ถึงแม้ว่าฉังเสวียจื้อจะอายุยังน้อย แต่เขาค่อนข้างมีความสามารถ บ่ายของวันที่สองก็ได้กลับมารายงานผลให้กับสืออีเหนียง
“…เป็นรองเจ้าของอยู่ร้านขายผ้าไหมที่ชื่อว่าหลงเซิ่ง ได้ยินคนในร้านเล่าว่าพ่อบ้านเจียงอ้างว่าเคยเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามฮูหยิน เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านสกุลหลัวที่อวี๋หังเคยเป็นหัวหน้าผู้ดูแลร้านผ้าไหม” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฉังเสวียจื้อก็ได้แสดงสีหน้าที่ลังเลออกมา น้ำเสียงแผ่วเบาลงไปมาก “บอกว่าที่ฮูหยินพาเขาเข้าเมืองหลวงมาด้วยก็เพราะจะยืมความสามารถของเขาเพื่อเตรียมเปิดร้าน เขาไม่อยากที่จะมีความขัดแย้งกับนายหญิงใหญ่ จึงได้ลาออกมาหาลู่ทางทำมาหากินขอรับ”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ถามฉังเสวียจื้อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ร้านนั้นใหญ่โตหรือไม่ มีสาขาย่อยอยู่ในเยี่ยนจิงหรือไม่”
“ในเมืองเยี่ยนจิงถือว่าธรรมดาทั่วไปขอรับ” ฉังเสวียจื้อตอบกลับ “ไม่ได้มีสาขาย่อย เจ้าของร้านเป็นพ่อค้าต่างถิ่นท่านหนึ่งที่มาจากฉังโจว ที่ตงต้าเหมินมีทั้งหมดสามร้าน ค้าขายเกี่ยวกับผ้าไหมผ้าแพรโดยเฉพาะ บ่าวไปถึงตอนต้นของยามซื่อ เด็กในร้านขายได้ราวเจ็ดถึงแปดเจ้าเห็นจะได้ ดูแล้วกิจการไม่เลวทีเดียวขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็ให้ลี่ว์อวิ๋นไปหยิบเอาเหรียญทองแดงมาหนึ่งกำให้เขา จากนั้นก็ได้กำชับเขาให้สืบเรื่องนี้ต่อ “…เวลาว่างก็ไปดูแถวๆ นั้นสักหน่อย”
ฉังเสวียจื้อขานรับแล้วถอยออกไป
หู่พั่วก็ได้เดินเข้ามา “ฮูหยิน รถม้าของฮูหยินสองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
พรุ่งนี้คุณหนูสองสวีซื่อซินครบเดือนพอดี คุณชายห้าสวีลิ่งควนไปเชื้อเชิญด้วยตัวเอง พูดคุยรับปากกันเรียบร้อยว่าวันนี้จะกลับจวน
สืออีเหนียงจึงพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปต้อนรับที่ประตูฉุยฮวา
วันนี้ฮูหยินสองมวยผมทรงสูง ปักด้วยปิ่นเงินดอกติงเซียงสามดอก สวมเสื้ออ่าวขนมิงค์สีดำและกระโปรงผ้าทอลายเมฆมงคลสีน้ำเงินอ่อน ดูเรียบหรูเลอค่าและสง่างามยิ่งนัก
เจินเจี่ยเอ๋อร์ก้าวเข้าไปพลางกล่าวทักทายว่า “ท่านป้าสะใภ้สอง!”
ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ แสดงให้เห็นถึงความดีอกดีใจอย่างชัดเจน
ฮูหยินสองยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้าให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินเข้าไปคารวะซึ่งกันและกันกับสืออีเหนียง
“น้องสะใภ้สามออกเดินทางไปแล้ว ธุระในจวนล้วนมอบหมายให้เจ้าทำจนหมด ลำบากเจ้าแล้ว!” นางพูดคุยกับสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ
“งานเกี่ยวกับภายในจวน จะกล้าพูดว่าลำบากได้อย่างไรกันเล่า” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ “พี่สะใภ้สองนั่นแหละที่เดินทางมาจากที่ไกล ลำบากมาตลอดทางแล้ว”
ทั้งสองทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งรถลากตรงไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินคอยอยู่ตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นหน้าฮูหยินสองนางก็ยิ้มขึ้นด้วยความดีอกดีใจ “ทำไมถึงช้านักเล่า ระหว่างการเดินทางราบรื่นดีหรือไม่”
“มีผู้ดูแลเรือน พ่อบ้านและเจี๋ยเซียงคอยปรนนิบัติรับใช้ ตลอดการเดินทางจึงราบรื่นดีเจ้าค่ะ” จากนั้นฮูหยินสองก็ได้ย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยิน “เพียงแต่ว่าวันนี้อากาศค่อนข้างดี ข้าจึงมัวแต่โลภชมวิวทิวทัศน์ข้างทางจึงล่าช้า ทำท่านแม่เป็นกังวลใจแล้ว!”
