แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่มีความมั่นใจอย่างใต้เท้าเซี่ยงเช่นนี้
เขาพูดกับสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “อวี้เกอเป็นบุตรชายคนโตของอนุ ไม่ใช่บุตรชายคนรองของอนุ ตามธรรมเนียมแล้วจะต้องแยกจวนออกไป แต่หลังจากแต่งงานไปแล้วในช่วงนี้ก็คงไม่สามารถแยกจวนไปได้ทันที ยังต้องอยู่ที่จวนไปอีกสักสองสามปี เพื่อให้ทุกคนคุ้นเคยสนิทสนมกัน มิเช่นนั้นก็จะต่างคนต่างอยู่ เมื่อได้เจอกันก็จะรู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสามัคคีในบรรดาสะใภ้ ดังนั้นข้าจึงให้พี่สะใภ้สองช่วยดูให้ว่าหนึ่งในสามของคุณหนูสกุลเซี่ยงใครมีนิสัยอ่อนโยนและเชื่อฟังมากที่สุด สตรีเช่นนี้หากแต่งเข้ามา ประการแรกก็จะสามารถช่วยดูแลน้องสะใภ้ คอยปรนนิบัติเจ้า เป็นแบบอย่างให้เหล่าสะใภ้ที่เข้ามาในจวนได้ ประการที่สองเมื่อถึงเวลาแยกจวนก็จะไม่มีการคิดหาผลประโยชน์ใส่ตัว หรือก่อความคับข้องใจให้ภรรยาของจุนเกอต้องลำบากใจ มั่วเหยียน เรื่องการคัดเลือกข้าได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่าหากคุณหนูทั้งสามในสกุลเซี่ยงไม่มีใครตรงกับคุณสมบัตินี้ ก็คงทำได้เพียงยอมแพ้…”
สืออีเหนียงยอมรับว่าสวีลิ่งอี๋พูดถูก ตนไม่มีความเห็นอันใดต่อฮูหยินสอง อย่างไรเสียนางก็ได้รับความไว้วางใจจากสวีลิ่งอี๋ ส่วนจะบอกตนหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฮูหยินสอง
แต่สิ่งที่ตนไม่ชอบคือวิธีที่สวีลิ่งอี๋ใช้จัดการเรื่องนี้
เขาตัดสินใจในทันทีโดยที่ไม่ปรึกษากันสักคำ เขาเห็นนางเป็นตัวอะไร
“ท่านโหว” สืออีเหนียงยกมือขึ้นกอดอกแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ข้าไม่อยากพูดกับท่านแล้ว”
สวีลิ่งอี่ประหลาดใจ
“อะไรนะ” ท่าทางดูไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ไม่คุยกับเขาแล้ว?
ถึงขั้นพูดออกมาตามตรงว่า ‘ไม่อยากพูดกับเขาแล้ว’
โตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนพูดกับตนเช่นนี้…
สืออีเหนียงหันมา จ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาสงบนิ่ง “ท่านโหว ท่านได้ตัดสินใจเลือกภรรยาให้อวี้เกอไปแล้ว ไม่ได้เห็นว่าข้าเป็นมารดาของอวี้เกอ แล้วก็ไม่เห็นข้าเป็นภรรยาท่านเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าสิ่งที่ท่านพูดจะมีเหตุผล แต่ข้าก็ยากที่จะระงับความโกรธได้ หากยังพูดต่อไปเกรงว่าจะไม่มีอะไรน่าฟัง ไม่สู้หยุดเพียงเท่านี้จะดีกว่า จะได้ไม่พูดทำร้ายจิตใจให้ต่างคนต่างเสียใจ” พูดจบนางก็หันหลังให้สวีลิ่งอี๋
การที่สืออีเหนียงพูดเช่นนี้ทำให้สวีลิ่งอี๋ทำตัวอะไรไม่ถูก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้พูดขึ้นว่า “มั่วเหยียน มีอะไรพวกเราก็มาคุยกันดีๆ การโกรธกันเช่นนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้”
“ข้าก็ไม่อยากทะเลาะกับท่านโหว ดังนั้นจึงไม่อยากพูดกับท่านโหว” สืออีเหนียงพูดเสียงแผ่วเบาว่า “อีกอย่างเรื่องนี้ท่านโหวก็พูดอย่างชัดเจนแล้วไม่มีอะไรต้องแก้ไข”
