ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นฟังเจี่ยเอ๋อร์สวมเสื้อกั๊กยาวได้พอดี นางก็ยิ้ม “เจ้าจำได้หรือไม่”
“จำได้อยู่แล้ว” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ตอบอย่างมั่นใจ “กระดุมที่สามเป็นสีขาวที่มีด้ายสีเขียว กระดุมที่ห้ามีสีแดง สีเหลือง สีเขียว สีทองสี่สี กระดุมที่สิบสองคือสีแดง มีสีเขียวมรกตและสีเหลือง กระดุมที่สิบสี่มีแค่สีดำและสีทองแดง…”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “พวกเจ้า พวกเจ้าละเอียดเกินไปแล้ว!”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์มีสีหน้าพอใจ “ในเมื่อเจ้าอยากทำให้มันเหมือนกัน มันก็ต้องเหมือนกันสิ” จากนั้นก็ทำเสียงตกใจแล้วถามฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “เมื่อครู่ตอนที่เจ้าเข้ามาเจ้าเจออาหญิงสี่หรือไม่ วันนี้นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีไข่ไก่ กระโปรงผ้าไหมสีม่วง สีม่วง!”
“ข้าเจอแล้ว!” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์พูด “ตอนที่พวกข้าเข้ามา ท่านอาหญิงกำลังจะออกไปข้างนอก นางคาดดอกโบตั๋นดอกใหญ่สีทับทิม แวววาวสดใส หายากจริงๆ”
แต่เมื่ออู่เหนียงเห็นดอกโบตั๋นบนหัวของสืออีเหนียง นางกลับยิ้มไม่ออก
สืออีเหนียงเห็นว่าอู่เหนียงเอาแต่มองเครื่องประดับของนาง ก็แอบเสียใจ คิดว่าวันนี้น่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้ามาก่อน จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วสังเกตเรือนของอู่เหนียง
นางมาที่นี่เป็นครั้งแรก
อู่เหนียงอยู่ในลานที่มีทางเข้าสองทาง มีกำแพงสีขาว กระเบื้องสีเทา อิฐสีน้ำเงินและประตูสีดำ ดูแล้วสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ของใช้ในเรือนล้วนเคลือบเงา กระถางดอกไม้ลายคราม ผ้าม่านสีฟ้า ประดับด้วยตัวอักษรเขียนพู่กัน ภาพวาดที่สวยงามเป็นพิเศษ มีกลิ่นอายของสกุลนักปราชญ์แฝงอยู่ทุกหนแห่ง
คุณนายใหญ่สกุลหลัวคิดว่าอู่เหนียงเหนื่อย จึงช่วยจัดหมอน “พิธีสรงสามเสร็จสิ้นลงแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก เจ้าพักผ่อนเถิด”
อู่เหนียงเม้มปากแล้วนอนลงด้วยสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อย
คุณนายใหญ่สกุลหลัวมองดูเด็กทารกตัวน้อยที่ขาวและอ้วนท้วมในอ้อมแขนของแม่นมแล้วพูดว่า “…ตั้งนามให้แล้วหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ!” อู่เหนียงอธิบาย “เด็กคนนี้คลอดเร็วเกินไป จึงยังไม่ได้คิดเอาไว้”
เพราะว่ารอคอยถึงจะตั้งชื่อให้ลูกตั้งแต่เนิ่นๆ เหมือนกับสวีลิ่งควน ก่อนที่ซินเจี่ยเอ๋อร์จะคลอดออกมาเขาเขียนชื่อทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงไว้มากกว่าหนึ่งร้อยชื่อ ไม่มีอะไรทำก็มักจะมาถามพวกเขาว่าชื่อไหนดี...