“ปลอดภัยก็ดีแล้ว!” ไท่ฮูหยินจูงมือของนางเข้าไปในห้องชั้นใน “ทำไมหรือ ต้นไม้ข้างทางผลิดอกออกใบแล้วหรืออย่างไรกัน”
“ใกล้จะถึงเทศกาลขับร้องลำนำซานเย่ว์ซานแล้ว” ฮูหยินสองตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกใบสักพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองนั่งสนทนาอยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างในห้องชั้นใน
ฮูหยินสองได้เอ่ยถึงฮูหยินสามขึ้นมา “ช่วงนั้นข้าไม่ค่อยสบายพอดี จึงไม่ได้กลับมา ก็เลยให้พ่อบ้านมาส่งสี่สิ่งล้ำค่าแห่งห้องตำราและผ้าไหมทอลายหลายพับเพื่อเป็นของขวัญสำหรับเดินทางเจ้าค่ะ…”
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินนางบอกว่าไม่สบาย สืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์ชะงักไปชั่วขณะ ไท่ฮูหยินรีบตัดบทสนทนาของนางไป “ไม่สบายตรงไหน ตามหมอหลวงมาดูอาการแล้วหรือยัง ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” จากนั้นก็รีบยกมือของนางขึ้นมาสังเกต
“ไม่ได้เป็นอะไรมากเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสองตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่โดนลมหนาวเท่านั้น ตอนนี้หายสนิทแล้ว”
“เด็กคนนี้นี่!” ไท่ฮูหยินเห็นสีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสดชื่น จึงรู้ว่าคำพูดของนางนั้นจริง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ
“ก็เพราะกลัวท่านจะเป็นกังวลใจ ก็เลยไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ได้ถามถึงเรื่องของของฮูหยินห้าขึ้นมา “ได้ยินน้องห้าเล่าว่าตานหยางคลอดบุตรได้อย่างราบรื่นปลอดภัย เด็กคลอดออกมามีน้ำหนักหกชั่งหกตำลึง ตั้งนามว่า ‘ซิน’ …”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” เมื่อพูดถึงเด็กไท่ฮูหยินก็ดูดีใจเป็นอย่างมาก สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความปิติยินดี “หน้าตาน่ารักน่าชังเสียไม่มี ได้ลักษณะเด่นจากทั้งคู่ ดวงตาและจมูกเหมือนตานหยาง แต่ปากกลับเหมือนลิ่งควน…”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น สาวใช้น้อยก็ได้ยกน้ำชาเข้ามาให้
จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็ได้หยุดบทสนทนานี้ไว้ “ดูข้าสิ เจ้าเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงแท้ๆ ข้ากลับเอาแต่คุยกับเจ้า” จากนั้นก็แสดงสีหน้าเหมือนว่าคิดอะไรออก จึงพูดขึ้นว่า “เจ้ากลับมาครั้งนี้คงจะไม่เดินทางอีกแล้วใช่หรือไม่” แววตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ฮูหยินสองแสดงสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จริงๆ แล้วที่ย้ายข้าวของไปที่ซีซานก็เพื่อจะแอบเกียจคร้าน แต่พอย้ายไปจริงๆ ก็เอาแต่เป็นห่วงท่านแม่ ก็เลยถือโอกาสที่ซินเจี่ยเอ๋อร์จัดงานครบเดือนครั้งนี้ กลับมาและขี้เกียจไม่ย้ายไปไหนแล้วเจ้าค่ะ!”
“ขี้เกียจไม่ขี้เกียจอะไรกัน!” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง “ที่นี่คือบ้านของเจ้า เจ้าจะอยู่นานแค่ไหนก็ย่อมได้” จากนั้นก็ได้เรียกเว่ยจื่อพาฮูหยินสองไปชำระร่างกาย “…พวกเราไปดูซินเจี่ยเอ๋อร์กัน!”
ฮูหยินสองขานรับและตรงไปยังห้องชำระ
เจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็ได้ตามไปปรนนิบัติด้วย
สีหน้าของไท่ฮูหยินก็ค่อยๆ หม่นหมองลง หันกลับไปจ้องมองสืออีเหนียง เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็กลืนคำพูดลงคอไป
สืออีเหนียงนึกถึง ‘การขัดแย้งกัน’ ระหว่างหยวนเหนียงและไท่ฮูหยิน รู้ว่าไท่ฮูหยินกังวลใจกลัวว่านางจะผิดใจกันกับฮูหยินสอง จึงตัดสินใจพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่สะใภ้สองเป็นหญิงหม้าย จิตใจจึงค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านแม่โน้มน้าวต่ออีกสักหน่อย พวกเราเหล่าบรรดาสะใภ้ก็ช่วยกันกระชับความสัมพันธ์อีกแรง ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองเจ้าค่ะ!”
คำพูดของสืออีเหนียงพุ่งตรงไปยังกลางใจของไท่ฮูหยิน
“ดี...ดี...ดี…” สีหน้าของไท่ฮูหยินเผยให้เห็นถึงความโล่งใจ “พวกเจ้ารักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้ ข้าดีใจยิ่งกว่าทานโสมกับรังนกเสียอีก”
“ท่านแม่วางใจเถิด” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ทางฝั่งของพี่สะใภ้สอง ข้าจะดูแลเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ!”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ฮูหยินสองก็เปลี่ยนชุดเสร็จออกมาพอดี ไท่ฮูหยินจึงหยุดบทสนทนาไป จากนั้นทุกคนก็พากันไปเยี่ยมฮูหยินห้า บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหยอกล้อและเสียงหัวเราะ
หลังจากพิธีอาบน้ำทารกวันที่สามแล้ว สืออีเหนียงก็ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่สองสามครั้ง เจ้าตัวน้อยเปลี่ยนไปทุกวัน ครั้งนี้โตกว่าครั้งที่แล้วมาก ผิวพรรณขาวละเอียดนุ่มละมุน ฮูหยินสองเห็นแล้วก็รู้สึกหวงแหนและเอ็นดูเป็นอย่างมาก ค่อยๆ อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แต่ท่าทางของนางราวกับว่าวางมือไม้ไม่ค่อยถูกอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินห้าที่นั่งอยู่บนเตียงก็ได้พูดหยอกล้อว่า “ตอนนั้นเลี้ยงดูอวี้เกอเอ๋อร์อย่างไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนั้นมีแม่นมและสาวใช้คอยช่วยด้วยนี่นา” น้ำเสียงและสีหน้าแววตาราวกับว่าการอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่เหมือนกับการอุ้มอวี้เกอเอ๋อร์อย่างไรอย่างนั้น
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ แต่สืออีเหนียงกลับแอบรู้สึกหวั่นใจลึกๆ
จากนั้นก็มีสาวใช้เรียนผ่านม่านว่า “คุณชายห้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทุกคนต่างก็พากันเงียบ
สวีลิ่งควนเปิดม่านเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ในมือของเขาถือหนังสือรายการที่หุ้มด้วยกระดาษสีแดงโรยทองอยู่ เขาได้กล่าวทักทายทุกคน จากนั้นก็ได้ยื่นหนังสือรายการให้ไท่ฮูหยินดู “…รายการอาหารกินเลี้ยงสำหรับวันครบเดือนพรุ่งนี้ ท่านแม่เห็นว่าอย่างไรขอรับ”
สายตาของไท่ฮูหยินไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงให้สืออีเหนียงรับหนังสือแทน “ลองอ่านให้ข้าฟังหน่อย”
อาหารเย็นเรียกน้ำย่อยสี่อย่าง กับข้าวเย็นสี่อย่าง ขนมสี่อย่าง อาหารร้อนสิบอย่าง หม้อไฟหนึ่งหม้อ เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ เนื้อปลาและของหายากล้วนครบครัน…สืออีเหนียงดูผ่านตาคร่าวๆ หากไม่นับสุรา น้ำชา ค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งโต๊ะอยู่ราวๆ ห้าสิบตำลึงเห็นจะได้
“เชิญแต่ญาติและคนสนิท คงจะประมาณหกสิบโต๊ะขอรับ” สวีลิ่งควนอธิบายให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ ถือเป็นการตอบตกลงและเห็นด้วย
พอกลับถึงเรือน สวีซื่อเจี้ยก็ได้เข้ามาคารวะสืออีเหนียง
ห้องครัวทำขนมซานเย่าไส้พุทรามาให้พอดี
สืออีเหนียงหยิบมาชิ้นหนึ่งยื่นให้สวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็ก กัดทานทีละคำ ดูเอร็ดอร่อยเป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ
จู่ๆ สืออีเหนียงก็นึกถึงเรื่องงานเลี้ยงครบเดือนของซินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร นางเอาแต่รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
เด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาเห็นว่าสืออีเหนียงกำลังจ้องเขาอยู่ เขาจึงได้ชูจานขึ้นมาให้นางพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ อร่อยนะขอรับ!”
สืออีเหนียงลูบศีรษะของสวีซื่อเจี้ยเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เจ้าทานเถิด แม่ยังไม่หิว”
สวีซื่อเจี้ยจ้องมองนางด้วยความไม่เข้าใจ
สืออีเหนียงจึงอุ้มสวีซื่อเจี้ยขึ้นกอดมาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ตกดึก หู่พั่วก็ได้มาเรียนกับนางว่า “ได้ยินจูเอ้อร์เล่าว่าสองสามวันมานี้เฉียวอี๋เหนียงเงียบสงบมาก ไม่เพียงแต่ทานยาตามเวลา ข้าวปลาอาหารก็ทานได้มากขึ้น ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ทางฝั่งของเฉียวอี๋เหนียง เกรงว่าเจ้าคงจะต้องคอยระวังให้มากกว่านี้แล้ว”
หู่พั่วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินวางใจได้ ทางฝั่งของเฉียวอี๋เหนียง บ่าวคอยจับตาดูอยู่ตลอดเจ้าค่ะ!”
“เจ้าไม่เข้าใจความหมายของข้า” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จนใจ “การสูญเสียบุตรไป สำหรับเฉียวอี๋เหนียงแล้ว ถือเป็นเรื่องที่สะเทือนใจมาก แต่การกระทบกระเทือนครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลพวงอะไรบ้าง ตอนนี้เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ทำได้แค่เพียงป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิดเท่านั้น”
*****
วันถัดมาคือวันครบเดือนของซินเจี่ยเอ๋อร์ ญาติพี่น้องของฮูหยินห้าก็ได้มาส่งมอบของขวัญวันครบเดือน จวนสกุลสวีจัดโต๊ะงานเลี้ยงที่ลานนอกสี่สิบโต๊ะ ที่เรือนชั้นในอีกยี่สิบโต๊ะ และยังได้เชิญคณะเต๋ออินปานมาแสดงในงานมงคลด้วย หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหว คุณนายสามสกุลหวง เจิ้งไท่จวินจวนติ้งกั๋วกง หลินฮูหยินจวนเวยเป่ยโหว คุณนายใหญ่สกุลหลิน ถังฮูหยินจวนจงซานโหว นายหญิงสี่สกุลถังและโจวฮูหยิน…มากันครบ ล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา
ฮูหยินสามไปหาตานหยางแล้ว ส่วนเรือนชั้นในก็มีสืออีเหนียงที่คอยอยู่ดูแลทุกอย่าง
สืออีเหนียงต้อนรับขับสู้แขกที่เข้ามาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นมิตร
คุณนายสามสกุลหวงเข้าไปจูงแขนคุณนายใหญ่สกุลหลินพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดูชุดที่ฮูหยินสี่สวมใส่นั่นสิ”
สืออีเหนียงสวมเสื้ออ่าวสีชมพูและกระโปรงผ้าไหมสีม่วง ที่หูสวมด้วยต่างหูรูปใบหลิวเล็กๆ ดูสง่า สวยงาม และอ่อนโยน
“นางอายุยังน้อย สวมชุดอะไรก็ต้องงดงามเป็นธรรมดา!” คุณนายใหญ่สกุลหลินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “หากเปลี่ยนเป็นข้ากับเจ้าที่สวมใส่ สีแบบนี้มีหรือจะใส่ได้”
“ก็จริง!” คุณนายสามสกุลหวงยิ้มกว้าง จากนั้นก็ได้ถามถึงเรื่องของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “…ได้ยินมาว่านางเรียนเย็บปักถักร้อยด้วย ตอนนี้เรียนไปถึงไหนแล้ว”
“อมิตาพุทธ!” คุณนายใหญ่สกุลหลินอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นว่า “ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นข้าทนหน้าด้านร้องขอวิงวอนต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ในที่สุดนางก็ยอมจับเข็มและด้ายอีกครั้ง”
คุณนายสามสกุลหวงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก “จริงหรือ!”
“จริงสิ!” คุณนายใหญ่สกุลหลินตอบกลับ “หลังจากที่เด็กคนนั้นกลับไปแล้ว ก็เอาแต่เศร้าสร้อยไปหลายวัน ข้ากำลังเป็นกังวลใจไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ก็เลยจะมาถามฮูหยินสี่เสียหน่อย ใครจะไปรู้ว่านางกลับเรียกป้ารับใช้ให้ไปหาลายปักง่ายๆ มาแทน” นางพูดขึ้นพลางถอนหายใจเบาๆ “แม้ว่าตอนนี้นางนั้นจะสามวันจับปลา สองวันตากแห ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่จริงจังสักอย่าง แต่ก็ถือว่าดีกว่าก่อนหน้านี้ที่ไม่เอาอะไรเลย…”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากันอยู่นั้น กานฮูหยินจวนจงฉินปั๋วก็เดินเข้ามาพอดี
ทั้งสองพากันหยุดบทสนทนาไปโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็เห็นสืออีเหนียงเดินออกไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ท่านมาแล้วหรือ”
รอยยิ้มของกานฮูหยินค่อนข้างเกร็งเล็กน้อย
ตอนที่ฮูหยินสามออกเดินทางนั้น นอกจากพี่ชายร่วมบิดามารดาของฮูหยินสามแล้ว คนอื่นๆ ของบ้านสกุลกานก็ไม่มีใครมาส่งเลย
ในตอนนั้นอย่าว่าแต่ว่าผิดต่อจวนสกุลสวีเลย ถึงแม้ว่าคนจวนสกุลสวีจะมีเหตุผล แต่วันนี้เป็นงานเลี้ยงครบเดือนของซินเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงจะให้คนจวนสกุลกานเสียหน้าได้อย่างไรกัน
นางยิ้มพลางเชื้อเชิญกานฮูหยินไปหาไท่ฮูหยิน “…ท่านมาช้าแล้ว! หวงฮูหยินอยากจะเล่นไพ่ กำลังขาดไปหนึ่งขาพอดี!” สีหน้าและแววตาของนางราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
กานฮูหยินเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป จากนั้นก็เดินตามสืออีเหนียงเพื่อไปหาไท่ฮูหยิน
ฮูหยินห้ากำลังอุ้มเด็กน้อยให้เหล่าบรรดาฮูหยินเชยชม ทุกคนต่างพากันยิ้มและจ้องมองเด็กน้อยด้วยความปิติยินดีและพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา “ผมสวยเสียจริง” หรือ “ริมฝีปากเหมือนลิ่งควน” บรรยากาศดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงกำลังจะกล่าวรายงานออกไป แต่จู่ๆ กานฮูหยินก็ดึงแขนเสื้อของนางไว้ พลางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฮูหยินสี่…นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ฮูหยินสามของพวกเจ้าไม่ยอมลดละเสียที เอาแต่ขุ่นเคืองคนหัวแข็งเช่นคุณหนูใหญ่ของพวกข้า พูดถึงงานแต่งครั้งนี้ด้วยอารมณ์…” นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างลำบากใจ “คงจะเป็นเพราะพวกเขาไม่มีวาสนาต่อกันกระมัง!” จากนั้นก็หันไปพร้อมกับพูดขึ้นเสียงสูงว่า “นี่คงเป็นซินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราสินะ!” แล้วจึงเดินเข้าไปในกลุ่มที่เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น
