ประตูที่กว้างใหญ่ประดับด้วยใบหน้าสัตว์ร้ายเคลือบทอง
สืออีเหนียงค่อยๆ เปิดม่านรถม้าขึ้นแล้วมองออกไปข้างนอกเงียบๆ
จวนเม่ากั๋วกงเปิดประตูใหญ่ หน้าประตูมีรถม้าจอดอยู่หลายคัน ชายเฒ่าคนหนึ่งกำลังสั่งบ่าวรับใช้ที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวตั้งบันไดแขวนผ้าขาวหน้าประตู เมื่อเห็นว่ามีรถม้าเข้ามา เขาก็ยืนเขย่งเท้ามองออกไป จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ
หลินปัวเดินเข้าไปยื่นเทียบเชิญให้เขา
ชายเฒ่าคนนั้นเห็นแล้วก็ประกบมือคำนับหลินปัว จากนั้นก็เรียกบ่าวรับใช้สองคนที่แขวนผ้าขาวมานำธรณีประตูลง สืออีเหนียงและคุณนายใหญ่สกุลหลัวรอให้รถม้าของสกุลญาติเข้าไปในลานก่อน สวีลิ่งอี๋ หลัวเจิ้นซิ่ง เฉียนหมิงและคนอื่นๆ ลงมากจากรถม้า ชายเฒ่าคนนั้นต้อนรับพวกเขาไปห้องโถงหลัง
ลานข้างนอกของจวนเม่ากั๋วกงกว้างขวางอย่างมาก มีบ่าวรับใช้เจ็ดแปดคนตั้งซุ้มไว้อาลัยอยู่ที่นั่น และคนส่วนใหญ่ก็ลอบพูดคุยกันอยู่ใต้ชายคาหรือมุมห้อง ทำให้พิธีดูไม่จริงจัง ไร้ความเป็นระเบียบ
ศพของหวังหลังนำกลับมาเมื่อตอนเที่ยงของวันก่อน แต่ตอนนี้เรื่องงานศพยังเตรียมการไม่เรียบร้อย
สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ แล้วปล่อยม่านลง
ถึงแม้ว่าสือเหนียงจะเป็นคนดูแลสกุล แต่จะให้ต้นไม้ต้นเดียวแตกกิ่งก้านสาขามากมายก็คงเป็นเรื่องยาก
คนที่มาต้อนรับพวกนางคือสะใภ้หยวนเป่าจู้
นางสวมเสื้อกั๊กยาว ม้วนผมขึ้นเป็นมวย ประดับด้วยดอกกล้วยไม้หยกสีขาวหนึ่งดอก มองดูแล้วสดชื่นสบายตา นางเดินเข้ามาคำนับทุกคนด้วยความเคารพ พาพวกนางไปคารวะหวังฮูหยินผู้เฒ่าที่ป่วยติดเตียงสีหน้าเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวาก่อน จากนั้นก็พาพวกนางไปยังเรือนของสือเหนียง
ดูเหมือนว่าซื่อเหนียงจะรู้เรื่องของหวังหลังเป็นอย่างดี นางถามสะใภ้หยวนเป่าจู้เบาๆ “เจียงฮูหยินสบายดีหรือไม่”
สะใภ้หยวนเป่าจู้พูดอย่างนิ่งสงบ “ฮูหยินเสียใจมาก แล้วยังเป็นหวัด ตอนนี้พักผ่อนอยู่ที่เรือนของนายท่านใหญ่เจ้าค่ะ มีฮูหยินใหญ่คอยดูแล แล้วยังมีคุณชายน้อยและคุณหนูคอยรับใช้ คิดว่าไม่กี่วันก็คงจะหายดีเจ้าค่ะ”
ซื่อเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ พูดกับสืออีเหนียง “สองสามวันก่อนยังหนาวจนต้องสวมเสื้อคลุม สองสามวันนี้กลับมีแดดออก สวมได้แค่เสื้อผ้าฝ้าย ไม่แปลกที่มีคนเป็นหวัดเยอะขึ้น”
ก่อนที่จะมาจวนสกุลหวัง บรรดาสตรีของสกุลหลัวไปเยี่ยมสืออีเหนียงที่จวนสกุลสวีก่อน สืออีเหนียงจึงบอกให้ทุกคนอยู่ทานข้าวเช้าด้วยกัน เพื่อที่จะได้มาไว้อาลัยพร้อมกัน
“โชคดีที่คุณหนูสิบเอ็ดของเรายังเยาว์วัยจึงพอทนได้” คุณนายสามสกุลหลัวยิ้ม “ดื่มซุปขิงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา นางค่อยๆ เดินช้าลง ให้คุณนายใหญ่เดินอยู่ข้างหน้าสุด ตัวเองเดินเข้าไปในเรือนของสือเหนียงตามคุณนายสี่
