ป้าสวี่พูดแบบนี้ ประเด็นก็คืออยากให้สืออีเหนียงถือโอกาสตอนที่เฉียวเหลียนฝังกำลังตั้งครรภ์ ไม่สามารถรับใช้ท่านโหวเข้านอนได้มัดใจท่านโหวไว้ เพื่อไม่ให้เฉียวเหลียนฝังที่อายุยังน้อยและหน้าตาสวยงามคลอดบุตรชายออกมาแล้วกลายเป็นคนสำคัญในใจของสวีลิ่งอี๋ แย่งสิทธิ์ในการพูดของนางในจวนสกุลสวีไป ทำให้นางรักษาความปลอดภัยและผลประโยชน์ของจุนเกอไว้ไม่ได้
ในเมื่อเป้าหมายอยู่ที่นั่น จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร วิธีการนั้นไม่สำคัญ!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขัดจังหวะป้าสวี่ “ป้าสวี่ เมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิ จุนเกอก็จะอายุเจ็ดขวบ ถึงเวลาที่ต้องเติบโตแล้ว และเพราะว่าไท่ฮูหยินเป็นคนเลี้ยงดูเขา เขาจึงเรียนรู้ ‘คัมภีร์สามอักษร’ ไปถึงสิบห้าประโยคแล้ว อีกทั้งยังเล่านิทาน…ให้น้องชายพี่ชายฟัง ไท่ฮูหยินและท่านโหวเห็นเช่นนี้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก แม้แต่คุณชายน้อยสองอวี้เกอเห็นก็ยังเอ่ยชื่นชมจุนเกอ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ท่านไม่สบาย ต้องพักผ่อนให้มาก เรื่องในจวนมีพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่คอยดูแล ท่านก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ!”
พูดจนป้าสวี่ตกใจ
นายหญิงใหญ่มองดูสืออีเหนียงที่สีหน้าสงบนิ่ง นึกถึงคำพูดที่ไม่น่าฟังของนาง ก็โมโหจนหน้าแดง ขยับปาก ทุบเตียง บ่นอู้อี้บางอย่างกับนาง
บรรยากาศภายในห้องก็เริ่มทำให้ผู้คนอยากจะหัวเราะ
คุณนายใหญ่เห็นว่าไม่ค่อยดี จึงเดินออกมากอบกู้สถานการณ์
“คุณหนูสิบเอ็ดเป็นคนเฉลียวฉลาด พวกเราเองก็กังวลว่าเจ้าจะคิดไม่ออก มองไม่เข้าใจก็แค่นั้น ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว” พูดจบก็ขยิบตาให้ป้าสวี่ จากนั้นก็หันไปยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ดยังไม่ได้ไปเยี่ยมอี๋เหนียงห้าใช่หรือไม่ ช่วงนี้อี๋เหนียงห้าทานอิ่มนอนหลับ อ้วนท้วมขึ้นไม่น้อย…” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าไปนั่งที่เรือนของอี๋เหนียงห้ากับคุณหนูสิบเอ็ดดีหรือไม่เล่า”
ป้าสวี่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบเดินไปเช็ดน้ำลายให้นายหญิงใหญ่ ถือว่าปิดบังสายตาที่กำลังขุ่นเคืองของนายหญิงใหญ่เอาไว้ได้
สืออีเหนียงไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนายหญิงใหญ่ต่อ จึงถือโอกาสนี้ออกไปที่เรือนของอี๋เหนียงห้ากับคุณนายใหญ่
ระหว่างทาง คุณนายใหญ่พูดเบาๆ “คุณหนูอย่าโมโหไปเลย เจ้าก็รู้นิสัยของท่านแม่ดี แต่ว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล” พูดจบก็หยุดชะงัก มองมาที่สืออีเหนียงด้วยความเป็นห่วง “หากเจ้าสามารถมีบุตรชายเพิ่มสักคนหนึ่งก็คงต่างออกไป…”
สืออีเหนียงไม่อยากมีปัญหากับคุณนายใหญ่ นางจึงพูดออกไปอย่างส่งๆ “เจตนาดีของพี่สะใภ้ใหญ่ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ แต่เรื่องของสาวใช้ห้องข้าง เรื่องของอนุภรรยา ถึงแม้ว่าข้าจะอยากได้ แต่ก็ต้องให้ท่านโหวเห็นด้วย” นางยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านแม่เรียกข้ามาเช่นนี้ แล้วยังบังคับให้ข้าออกความคิดเห็น ท่านจะให้ข้าตอบเช่นไรหรือ”
ได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ คุณนายใหญ่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราคิดไม่รอบคอบเอง จะว่าไปแล้ว นี่เป็นเรื่องของสกุลสวี สกุลหลัวของเราเข้าไปยุ่งเช่นนี้ ไม่ต้องบอกว่าเจ้าไม่รู้จะตอบเช่นไร แม้แต่ท่านโหวก็คงจะไม่ชอบ” นางยิ้ม “เหมือนกับพี่ใหญ่ของเจ้า เขาไม่ชอบให้ท่านลุงของซิวเกอถามเรื่องของเขามากที่สุด…”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ เดินไปเรือนของอี๋เหนียงห้ากับคุณนายใหญ่
อี๋เหนียงห้ากำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้อง เห็นคุณนายใหญ่และสืออีเหนียงเดินเข้ามานางก็ตกใจ “คุณหนูสิบเอ็ดกลับมาตั้งแต่เมื่อไร!” นางรีบไปต้อนรับนางมานั่งบนเตียงเตา จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ไปยกของว่างเข้ามา
สืออีเหนียงพูดคุยกับอี๋เหนียงห้าสองสามประโยค จากนั้นก็ถามถึงสุขภาพของอี๋เหนียงห้า
“ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” มีคนนอก อี๋เหนียงห้ามักจะไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว นางมีสีหน้าระมัดระวัง
คุณนายใหญ่คิดว่าเพราะตัวเองอยู่ที่นี่พวกนางสองคนคงพูดคุยกันไม่สะดวก จึงอ้างว่ามีเรื่องจะไปหาคุณนายสี่แล้วขอตัวออกไป
สืออีเหนียงก็อยากคุยกับอี๋เหนียงห้าเป็นการส่วนตัว พูดกับคุณนายใหญ่สองสามประโยคก็บอกให้สาวใช้ออกไปส่งนาง
อี๋เหนียงห้ารีบจับมือสืออีเหนียง “ข้าได้ยินซานหูบอกว่า เฉียวฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว นายหญิงใหญ่อยากให้เจ้ารับสาวใช้ห้องข้าง ที่เจ้ากลับมาครั้งนี้ก็เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
รู้เร็วขนาดนี้
ถึงแม้ว่าตนจะปฏิเสธ แต่แค่ไม่กี่วันมันก็คงจะแพร่กระจายออกมา ไม่สู้บอกกับอี๋เหนียงห้าด้วยปากของตัวเองดีกว่า
“ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่ว่าท่านไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แก่ใจ”
“ข้าจะไม่เป็นห่วงได้เช่นไร!” อี๋เหนียงห้าถอนหายใจ “เจ้ากับท่านโหวเป็นสามีภรรยากันแค่ครึ่งทาง ไม่ได้ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน แล้วเจ้ายังไม่เคยไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อของเขา ไม่ได้มีบุญคุณอันใดที่ลึกซึ้ง หากเจ้าไม่ทำให้ท่านโหวชอบใจ ต่อไปเจ้าจะใช้ชีวิตเช่นไร“ จากนั้นก็มองไปที่สืออีเหนียงที่เอนตัวพิงหมอนอิง สวมชุดสีเกาลัด ใบหน้าที่ขาวอมชมพู งดงามราวกับดอกกล้วยไม้หยกสีขาว นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “รออีกสองปีให้เจ้าโตกว่านี้ก็ดี…ต้องผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ เช่นนั้นก็ฟังนายหญิงใหญ่ รับสาวใช้ห้องข้างเถิด!”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าแม้แต่อี๋เหนียงห้าก็พูดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกคนเข้าใจและมีความเห็นในเรื่องนี้ไปในทางเดียวกัน