หรือว่าคนที่มีนิสัยอ่อนโยนเวลาดื้อรั้นขึ้นมาก็จะหัวดื้อเป็นพิเศษ
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มพลางเอาข้อศอกสะกิดนาง “มั่วเหยียน…”
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร
สวีลิ่งอี๋ยังคงยิ้มแล้วเรียกนางต่อ “มั่วเหยียน…”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เพียงแค่ปลอบหรือหยอกล้อก็จะจบไป นี่คือปัญหาใหญ่ หากครั้งนี้ไม่สามารถทำให้สวีลิ่งอี๋เข้าใจถึงความผิดพลาดที่เขาทำ ไม่สามารถใช้การเตือนเช่นนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ต่อจากนี้เมื่อต้องเจอเรื่องเช่นนี้อีกเขาก็จะคิดทำอย่างเดิม คิดว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่จัดการเรื่องได้อย่างมีเหตุผล เขาจะคิดว่าการที่จะปรึกษาหรือไม่ปรึกษานางนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแค่หลังจากที่ตัดสินใจไปแล้วค่อยอธิบายอย่างชัดเจน จากนั้นก็พูดปลอบใจหรือหยอกล้อสักหน่อยก็พอแล้ว
สืออีเหนียงลงจากเตียงสวมเสื้อคลุมแล้วเดินมาหาผ้าห่มในตู้มาปูบนเตียงเตาริมหน้าต่าง ใช้ผ้าห่มปูรองนอนครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งใช้ห่มก่อนจะนอนลง “ท่านโหวรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยามเหม่าข้าก็จะต้องตื่นแล้ว!”
เขามองไปที่ก้อนกลมๆ ที่อยู่บนเตียงเตา ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเรียกสติกลับมาได้
แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความผิดของตัวเอง คนที่ให้พี่สะใภ้สองไปพูดกับคนสกุลเซี่ยง และให้พี่สะใภ้สองช่วยเลือกคนให้ก็คือตัวเอง…หากให้สืออีเหนียงมาช่วยตัดสินใจเรื่องนี้อีก จะถือเป็นการกลับคำหรือไม่ ไม่เพียงแต่ไม่เคารพสกุลเซี่ยง ซ้ำยังทำให้ตัวเองสูญเสียความไว้วางใจจากผู้อื่นอีกด้วย!
แผนการในตอนนี้มีเพียงต้องทำให้สืออีเหนียงเปลี่ยนใจแล้ว!
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะไปนอนเบียดอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง “มั่วเหยียน เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่า”
สืออีเหนียงไม่สนใจเขา ลุกขึ้นแล้วกลับไปนอนที่เตียง
สวีลิ่งอี๋ตามไปอีกครั้ง
สืออีเหนียงก็กลับมาที่เตียงเตาริมหน้าต่างอีก
เป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
สืออีเหนียงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ หากเป็นไข้ขึ้นมาจะแย่เอาได้
เขาไปนอนที่เตียงเตาริมหน้าต่างแล้วให้สืออีเหนียงนอนบนเตียง
ข้างนอกมีฝนตกปรอยๆ
ข้างๆ หน้าต่างได้ยินเสียงฝนชัดเจน เสียงดังอยู่เป็นระยะๆ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะหลับได้
******
เช้าวันรุ่งขึ้น ใบอ่อนที่พึ่งแตกหน่อถูกน้ำฝนชะล้างจนสะอาดสดใส พื้นดินท้องฟ้าดูสว่างไสว ทำให้รู้สึกสดชื่น
“ฮูหยิน ฝนตกแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงเก็บเสื้อผ้าเข้ามาด้วยความดีใจ “อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า กำชับเยี่ยนหรงว่า “ท่านโหวยังพักผ่อนอยู่ อย่าให้ใครเข้ามารบกวนเขา!”