ถึงแม้ว่าในใจจะสับสน แต่ก็คิดว่าสถานการณ์ของแต่ละสกุลไม่เหมือนกัน นางจึงไม่กล้าพูดอะไร สืออีเหนียงมองดูเด็กน้อย “หน้าตาเหมือนพี่เขยห้ามากกว่าเจ้าค่ะ”
คุณนายสี่สกุลหลัวที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า “ข้าเองก็คิดว่าเหมือนท่านเขยห้า”
จื่๋อหว่านเข้ามาเชิญพวกนางไปที่ห้องโถง “สำรับถูกจัดตั้งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนยิ้มแล้วพูดคุยกับอู่เหนียงสองสามประโยค จากนั้นก็ไปนั่งที่ห้องโถง
สกุลเฉียนไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ นอกจากบรรดาสะใภ้จากสกุลญาติของเด็กแล้ว ที่เหลือก็คือภรรยาของสหายของพวกเขาสองสามคน แต่งตัวธรรมดา เมื่อพบหน้ากับคุณนายใหญ่สกุลหลัวและคนอื่นๆ บางคนก็มีสายตาที่เกรงกลัว บางคนก็ไม่หยิ่งทะนงและไม่ถ่อมตัว ท่าทีดูใจกว้าง มีบางคนเดินเข้ามาทักทายสืออีเหนียงและคนอื่นๆ
หมอตำเเยที่เป็นคนทำพิธีสรงสามก็ชื่นชมว่าเฉียนหมิงช่างมีวาสนาที่ได้แต่งงานกับอู่เหนียง เหรียญที่คุณนายใหญ่สกุลหลัวและคนอื่นๆ โยนลงไปในอ่างที่ใช้อาบน้ำล้วนแต่เป็นเหรียญเงินทั้งสิ้น
คุณนายใหญ่สกุลหลัวตอบรับอย่างมีมารยาท เมื่อสาวใช้ยกอาหารเข้ามาแล้ว บรรยากาศก็สงบลง
ถึงแม้ว่าจะมีแขกไม่มาก แต่งานเลี้ยงไม่ธรรมดา เชิญพ่อครัวจากหอชุนซีมาทำซาลาเปา อาหารจานสุดท้ายคือพระกระโดดข้ามกำแพง สืออีเหนียงทานหูฉลามและหอยเป๋าฮื้อ
คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ทานเหมือนกัน
นางพูดกับสืออีเหนียงเบาๆ “เกรงว่าอาหารมื้อนี้คงจะแพงไม่น้อย”
สืออีเหนียงก็คิดว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไป
คุณนายใหญ่สกุลหลัวถามนาง “ได้ยินมาว่าครั้งก่อนจะทำกิจการสักอย่างกับเจ้า ทำแล้วหรือยัง”
“ไม่ได้ทำเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “กิจการบางอย่างข้าไม่สะดวกที่จะออกหน้า”
คุณนายสี่สกุลหลัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้แล้วก็มองหูฉลามที่อยู่ในชามอย่างครุ่นคิด
บรรดาภรรยาของสหายของเฉียนหมิงก็พากันชื่นชมว่างานเลี้ยงไม่ธรรมดา บอกว่าเฉียนหมิงช่างใจกว้าง
หลังทานอาหารเสร็จ บางคนก็เข้าไปดื่มชาข้างในห้องกับคนสกุลหลัว บางคนก็อ้างว่ามีธุระขอตัวกลับไปก่อน
สืออีเหนียงพึ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน นางก็บอกลาอู่เหนียง “…ที่บ้านยังมีแขก ประเดี๋ยวอีกสองสามวันค่อยมาเยี่ยมท่านและบุตรชาย”
อู่เหนียงจึงอธิบายให้คนที่อยู่ข้างๆ ฟัง “จวนหย่งผิงโหวกำลังจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ จงฉินปั๋ว จงซันโหวและลูกสะใภ้ขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเองก็อยู่ที่นั่นด้วย นางถือโอกาสออกมาเยี่ยมข้า”
หมอตำแยคนนั้นได้ฟังก็ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ไอ๊หยา ฮูหยินช่างรักหลานชายเสียจริงเจ้าค่ะ”
ข้างในห้องยังมีท่านป้าคนอื่นอีกสองคน…สืออีเหนียงคิดว่าหมอตำแยคนนี้พูดจาไม่เป็น จึงยิ้มแล้วบอกกล่าวกับอู่เหนียงว่าให้พักผ่อนให้ดี จากนั้นเฉียนหมิงก็ออกมาส่งนางถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง
กลับมาถึงเหอฮวาหลี่ งิ้วพึ่งจะเล่นเสร็จ สืออีเหนียงรีบไปคารวะฮูหยินทุกท่าน ทุกคนล้วนแต่ซักถามนางถึงเรื่องพิธีสรงสาม
“…หน้าตาดูว่านอนสอนง่าย ตอนจุดประทัดก็ไม่ตกใจตื่น นอนหลับตาพริ้มอย่างสงบเจ้าค่ะ”
“ช่างมีวาสนาเสียจริง”
จากนั้นก็โอดครวญว่าสองวันนี้ไม่ได้เจอหน้าซินเจี่ยเอ๋อร์ “เด็กคนนั้นก็ช่างรู้ความเสียจริง รู้ว่าสกุลหย่งผิงโหวของเราขาดแคลนบุตรสาว”
ฮูหยินห้ายิ้มแย้มสดใส จากนั้นก็ประคองไท่ฮูหยินไปที่โถงบุปผา
ที่นั่นจัดเตรียมสุราและอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว โจวฮูหยินจับมือสืออีเหนียงแล้วบอกว่าจะลงโทษให้นางดื่มสุรา
ไท่ฮูหยินกลัวว่านางจะดื่มไม่ไหว ชี้นิ้วไปที่โจวฮูหยินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่หญิงอย่างเจ้าก็ไม่รู้ความ”
สืออีเหนียงจึงอ้างคำพูดของไท่ฮูหยิน โจวฮูหยินก็กลัวว่านางจะดื่มมากเกินไปเช่นกัน ปากเก่งแต่ไม่กล้าทำ ไปๆ มาๆ ก็ทำเอานายหญิงสี่สกุลถังดื่มสุราจนหน้าแดงแทน ถังฮูหยินจึงยิ้มพลางเอ่ยบ่นโจวฮูหยิน “เจ้านี่ชอบรังแกคนอ่อนแอ” ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ เมื่อทานข้าวและร่ำสุราอย่างอิ่มท้องแล้ว ก็แยกย้ายจากกันไปอย่างมีความสุข
