหาท่านโหว จนถึงตอนนี้ท่านโหวก็ยังไม่กลับมา”
วันแรกของการเกิดแผ่นดินไหว ปฏิกิริยาย่อมรุนแรงเป็นธรรมดา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณชายสามเล่า เหตุใดถึงไม่เห็นคุณชายสามเลย”
ฮูหยินสามฉงนใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะหลบเลี่ยงหัวข้อสนทนานี้
นางนั้นไม่รู้จริงๆ หรือว่า นางได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว?
ขณะที่กำลังลังเล ไท่ฮูหยินก็เรียกฮูหยินสามกับสืออีเหนียงไปพูดคุย
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงฉลองตรุษจีนที่จวนหย่งชังโหว วันมะรืนเป็นของเหลียงเก๋อเหล่า วันที่หกเป็นของจวนเวยเป่ยโหวสกุลหลิน วันที่เจ็ดเป็นของจวนจงซานโหวสกุลถัง ส่วนวันที่แปดเป็นของจวนเรา…” นางเล่าแผนการจัดการไปจนถึงเทศกาลโคมไฟ จากนั้นก็มองสืออีเหนียง “ข้าได้ยินสะใภ้ซื่อเจิงบอกว่า วันที่หกจวนของนางได้เชิญองค์หญิงกับราชบุตรเขยมางานเลี้ยง ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย ข้าคิดเอาไว้ว่าวันที่หกข้าจะไปจวนเวยเป่ยโหว ส่วนเจ้าไปจวนขององค์หญิง” แล้วหันไปมองฮูหยินสาม “ส่วนเรื่องในเรือนก็ให้เจ้าเป็นคนดูแลทั้งหมด”
สืออีเหนียงกับฮูหยินสามย่อเข่าตอบรับ “เจ้าค่ะ” ไท่ฮูหยินพยักหน้า เห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้วจึงให้บรรดาสะใภ้กลับเรือนแล้วเรียกพ่อบ้านไป๋มาซักถาม “สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
พ่อบ้านไป๋ไม่กล้าปิดบัง พูดเสียงเบาว่า “ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ มีฝ่ายตุลาการหลายคนกล่าวหาท่านโหว…” น้ำเสียงของเขาติดขัดเล็กน้อย “คุณธรรมเสื่อมเสีย ถวายฎีกาให้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งกักขัง”
ไม่ได้วางแผนรับมือกับศัตรูล่วงหน้า…ดูเหมือนว่าคงจะต้องปวดหัวกับเรื่องนี้ไปอีกสักพัก
ส่วนสืออีเหนียงเมื่อกลับมาถึงเรือนก็พาหู่พั่วกับปินจวี๋ไปเปิดหีบหาผ้าฝ้ายบางๆ
หู่พั่วกระซิบข้างหูนางว่า “…พี่ซานหูบอกว่าให้ท่านสบายใจได้ หากทางฝั่งอี๋เหนียงห้าหากมีเรื่องอะไรนางก็จะให้คนขับรถม้ามารายงานพวกเรา ให้พวกเราบอกกับคนเฝ้าประตูไว้ หากคนขับรถม้ามาให้ปล่อยเขาเข้าไป เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไม่เสียเวลา”
“เรื่องนี้เจ้าไปจัดการได้เลย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหยิบผ้าฝ้ายบางๆ พื้นสีขาวลายดอกสีม่วงออกมาจากหีบ “พวกเจ้าว่าผืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้าคิดว่ามันเหมาะเป็นอย่างมากที่จะทำเป็นเสื้อชั้นในให้กับเด็ก”
ปินจวี๋ปิดปากหัวเราะ “เด็กไม่ต้องใส่เสื้อชั้นในเจ้าค่ะ บ่าวคิดว่าทำเสื้อแขนยาวดีหรือไม่ ผ้าฝ้ายผืนนี้ราคาสองสามตำลึงต่อหนึ่งผืนเชียวนะเจ้าคะ”
หู่พั่วพูดขึ้นว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เด็กเล็กโตไว วัตถุดิบชั้นดีเช่นนี้เอามาทำเสื้อชั้นใน…บ่าวว่านำมาทำเสื้อแขนยาวดีกว่าเจ้าค่ะ”
“สวยจัง!” สวีซื่อเจี้ยที่นั่งทานลูกกวาดอยู่บนเก้าอี้พลันเอ่ยขึ้นว่า “เสื้อผ้าสวยมาก!”
สืออีเหนียงหัวเราะเสียงดัง แล้วหอมแก้มสวีซื่อเจี้ยหนึ่งที “เจ้ารู้ว่าอะไรสวยแล้วหรือ”
เขาปิดปากหัวเราะ ลูกกวาดในปากไหลเลอะเต็มมือของเขา
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยรินน้ำอุ่นมาล้างมือให้เขา ยิ้มพลางถามเขาว่า “ข้าทำให้เจ้าสักชุดดีหรือไม่”
เขารีบพยักหน้า “ทำของท่านแม่ด้วย”
“ตายแล้ว ฮูหยิน!” เมื่อปินจวี๋ได้ฟังก็พูดอย่างแปลกใจ “คุณชายน้อยห้าเรียกท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวเขา
คำว่าท่านแม่เป็นภาษาเขียนมากเกินไป นางไม่ได้รู้สึกอะไรมาก
หู่พั่วได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้ววิ่งเข้ามา “จริงด้วย คุณชายน้อยห้าเรียกท่านแม่แล้วเจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี้ยเห็นว่าทุกคนดีใจมากจึงยิ้มตามไปด้วย
สืออีเหนียงเลือกผ้าแพรอีกสองสามผืน “…ทำชุดฤดูใบไม้ผลิสีสันสดใสสักสองชุดให้จุนเกอกับเจี้ยเกอ” นึกขึ้นได้ว่าในเมื่อทำให้จุนเกอกับเจี้ยเกอ เช่นนั้นก็ควรทำให้สวีซื่ออวี้สักสองชุด ส่วนชุดฤดูใบไม้ผลิของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เกรงว่าสองชุดก็คงไม่พอ ทำได้เพียงรอให้นางกลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที จากนั้นก็หยิบผ้าแพรต่วนออกมาอีกสองผืน ปรึกษากับปินจวี๋ว่า “คุณชายน้อยสองเริ่มโตแล้วต้องเดินเข้าออกเรือนนอกเรือนในอยู่เป็นประจำ ชุดของเขาให้เอาไปที่ห้องเย็บปัก ทำแบบใหม่ที่เป็นที่นิยมในเยี่ยนจิง ส่วนของจุนเกอกับเจี้ยเกอพวกเราก็ช่วยกันทำเถิด”
ปินจวี๋ยิ้มพลางพยักหน้า เมื่อเห็นตงชิงก้มหน้าก้มตาเก็บผ้าอยู่ข้างๆ นางก็พูดหยอกล้อว่า “ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะฮูหยิน ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว งานเย็บปักเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่มีพี่ตงชิง พวกเราจะทำได้อย่างไรเจ้าคะ”
“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร” ตงชิงหน้าแดง บิดแขนปินจวี๋
ปินจวี๋ยิ้มแล้วไปหลบอยู่ข้างหลังหู่พั่ว ดวงตากลมโตของนางมองสืออีเหนียงตาเป็นประกาย “ฮูหยิน พี่ตงชิงตีบ่าวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้ม
ตงชิงหน้าแดง โยนผ้าทิ้ง “ข้าไม่แต่งงานแล้ว”
ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “แปลกจริง พวกเราพูดกันเมื่อไรว่าพี่ตงชิงจะแต่งงานแล้ว หรือว่าพี่ตงชิงจะอยากแต่งงานจนเก็บเอาไปฝัน…”
หู่พั่วหัวเราะจนตัวงอ
ตงชิงรู้สึกอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน หันหลังจะวิ่งออกไปข้างนอก แต่กลับเจอกับป้าเถาที่อยู่ด้านนอกพอดี ถ้าไม่ใช่เพราะสาวใช้น้อยไหวพริบดี รีบเข้าไปพยุงไว้ เกรงว่านางคงจะหงายท้องไปแล้ว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ป้าเถายิ้มพลางเดินเข้ามาในเรือน
หู่พั่วกับปินจวี๋ได้แต่กลั้นหัวเราะ
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้ป้าเถา “ป้าเถามีเรื่องอันใดหรือ”
ป้าเถาเหลือบมองสวีซื่อเจี้ยที่ตัวติดกับสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวได้ยินเหล่าผู้ดูแลเรือนนอกบอกว่าท่านโหวถูกฝ่ายตุลาการฟ้องเพราะเรื่องคุณชายน้อยห้า ดังนั้นจึงตั้งใจมาคุยกับฮูหยินเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่อว่า “ท่านว่าเราส่งคุณชายน้อยห้าออกจากจวนไปหลบที่อื่นก่อนดีหรือไม่ รอผ่านไปสักสองสามวันให้เรื่องสงบลงก่อนแล้วค่อยรับกลับมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงรู้สึกว่ากระโปรงของตัวเองแน่นขึ้น
เมื่อหันกลับไปมอง ไม่รู้ว่าสวีซื่อเจี้ยดึงกระโปรงนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อไร
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวให้ข้าเลี้ยงดูเขา ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก”
ป้าเถาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงส่งสายตาเตือนป้าเถา จากนั้นก็จูงมือสวีซื่อเจี้ยไปต้อนรับสวีลิ่งอี๋
เมื่อเห็นว่าป่านนี้แล้วสวีซื่อเจี้ยก็ยังอยู่ที่เรือนหลัก แววตาของสวีลิ่งอี๋เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
สืออีเหนียงยิ้มพลางอธิบายว่า “พวกเรากำลังเปิดดูผ้าในหีบ อยากจะทำชุดฤดูใบไม้ผลิให้อี๋เหนียง อวี้เกอ จุนเกอ และเจี้ยเกอ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านใน
สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยที่เดินตามนางราวกับหางเล็กๆ ที่ติดตัวนาง จากนั้นก็ส่งให้ปินจวี๋พาออกไป ส่วนตัวเองเดินตามเข้าไปที่ห้องด้านใน
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สืออีเหนียงนำชาจากสาวใช้น้อยมาให้สวีลิ่งอี๋
“ก็ไม่มีอะไรหรอก” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “พวกเราต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์”
สืออีเหนียงเห็นเขามีสีหน้าผ่อนคลายจึงไม่ซักถามอีก วันรุ่งขึ้นนางตามไท่ฮูหยินไปงานเลี้ยงที่จวนหย่งชังโหว
แขกของสกุลหวงส่วนใหญ่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย เนื้อหาการสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในจวน เมื่อทุกคนถามถึงเรื่องบุตร พวกเขาก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมา บรรยากาศแตกต่างกับที่จวนเหลียงเก๋อเหล่า แขกของจวนเหลียงเก๋อเหล่าส่วนใหญ่เป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ทุกคนมองสืออีเหนียงด้วยความสงสัย แต่ไม่มีใครถามถึงเรื่องเด็ก ราวกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เมื่อถึงวันที่หกไปที่จวนขององค์หญิง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ทุกคนล้วนมีท่าทีดูถูกต่อเด็ก
เหมือนกับว่าฝ่ายตุลาการท้องอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ วันๆ จึงเอาแต่จับตาดูเรื่องส่วนตัวของคนอื่นไม่ยอมปล่อย ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
องค์หญิงอานเฉิงพระขนิษฐาองค์โตของฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “…พวกเขาล้วนเป็นพวกที่อยากจะมีชื่อเสียง วันๆ เอาแต่คิดหาวิธีเอาหัวชนเสาในตำหนักจินหลวนเพื่อที่จะได้มีชื่อเสียงไปนับพันปี”
ตอนนั้นบรรดาองค์หญิงกำลังแจกไพ่อยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อ คนที่สถานะของสามีที่ต่ำต้อยที่สุดและอายุน้อยที่สุดอย่างสืออีเหนียงได้แต่ยืนดูไพ่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินคำพูดขององค์หญิงก็เหงื่อแตกพลั่ก
คำพูดขององค์หญิงอานเฉิงมีความนัยแอบแฝง
เจี้ยนอันในปีที่สี่สิบหก พระสวามีขององค์หญิงอานเฉิงถูกตุลาการฟ้องร้องจนสุดท้ายถูกลงโทษโบยสี่สิบทีจนถึงตอนนี้ขาของเขาก็ยังใช้การไม่ได้
สืออีเหนียงไม่สามารออกความเห็นอะไรได้ จึงเพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆ
องค์หญิงหย่งอานที่นั่งถัดจากองค์หญิงอานเฉิงกล่าวว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษหย่งผิงโหวที่มีตำแหน่งสูง หากเป็นคนอื่นจะมีใครทำให้เรื่องเอิกเกริกตั้งแต่ก่อนตรุษจีนยันหลังตรุษจีนเช่นนี้ได้ จะว่าไปแล้วเรื่องในเยี่ยนจิงก็ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
เมื่อได้ยินว่าคำพูดของนางเหมือนมีบางอย่างแอบแฝง สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปที่นาง
“หรือพวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” องค์หญิงหย่งอานเห็นปฏิกิริยาของทุกคนก็มีท่าทางฉงนใจ “คุณชายผู้ดื้อรั้นจวนฉังหนิงกับเด็กอันธพาลจวนเม่ากั๋วกงไปไหนมาไหนด้วยกัน ตรุษจีนก็ไม่ยอมกลับมาฉลองที่จวน ทำให้ฉังหนิงโมโหมากจนหลายวันมานี้ไม่สามารถลุกจากเตียงได้”
จวนเม่ากั๋วกง...มีหวังหลังเป็นบุตรชายคนเดียว…หรือว่าจะหมายถึงหวังหลัง
สืออีเหนียงใจเต้นรัว พลันนึกถึงวันตรุษจีนที่ผู้ดูแลสกุลหวังบอกว่าหวังหลังไม่สบาย
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามหยุดความคิดฟุ้งซ่านในใจแล้วตั้งใจฟัง
“ข้าก็ว่าอยู่ วันนั้นทุกคนไปถวายพระพรไทเฮาด้วยกัน แต่ทำไมถึงขาดนางไปเสียได้” องค์หญิงอานเฉิงพูดต่อว่า “คราวนี้เข็มมาปะทะกับหนามจนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าเกรงว่าจะต้องมีเรื่องให้ปวดหัวอีกแน่”
“ใช่แล้ว” องค์หญิงหย่งอานยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นฉังหนิงจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร…”
สืออีเหนียงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เห็นโจวฮูหยินพาสาวใช้ยกน้ำชากับขนมเข้ามา จึงลากนางออกจากเรือนหน่วนเก๋อ
“คุณชายผู้ดื้อรั้นจวนองค์หญิงฉังหนิงเป็นใครหรือเจ้าคะ”
“เป็นบุตรชายคนโตขององค์หญิงฉังหนิง” โจวฮูหยินรู้สึกว่าสืออีเหนียงนิสัยดีมาก ทั้งยังเป็นน้องสะใภ้ของฮองเฮา ที่เชิญนางมาก็เพื่อที่จะแนะนำนางให้รู้จักกับองค์หญิงทั้งหลาย เมื่อเห็นว่านางมีคำถามก็รีบอธิบายอย่างละเอียด “องค์หญิงฉังหนิงมีบุตรชายเพียงคนเดียว รูปร่างสูงใหญ่ หล่อเหลา ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้องค์ก่อน จึงทำให้เป็นคนเอาแต่ใจ ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็หยุดไม่อยู่ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าคุณชายผู้ดื้อรั้น”
โจวฮูหยินรู้สถานการณ์ของสกุลหวังเป็นอย่างดี สืออีเหนียงพูดขึ้นว่า “บุตรชายคนโตขององค์หญิงฉังหนิงก็ชอบไปหอคณิกาชายด้วยใช่หรือไม่”
โจวฮูหยินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
สืออีเหนียงเล่าสิ่งที่องค์หญิงหย่งอานพูดไปเมื่อครู่นี้ และบอกเรื่องที่หวังหลังไม่ได้ไปอวยพรปีใหม่นายหญิงใหญ่ให้โจวฮูหยินฟัง
โจวฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ “ไว้ข้าจะช่วยถามให้เจ้าว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