หางตาของเยี่ยนหรงเหลือบไปมองที่เตียงเตาริมหน้าต่าง ใบหน้าไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย ยิ้มพลางตอบรับ แล้วออกไปกำชับสาวใช้น้อยให้คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนตัวเองปรนนิบัติสืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาแล้วไปที่ห้องโถง
หลังจากรับคำนับจากเด็กๆ และอี๋เหนียงแล้ว สืออีเหนียงก็ไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
พึ่งจะพูดคุยได้สองสามประโยค ฮูหยินห้าก็อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
ทั้งสองทักทายซึ่งกันและกัน ไท่ฮูหยินให้ป้าตู้มาอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ไป
“ทำไมถึงผ่ายผอมลงเล่า” ไท่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฮูหยินห้ารีบเอ่ยขึ้นว่า “หลายวันมานี้ท้องไส้ไม่ค่อยดีนักเจ้าค่ะ”
“ไปเชิญหมอหลวงเซี่ยจากสำนักหมอหลวงมาตรวจดูสักหน่อย เขาเก่งเรื่องอาการป่วยของเด็กน้อยที่สุด”
ฮูหยินห้าย่อเข่าตอบรับ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินถามถึงไต้ซือจี้.หนิงว่า “…ทำพิธีให้คนตายเสร็จแล้วหรือยัง”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้าพูดต่อว่า “ต่อไปนี้ในวันที่หนึ่งของทุกเดือนก็ส่งคนไปจุดธูปไหว้ที่วัดฉือหยวนก็พอแล้ว”
ฮูหยินสองมาพอดี
นางคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อมโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
สืออีเหนียงก็ไม่ได้ถามอะไร พยุงไท่ฮูหยินไปที่ห้องพระ แล้วตัวเองก็ไปที่ห้องโถงบุบผา
ฝนหยุดตกแล้ว แต่อากาศยังคงเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำจากน้ำฝน
ผู้คนยืนอยู่เต็มลาน
บรรดาป้าๆ ที่เป็นผู้ดูแลยืนอยู่ใต้ชายคา สาวใช้และคนใช้แรงงานยืนอยู่กลางลาน
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามาทุกคนก็ย่อเข่าคำนับพร้อมเพรียงกัน
สืออีเหนียงมีหู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋นและสาวใช้คนอื่นๆ ห้อมล้อมอยู่ นางเดินผ่านลานเข้าไปที่ห้องโถงบุบผาโดยไม่มองไปทางอื่น และเริ่มฟังการรายงานของผู้ดูแลทั้งหลาย
ป้าหลีที่เป็นผู้ดูแลห้องครัวคนใหม่ได้ท่องเรื่องที่ต้องรายงานอยู่ในใจสามรอบ เมื่อรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมก็สงบสติอารมณ์แล้วรวบรวมสมาธิ
แม้ว่านางจะเป็นคนเก่าแก่ในจวน แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์กับบรรดาฮูหยิน หากไม่ใช่เพราะหว่านเซียงปล่อยปละละเลยตอนที่ฮูหยินสามดูแลจวน แล้วกานเหล่าเฉวียนไม่มีคนให้เรียกใช้ก็คงไม่ให้นางมาช่วยดูแลห้องครัว และไม่มีทางที่จะถูกฮูหยินสี่ที่ดูแลจวนในตอนนี้แต่งตั้งให้ตัวเองเป็นผู้ดูแลห้องครัวหลังจากที่กานเหล่าเฉวียนติดตามฮูหยินสามไป และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนใจร้อนอย่างหว่านเซียงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลห้องครัว นึกถึงครอบครัวของหว่านเซียงที่ถูกฮูหยินสี่ส่งกลับไปที่ตรอกกงเสียน…ได้ยินมาว่าหลังจากนั้นก็ถูกขับไล่ออกจากเยี่ยนจิง ตอนที่ตนเผชิญหน้ากับฮูหยินสี่จึงสั่นกลัวไปหมดทั้งตัว
เมื่อถึงตอนที่ตนต้องเข้าไปรายงานก็ต้นยามซื่อสามเค่อแล้ว พึ่งจะรายงานจบลี่ว์อวิ๋นก็เข้ามา
“ฮูหยินท่านป้าสองคนที่เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่จวนเวยเป่ยโหวมาคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าคุณหนูทั้งสองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ท่านป้าคนสนิทของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาที่นี่วันละสองครั้ง
“เจ้าให้คนพาไปส่งที่เรือนเสาหวาเถิด”
ลี่ว์อวิ๋นตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงเห็นว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงกลับเรือนของตัวเอง นั่งลงแล้วเริ่มเย็บปักตัวอักษร
หลังจากปักได้ครึ่งหนึ่ง สวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
เขาเรียกสืออีเหนียงไปปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า
สืออีเหนียงปรนนิบัติเขาอย่างเชื่อฟัง
สวีลิ่งอี๋ถามนางว่า “เหตุใดวันนี้ถึงกลับมาเร็ว”
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร
เยี่ยนหรงเห็นดังนั้นจึงรีบส่งสายตาให้สาวใช้ที่อยู่ในห้อง ทุกคนรีบพากันถอยออกไป
สวีลิ่งอี๋หยิกแก้มนาง ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป จะไม่พูดกับข้าจริงๆ หรือ!”