นางหัวเราะแล้วพูดเล่น “เช่นนั้นไม่สู้ให้ท่านโหวรับอนุภรรยาดีกว่า เพราะอย่างไรก็ไม่มีอะไรสำคัญอยู่แล้ว ไม่สนใจว่าใครจะมีอำนาจเหนือกว่าใคร อย่างไรก็ต้องมีคนโจมตีข้างหลัง มีคนรวมกลุ่มแบ่งแยกกันอยู่ดี ข้าก็จะได้ทำอะไรได้อย่างราบรื่น ตำแหน่งของข้าก็จะได้มั่นคงไม่สั่นคลอน!” พูดจบตัวเองก็คิดว่ามันช่างน่าขบขัน จึงหัวเราะออกมา
ใครจะรู้ว่าอี๋เหนียงห้าได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เป็นความคิดที่ดี หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็คล้ายกับสกุลของเรา”
สืออีเหนียงหัวเราะ
“คุณหนูสิบเอ็ด ข้าพูดจริงนะ” อี๋เหนียงเห็นว่านางไม่สนใจ จึงบ่นพึมพำ
สืออีเหนียงไม่อยากหัวเราะเยาะนาง รีบนั่งตัวตรงแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าแต่งเข้าไปข้าคิดดูแล้ว ถึงแม้ว่าข้ากับท่านโหวจะเป็นสามีภรรยากันแค่ครึ่งทาง แต่หากข้าไม่คัดค้านผู้ใหญ่ ไม่สร้างความแตกแยก ไม่ยั่วยุบรรดาสะใภ้ ไม่เอ่ยวาจาเหลวไหล ไม่ว่าอย่างไรท่านโหวก็ต้องไว้หน้าข้าเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ก็จริง!” อี๋เหนียงห้าพึมพำ “ท่านโหวมีทั้งบุตรชายและบุตรสาว หากเจ้ารู้ในหน้าที่ของตัวเอง เขาก็ต้องไว้หน้าเจ้าอยู่แล้ว เราไม่ได้ต้องการความมั่งคั่งพวกนั้น ใช้ชีวิตที่สุขสบายก็พอแล้ว”
*****
เชิญคุณหนูที่แต่งออกเรือนไปแล้วกลับสกุลเดิม ปกติแล้วต้องรายงานคุณหนูและแม่สามีก่อนล่วงหน้าสองสามวัน หากอนุญาตก็จะทำการกำหนดวัน ถึงสามารถกลับไปได้ แน่นอนว่า นี่คือสถานการณ์ปกติ หากไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ท่านพ่อหรือท่านแม่ล้มป่วย เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่จวน ทุกอย่างต้องทำให้เรียบง่ายที่สุด
เรียกสืออีเหนียงกลับไปกะทันหันแบบนี้ เป็นใครก็คิดว่ามันไม่ปกติ
แต่สวีลิ่งอี๋ก็ไม่เอ่ยบ่นอะไร อีกทั้งตลอดทางยังไม่ซักถามสิ่งใด
รู้เรื่องราวมาจากหลัวเจิ้นซิ่งแล้ว? หรือว่าไม่สนใจว่านายหญิงใหญ่เรียกตัวเองมาทำไม? หรือว่าแสร้งทำเป็นสูงส่งให้นางเป็นคนเอ่ยปากถามเอง?
สืออีเหนียงคาดเดา นางอยากจะนั่งกลับไปเหอฮวาหลี่กับเขาเงียบๆ แบบนี้ แต่เมื่อนึกถึงความเป็นห่วงเป็นใยและคำพูดของไท่ฮูหยินที่บอกกล่าวกับตนตอนที่ออกมาก็พลันท้อใจ ประเดี๋ยวกลับไปแล้ว คงจะบอกนางว่าท่านแม่เรียกข้ากลับไปปรึกษาเรื่องรับสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหวแบบนี้ไม่ได้ เช่นนั้นมันต่างอะไรกับการที่เฉียวฮูหยินส่งม่านเตียงมาให้เฉียวเหลียนฝัง?
“ท่านโหว…ท่านแม่เรียกข้ากลับมา เพื่อว่าอยากจะปรึกษาเรื่องหนึ่งกับข้า”
“อืม!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับอย่างนิ่งเฉย แม่แต่คิ้วก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
สืออีเหนียงจึงกัดฟันพูด “ท่านแม่บอกว่าข้ายังเด็ก ไม่รู้ความ ให้ข้ารับสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหวเจ้าค่ะ”
รู้ว่าเฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์เมื่อตอนบ่าย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงยังเด็ก จะรับสาวใช้ห้องข้างให้ตัวเอง?