สือเหนียง จินเหลียนและอิ๋นผิงเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวพระจันทร์หมดแล้ว ประดับด้วยดอกไม้สีขาว จินเหลียนและอิ๋นผิงตาแดงก่ำ สีหน้าซีดเซียว ยกชาเข้ามาให้ทุกคนด้วยสีหน้าที่ไร้ชีวิตชีวา
คุณนายใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ
พวกนางสองคนล้วนแต่เป็นสาวใช้ที่หวังหลังรับเป็นสาวใช้ห้องข้าง สือเหนียงยังสามารถไว้ทุกข์ได้ แต่พวกนางไม่มีสถานะ ไม่รู้ว่าอนาคตจะอยู่ที่ไหน
สือเหนียงนั่งไขว้ขาอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ไม่สนใจใครทั้งสิ้น
ทุกคนไถ่ถามสองสามประโยค แต่ไม่มีคนตอบกลับ บรรยากาศก็เริ่มอึมครึม
คุณนายสี่ออกมากอบกู้สถานการณ์ “นี่เป็นเรื่องใหญ่ คุณหนูสิบก็คงจะเหนื่อยแล้ว เราไปนั่งที่ห้องโถงกันเถิดเจ้าค่ะ”
ทุกคนไม่คัดค้าน พากันไปนั่งที่ห้องโถงแล้วพูดคุยกัน
“…ออกเรือนไปพร้อมกัน แต่ท้องของชีเหนียงก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลย” วันนี้อู่เหนียงไม่มา คุณนายสามจึงคิดถึงชีเหนียงที่แต่งงานไปอยู่ที่ซานตงขึ้นมา
ทุกคนหันมามองที่สืออีเหนียงและคุณนายสี่
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ แต่คุณนายสี่กลับหน้าแดง นางเปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินมาว่าน้องห้ากำลังจะหมั้น? ขอหมั้นกับหลานสาวคนเล็กของสกุลเดิมของพี่สะใภ้สามหรือเจ้าคะ”
ไม่กี่วันก่อนนายหญิงสามเขียนจดหมายเรื่องนี้มาบอกนายท่านใหญ่ ความหมายก็คือบอกให้นายท่านใหญ่นำเงินออกมาจากส่วนกลาง ตั้งแต่นายท่านใหญ่ไม่ได้เป็นขุนนาง รายได้ของร้านค้าสกุลหลัวก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน แล้วอีกอย่าง นายหญิงใหญ่ป่วยติดเตียง รายจ่ายของสกุลส่วนใหญ่เป็นเรื่องยา คุณนายใหญ่รวบรวมตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้คนส่งไปแล้ว
เรื่องนี้สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ได้ยินเป็นครั้งแรก ซื่อเหนียงพึมพำ บอกให้คุณนายใหญ่รีบยืนยัน
คุณนายใหญ่พยักหน้า “บอกว่าจะแลกหนังสือผูกดวงช่วงกลางเดือนสี่”
“อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า[1] สกุลหลิวก็เป็นสกุลขุนนาง น้องห้าช่างมีวาสนา”
ในที่สุดหัวข้อสนทนาของทุกคนก็เปลี่ยนไป
คุณนายสี่ลอบถอนหายใจ ก็เห็นสืออีเหนียงส่งยิ้มให้นาง
นางก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเชิญพวกนางไปดื่มชาที่โถงบุปผา
สืออีเหนียงถือโอกาสลุกขึ้นขอตัวลา
ทุกคนยื้อนางเอาไว้ แต่เมื่อเห็นนางยืนกรานว่าจะไปจึงไม่บังคับนาง สืออีเหนียงบอกให้ลี่ว์อวิ๋นไปบอกสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็พาหงซิ่วและเยี่ยนหรงกลับจวน
ไท่ฮูหยินกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข สืออีเหนียงเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน เด็กๆ สองสามคนก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามาคำนับนาง
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีแดงลายดอกไม้ สวมเครื่องประดับสร้อยคอสีทอง ต่างหูมรกตขนาดเท่าไข่นกพิราบ ยืนผอมเพรียวอยู่ตรงนั้นราวกับต้นดอกโบตั๋น
“ท่านอาสะใภ้ ได้ยินมาว่าท่านไปคารวะคุณชายหวังที่จวนเม่ากั๋วกงมาหรือเจ้าคะ กำลังเสียใจที่ไม่ได้เจอท่าน คิดไม่ถึงว่าท่านจะกลับมาเร็วเช่นนี้” นางพูดอย่างรวดเร็ว
“ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เกรงใจเกินไปแล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้ายังไม่ได้ขอบคุณที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ต้อนรับเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราครั้งก่อนเลย”
“ท่านอาสะใภ้ไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม “เราอยู่ข้างกัน เดิมทีก็ต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
พูดจาได้อย่างเหมาะสมพอดิบพอดีต่างกับเมื่อก่อน หรือปีใหม่แล้วก็โตขึ้นแล้ว?
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดคุยกับนางสองสามประโยค อยู่ทานข้าวเที่ยงที่เรือนของไท่ฮูหยิน พาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจินเจี่ยเอ๋อร์ สือเอ้อร์เหนียง จุนเกอและสวีซื่อเจี้ยกลับไปที่ลานของตัวเอง เพราะว่าเรื่องอายุ สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนจึงไม่ได้มาด้วย
ทันทีที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เข้ามาในห้องก็เห็นโต๊ะปักผ้าที่ถูกวางไว้บนเตียงเตา
“นี่คือ…” สายตาของนางเป็นประกาย
สือเอ้อร์เหนียงเดินเข้าไป “พี่หญิงสิบเอ็ด นี้คือ ‘ลมหุบเขา’ ที่ท่านปักหรือเจ้าคะ ข้าได้ยินอี๋เหนียงหกบอกว่า ตอนที่ท่านอยู่ที่สกุลเดิมยังเคยปักภาพอายุร้อยปี”
นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีเหลือง กระโปรงสีเขียว ไม่มีอี๋เหนียงหก นางจึงดูสดใสมากกว่าปกติ ช่างน่ารักน่าเอ็นดู
“ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานมีเวลามาก” สืออีเหนียงพูดอย่างคลุมเครือ “แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็เดินเข้าไป “ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน ท่านแม่ปักเพิ่มอีกตั้งหนึ่งตัว”
วันนี้นางสวมเสื้อผ้าแพรสีขาวพระจันทร์ กระโปรงสีเขียวอมฟ้า รูปร่างผอมเพรียว ราวกับดอกบัวสีขาว
“มีเวลาข้าก็ปัก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเรียกพวกนางไปนั่งบนเตียงเตา บอกสาวใช้ยกผลไม้เข้ามาต้อนรับพวกนาง
สือเอ้อร์เหนียงยกกระโปรงขึ้นอย่างระมัดระวัง แต่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับนั่งลงอย่างไม่สนใจอะไร กอดหมอนไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง “ท่านอาสะใภ้ปักมานานแค่ไหนแล้วเจ้าคะ”
สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยขึ้นมาบนเตียงเตา “สองสามเดือนแล้ว”
นางได้ยินเช่นนี้ก็ปิดปากหัวเราะ “หากข้ามีเวลาเหมือนท่านอาสะใภ้ ข้ายอมจับพู่กันเขียน ‘บทกวีฉังเหมิน[2]’ เกรงว่าคงจะง่ายกว่าไม่น้อยเจ้าค่ะ”
เปรียบเทียบ ‘ลมหุบเขา’ กับ ‘บทกวีฉังเหมิน’…ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์คงจะคิดว่าตนอยากจะถือโอกาสนี้บอกนางว่า สตรีที่เย็บปักถักร้อยเป็นนอกจากจะเย็บปักถักร้อยเป็นแล้ว แล้วยังสามารถมัดใจสามีได้อีกด้วย
สืออีเหนียงตกใจ
แต่ว่า ในเมื่อนางคิดเช่นนี้ ไม่สู้คล้อยตามนางไปดีกว่า
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้น ‘เสวียนจีถู’ ของซูฮุ่ย[3]ที่ทุกคนยกย่อง แต่เฉินอาเจียว[4]กลับเหลือเพียงชื่อเสียงของความอิจฉาที่บรรลุผล”
เป็นบทกวีการแสดงความรักต่อสามีเหมือนกัน อันหนึ่งทำด้วยผ้าทอ อีกอันหนึ่งใช้พู่กันเขียน แต่ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนกัน
แน่นอนว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น มีกลิ่นอายของความเจ้าเล่ห์ แต่สำหรับเด็กที่ชาญฉลาดและมั่นใจในตนเองอย่างฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ มันคือวิธีที่ดีที่สุด
นางครุ่นคิด จากนั้นก็พูดน้อยลง ตอนกลับไปยังนำผ้าเช็ดหน้าสองผืนกลับไปด้วย
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สตรีในสังคมยุคนี้มีข้อจำกัดมากมาย หากอยากมีชีวิตอิสระ แค่ความกล้าหาญนั้นไม่เพียงพอ
หลังจากส่งแขกตัวน้อยออกไปแล้ว สืออีเหนียงกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ไปที่เรือนของฮูหยินห้า
ป้าสือห้ามสืออีเหนียงไว้ด้านนอกประตูอย่างอ้อมค้อม “…บอกว่าไม่ค่อยสบาย พึ่งจะพักผ่อนไปเจ้าค่ะ”
คงจะกลัวว่าตนยังไม่หายดี จะแพร่เชื้อให้บุตรของนาง!
สืออีเหนียงเข้าใจ
หากเป็นตัวเองก็คงจะคิดขัดขวางเอาไว้เช่นกัน แค่มาหาเป็นพิธีก็พอแล้ว
สืออีเหนียงจึงไม่ได้พยายาม เพียงซักถามถึงเรื่องของเด็กด้วยความเป็นห่วง
ป้าสือยิ้มแล้วพูดว่า “ขาวๆ อ้วนๆ เจ้าค่ะ ทานแล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้สองสามครั้ง รู้ความอย่างมาก ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเอ่ยชื่นชมสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นเอ่ยขอตัวลา
ป้าสือส่งนางออกไปแล้วกลับไปในห้อง
ฮูหยินห้าให้ผ้าเช็ดหน้าสีแดงวางที่หน้าผากของตัวเองแล้วนอนอยู่บนเตียง เห็นป้าสือเดินเข้ามานางก็พูดว่า “ไปแล้วหรือยัง”
“ไปแล้วเจ้าค่ะ!” ป้าสือยิ้ม เดินเข้าไปมองทารกน้อยที่นอนหลับอยู่บนเตียงเล็ก
“รู้ว่าตัวเองไม่สบายแล้วยังไม่พักผ่อนอยู่ที่เรือน” ฮูหยินห้าพูดด้วยความไม่พอใจ “ทำให้คนอื่นลำบากใจ!”