ฮูหยินห้าเป็นห่วงบุตรสาว จึงไปที่เรือนของฮูหยินสองก่อน
หู่พั่วคอยเก็บกวาดจัดการสถานการณ์ ส่วนสืออีเหนียงประคองไท่ฮูหยินกลับห้อง
ระหว่างทาง ไท่ฮูหยินก็ยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ทุกคนบอกว่างานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิปีนี้จัดได้ดีกว่าปีที่ผ่านๆ มา”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับอย่างถ่อมตัว “ก็เพราะว่าคุณชายห้าและน้องสะใภ้ห้ามีหน้ามีตา สามารถเชิญคณะงิ้วสามคณะใหญ่ของต้าโจวมาได้เจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น จะยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน จากนั้นก็ถามถึงเรื่องของอู่เหนียง “…เหตุใดถึงคลอดก่อนกำหนด”
“บอกว่าไม่ระวังหกล้ม” สืออีเหนียงรับชาร้อนจากมือของสาวใช้มายื่นให้ไท่ฮูหยิน “โชคดีที่ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินรับชามาจิบ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ที่นี่มีเหยาหวงก็พอแล้ว” นางพูดด้วยสายตาที่แน่วแน่ดูใจดี
สืออีเหนียงรู้ว่าไท่ฮูหยินนั้นเจตนาดี จึงยิ้มแล้วย่อเข่าตอบรับ เมื่อเว่ยจื่อและเหยาหวงประคองไท่ฮูหยินเข้าไปในห้องน้ำ นางก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
เยี่ยนหรงออกมาต้อนรับ “ในเรือนสงบมากเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วเข้าไปในห้อง
สวีลิ่งอี๋อยู่บนเตียงตั้งนานแล้ว กำลังอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงตะเกียง เมื่อเห็นนางหน้าแดงเดินเข้ามา ก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “ดื่มสุรามาหรือ”
“ดื่มเป็นเพื่อนพี่หญิงโจวนิดหน่อยเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “แต่กลับบอกข้าว่าดื่มไม่เป็น”
“ข้าแค่คอไม่แข็งดื่มเป็นเพื่อนท่านโหวไม่ได้”
สองคนพูดคุยกันเพียงสองสามประโยค สืออีเหนียงไปชำระร่างกายแล้วพักผ่อนทันที แต่กลับตื่นมากลางดึกเพราะว่ากระหายน้ำ
มีถ้วยชาที่รินน้ำเตรียมไว้แล้วถ้วยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
สืออีเหนียงถือถ้วยชาขึ้นจิบอย่างเงียบเชียบ
เช้าของวันต่อมา ยุ่งกว่าสองวันก่อนมาก ต้องเก็บภาชนะนำออกมาจากห้องเก็บของ ต้องตรวจค่าใช้จ่ายสองสามวันนี้ ต้องเตรียมเรื่องการย้ายเรือน จนถึงตอนเที่ยงถึงได้มีโอกาสนั่งพักหายใจ พึ่งจะนั่งลงจิบชา เงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี่ยวหลี สาวใช้ของเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังพูดคุยอยู่กับลี่ว์อวิ๋น
คนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่เคยมาหานาง
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้เรียกเสี่ยวหลีเข้ามา
“มีเรื่องอันใดหรือ”
เสี่ยวหลีคำนับสืออีเหนียง “คุณหนูใหญ่ให้มาดูว่าฮูหยินจัดการธุระเสร็จแล้วหรือยัง หากเสร็จแล้วให้บ่าวกลับไปรายงานเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องจัดการเรื่องหีบของกับหู่พั่ว แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์นั้นสำคัญกว่า นางจึงบอกเสี่ยวหลี “ไปเชิญคุณหนูใหญ่มาเถิด”
เสี่ยวหลีตอบรับแล้วออกไปด้วยความดีใจ แล้วไปตามเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
สืออีเหนียงบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์มานั่งตรงข้ามตัวเอง “มีเรื่องอันใดหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “สองวันก่อนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์บอกว่า วันที่เก้าจะจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิที่จวนเจ้าค่ะ…” พูดจบก็เหลือบมองสืออีเหนียง
ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้น เจ้าหมายความว่า?”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าสีหน้าของนางอ่อนโยน จึงกล้าหาญมากขึ้น “ข้าอยากส่งผ้าเช็ดหน้าที่ปักเมื่อสองวันก่อนไปให้นาง แล้วก็เด็ดดอกไม้ในโถงบุปผาไปเล่นกับฟังเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงออกความคิดเห็นให้นาง “เป็นเรื่องที่ดีทั้งสองเรื่อง เช่นนั้นเจ้านำผ้าเช็ดหน้าไปให้นาง แล้วก็นำผ้าคลุมพัดที่ปักเมื่อสองวันก่อนไปให้นางด้วย”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้รับกำลังใจ จึงยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดความในใจกับสืออีเหนียง “…ท่านอาหญิงสกุลหลินจะให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานไปอยู่ที่ซังโจว ไม่รู้ว่าต่อไปจะได้เจอนางอีกหรือไม่ ข้าอยากปักสินเดิมให้กับนางเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ
ปีก่อนหลินฮูหยินยังไปสืบเรื่องของคุณชายห้าสกุลเฉินเก๋อเหล่าอยู่เลย พึ่งผ่านไปแค่ปีเดียว ทิศทางลมก็เปลี่ยนไปแล้ว
“เจ้าไปได้ยินมาจากใครกัน” นางยิ้มแล้วเอ่ยถามเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดตอบเสียงเบา “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนพูดเองเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดว่า “ข้าได้ยินฟังเจี่ยเอ๋อร์บอกว่า หลินฮูหยินถูกใจคุณชายห้าของสกุลเฉินเก๋อเหล่า แต่คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินมาว่ากฎเกณฑ์ของสกุลหลินมีมากเกินไป กลัวว่าหากฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปอยู่ที่นั่นแล้วนางจะลำบาก แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านหลินฮูหยินตรงๆ จึงบังคับให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เรียนเย็บปักถักร้อยกับท่านแม่ แล้วก็ส่งคนไปรายงานที่ซังโจว ท่านลุงใหญ่ของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จึงเลือกหลานชายคนโตของสกุลเติ้งแห่งซังโจวให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ แล้วยังหาคู่แต่งงานให้อาหญิงห้าสกุลหลิน ครั้งนี้คนที่ซังโจวมา ไม่ได้มาเข้าร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้อะไรทั้งสิ้น แต่มาดูคนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของคุณนายใหญ่สกุลหลินแล้ว ก็รู้สึกว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือ
นางยิ้ม “จริงหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำๆ “จริงเจ้าค่ะ ฟังเจี่ยเอ๋อร์กลับไปสืบมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“ฟังเจี่ยเอ๋อร์ช่างเก่งกาจเสียจริง!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “แล้วยังฉลาดอีกต่างหาก” แล้วก็เล่าเรื่องที่นางหลอกถามฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ให้สืออีเหนียงฟัง เห็นว่าสืออีเหนียงตั้งใจฟังตัวเองเล่า ท่าทางอดทนและอ่อนโยน นางจึงเปิดปากเล่าเรื่องที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ยืมเสื้อผ้าฝ้ายตัวนั้นไปให้สืออีเหนียงฟังอย่างติดๆ ขัดๆ “…ข้ารู้ว่าไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ว่าเราพึ่งรู้จักกัน ข้ากลัวว่านางจะโกรธ…”
สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รู้จักเพื่อนสักคน อยากจะคบหากันดีๆ จึงยอมที่จะกระทำบางอย่าง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” นางยิ้มแล้วพูดปลอบเจินเจี่ยเอ๋อร์ “แต่ว่าเนื้อผ้าของเสื้อตัวนั้นไม่ดี เอาออกมาเช่นนี้ เกรงว่านางจะไม่ชอบ”
สองสามวันมานี้เจินเจี่ยเอ๋อร์เอาแต่คิดเรื่องนี้ เห็นว่าสืออีเหนียงไม่ถือโทษโกรธนาง ก็พลันโล่งใจ ยิ้มแย้มสดใสขึ้นกว่าเดิม “นางชื่นชอบเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ เย็นวันนั้นก็บอกให้อาหญิงของสำนักเย็บปักถักร้อยตัดขึ้น แล้วยังจดสีทั้งหมดของกระดุมไว้อีกด้วย…”
นางพูดจาราวกับนกน้อยที่กำลังโบยบินอย่างมีความสุข พูดคุยเรื่องที่สำคัญสำหรับตัวเองแต่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่นกับสืออีเหนียง รอยยิ้มสดใสราวกับแสงแดดในฤดูร้อน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองไปที่นางตลอด จนกระทั่งเจินเจี่ยเอ๋อร์เหลือบไปเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลบนใบหน้าของหู่พั่ว นางถึงได้ตระหนักขึ้นได้ว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว