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้วมองสืออีเหนียง “บอกว่าเจ้ายังเด็ก ไม่รู้ความ ให้เจ้ารับสาวใช้ห้องข้างให้ข้า?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัด
จู่ๆ ก็เรียกสืออีเหนียงกลับมา เขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี
จัดการคนหนึ่งแล้วยังไม่พอ ยังจะจัดการคนนี้…ไม่รู้จักหยุดจริงๆ…
“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร” สวีลิ่งอี๋โยนลูกบอลกลับให้สืออีเหนียง
ท่านถามข้า? หากข้าบอกว่าไม่เห็นด้วยแต่ท่านไม่ตกลง ข้าก็คงพูดไปเสียเปล่า
“ข้าบอกว่า แล้วแต่ท่านโหวเจ้าค่ะ!” นางเตะลูกบอลกลับไปให้สวีลิ่งอี๋อีกครั้ง
“อืม!” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว!”
จากนั้นก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรต่อ
แค่นี้น่ะหรือ!
สืออีเหนียงตกใจ
จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว ส่วนจะทำเช่นไรนั้น…ในเมื่อบอกไปแล้วว่าแล้วแต่ท่านโหว ถึงตอนนั้นแค่ฟังเขาก็เพียงพอแล้ว
คิดเช่นนี้ นางก็เอนหลังพิงหมอนอิงข้างหลัง ฟังเสียงเกือกม้าเดินย่ำกลับไปยังเหอฮวาหลี่
สวีลิ่งอี๋พูดตัดหน้านาง “…บอกว่าอยากเจอสืออีเหนียง แม่ยายป่วยนานแล้ว อารมณ์ไม่ค่อยดี คนในสกุลไม่กล้าขัดนาง แต่เรากลับไม่ถามให้รู้เรื่องก่อนก็รีบกลับไปเช่นนี้ ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะขอรับ”
คนป่วย ปกติก็มักจะคิดถึงคนที่ตัวเองเป็นห่วงมากที่สุด ไม่ใช่จุนเกอแต่กลับเป็นสืออีเหนียง…ไท่ฮูหยินยกยิ้มแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“โชคดีที่ไม่มีเรื่องอันใด พวกเจ้าก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”
พวกเขากลับมาถึงเรือนของตัวเอง พ่อบ้านไป๋ก็รีบเดินเข้ามา “ท่านโหว อาจารย์สีที่ซุ่นอ๋องแนะนำมาแล้ว นั่งรอท่านมาสักพักแล้วขอรับ”
สวีลิ่งอี๋อธิบายให้สืออีเหนียงฟัง “ข้ากำลังให้คนหาอาจารย์ให้เด็กๆ ”
สืออีเหนียงก็มีเรื่องจะคุยกับป้าเถาเช่นกัน นางยิ้มแล้วส่งสวีลิ่งอี๋ออกไป
ป้าเถาก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ฮูหยิน บ่าวเป็นคนไปเล่าเรื่องนี้ให้นายหญิงใหญ่ฟังเองเจ้าค่ะ” พูดจบก็ตาแดง “ฮูหยินยังเด็ก เรื่องบางเรื่องท่านไม่รู้ แล้วบ่าวก็เป็นคนโง่เขลา เกลี้ยกล่อมฮูหยินไม่ได้ บ่าวจึงขอให้นายหญิงใหญ่ช่วยเกลี้ยกล่อมฮูหยินแทนบ่าว” พูดจบสีหน้าของนางก็ซีดลง “ฮูหยิน เรื่องนี้เป็นความผิดของบ่าว แต่บ่าวสาบานได้ว่า บ่าวไม่ได้มีเจตนาร้ายกับท่าน บ่าวไม่ได้เล่าเรื่องในเรือนของเราให้คนอื่นฟังเจ้าค่ะ…”
กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าตัวเองทำผิด พูดอธิบายอย่างมีเหตุผลไปจนสุดทาง
“ในเมื่อท่านเรียกข้าว่าฮูหยิน เช่นนั้นจวนหลังนี้ ข้าเป็นนายหญิงใช่หรือไม่!” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
ป้าเถามองนางด้วยความตกใจ
“ท่านเป็นคนของพี่หญิงใหญ่ มีจุดยืนของตัวเอง ข้าไม่อยากทำให้ท่านลำบากใจ แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นหัวเราะเยาะจวนสกุลหลัวของเรา ยิ่งไม่อยากทำให้จุนเกอเสียใจ ดังนั้นครั้งนี้ข้าแค่อยากถามท่านว่า อยากอยู่กับข้า มองดูจุนเกอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เห็นเขาแต่งงานมีบุตร คอยช่วยเขาจัดการเรื่องในจวน หรือว่าอยากให้ข้าส่งกลับไปอยู่กับบุตรชายของท่านที่เรือนนอก?”