ป้าสือไม่อยากทำให้พวกนางสองคนขัดแย้งกัน จึงตอบรับอย่างคลุมเครือ ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ไท่ฮูหยินบอกให้เว่ยจื่อนำรังนกมาให้เจ้าค่ะ บ่าวบอกให้โรงครัวนำไปต้มมาแล้ว ประเดี๋ยวก็ทานได้แล้วเจ้าค่ะ” บอกว่าไท่ฮูหยินเป็นห่วงนาง
แล้วก็พูดอีกว่า “เมื่อครู่คุณชายห้าส่งบ่าวรับใช้คนสนิทมา บอกว่าคืนนี้มีธุระ ไม่กลับมาแล้ว ถามว่าวันนี้คุณหนูทานอะไรแล้วหรือยัง นอนหลับสบายหรือไม่ ร้องไห้หรือไม่เจ้าค่ะ” บอกนางว่า ถึงแม้ว่าจะคลอดบุตรสาวออกมา แต่สวีลิ่งควนก็ชอบเหมือนกัน
ฮูหยินห้าหัวเราะ
แต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังไม่ทันหายไป ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานด้วยความตกใจ “ฮูหยิน แย่แล้วเจ้าค่ะ…แม่นางเสี่ยวหลาน แม่นางเสี่ยวหลาน…ตัวเต็มไปด้วยเลือดเจ้าค่ะ…”
ฮูหยินห้ารีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรง “ใครเป็นคนทำ” สายตาของนางมองไปที่ป้าสือ
ป้าสือตกใจ ถามสาวใช้คนนั้น “พูดให้ชัดเจน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
สาวใช้คนนั้นตัวสั่น “เมื่อครู่ยังปกติอยู่เลย…ทานซุปไก่ไปชามหนึ่ง…จู่ๆ ก็บอกว่าปวดท้อง พี่เสี่ยวเหมยบอกว่านางทานเยอะเกินไปจึงบอกให้นางออกไปเดินย่อย…ใครจะรู้ว่ายังพูดไม่ทันจบ…นางก็อ้วกออกมาเป็นเลือด…”
ฮูหยินห้าตบลงบนโต๊ะข้างๆ เสียงดัง “ไปสืบมาให้ข้า ต้องสืบมาให้ได้ว่าใครเป็นคนทำ”
สีหน้าของป้าสือมืดมนลง
ฮูหยินห้าพึ่งจะคลอบุตรสาวคนโต สาวใช้ห้องข้างที่กำลังตั้งครรภ์ก็แท้ง…คนอื่นจะคิดเช่นไร!
ไม่ใช่พวกนางก็จะกลายเป็นพวกนาง
สีหน้าของนางเคร่งขรึม “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห้วงเจ้าค่ะ บ่าวจะไปสืบประเดี๋ยวนี้”
—————————–
[1]อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า สำนวนจีนหมายถึง คนมีฐานะหรือบารมี หากประสบความลำบากก็ยังดีกว่าคนที่ยากจนเป็นทุนเดิม
[2]บทกวีฉังเหมิน เป็นบทกวีจีนประพันธ์โดยซือหม่าเซียงหรู
[3]ซูฮุ่ย เป็นนักกวีชาวจีน
[4]เฉินอาเจียว สตรีที่ขอให้ซือหม่าเซียงหรูแต่งบทกวีฉังเหมินให้ โดยที่มาของกลอนบทนี้คือฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ หลิว กษัตริย์ของราชวงศ์ฮั่น แต่งชายาชื่อเฉินอาเจียว เมื่อครั้งเป็นรัชทายาท เพราะอาหญิงของเฉินอาเจียวสัญญาว่าจะช่วยสนับสนุนพระองค์ขึ้นเป็นฮ่องเต้ พอได้เป็นฮ่องเต้ก็ตั้งนางเป็นฮองเฮา อยู่ด้วยกันสิบกว่าปีก็ปลดออก ไล่ไปอยู่ตำหนักฉังเหมิน เฉินอาเจียวเลยไหว้วานให้ซือหม่าเซียงหรูแต่งกลอนบรรยายความทุกข์ของสตรีที่ถูกฮ่องเต้ทอดทิ้ง ภายหลังเมื่อฮ่องเต้ได้ฟังกลอนบทนี้แล้วก็ซาบซึ้งตื้นตันใจรับนางกลับมาเหมือนเดิม