สืออีเหนียงหันหน้าหนี ช่วยเขาคาดเข็มขัดที่เอวแล้วไปยกชาร้อนมาให้สวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ไปจัดเก็บชั้นวางดอกไม้อย่างเงียบๆ ตะโกนเรียกเยี่ยนหรง “นี่ก็ล่วงเลยเวลามามากแล้ว จะต้องไปทานอาหารกลางวันกับไท่ฮูหยินแล้ว” ไม่ได้รอสวีลิ่งอี๋ ตัวเองเดินออกมาจากห้องด้านในเพียงลำพัง
สวีลิ่งอี๋หุบยิ้มแล้วเดินตามไป
เมื่อมาถึงเรือนไท่ฮูหยิน มีคนเยอะแยะสืออีเหนียงจึงยิ้มอย่างสดใส ไม่มีใครเห็นถึงความผิดปกติ
พอถึงเวลากลางคืนพวกเขาก็ต่างคนต่างนอนเช่นเคย
วันรุ่งขึ้นสวีลิ่งอี๋ตื่นแต่เช้า เรียกสืออีเหนียงมาปรนนิบัติเขาล้างหน้า
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา ช่วยเขารินน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนทานข้าวเช้าก็ช่วยสวีลิ่งอี๋ยกถ้วยโจ๊กมาวางไว้ตรงหน้าเขาตามปกติ
ตอนแรกสวีลิ่งอี๋รู้สึกสนุกราวกับเห็นเด็กน้อยที่กำลังงอน
แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ยิ้มไม่ออก
สืออีเหนียงไม่ช่วยรินน้ำชาให้เขาเหมือนปกติ ต่อมาก็เริ่มต่างคนต่างทานข้าวเช้า ยิ่งไปกว่านั้นตอนไปเรือนไท่ฮูหยินก็ไม่เรียกเขาสักคำ สีหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่ว่าเขาเรียกสืออีเหนียงให้มาช่วยปรนนิบัติเขาเปลี่ยนชุดแต่สืออีเหนียงไม่มา จึงเรียกซย่าอีเข้ามาแทน บรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีความอบอุ่นและสงบอย่างที่เคยเป็นมาก่อน เต็มไปด้วยความห่างเหินและไม่แยแส
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าเรื่องมันเลวร้ายกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
หากเขาไปทางตะวันออกนางก็จะไปทางตะวันตก หากเขาไปทางซ้ายนางก็จะไปทางขวา บางครั้งเขาคิดอยากจะนั่งพูดคุยกับนางสักหน่อย แต่นางกลับเอาแต่ทำงานปักเย็บ สมาธิทั้งหมดอยู่ที่การเย็บผ้า ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาเลย
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดก่อนจะพูดถึงเรื่องที่นางกังวลมากก่อนหน้านี้
“เจ้ายังจำสกุลโอวได้อยู่หรือไม่!”
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร แต่สวีลิ่งอี๋สังเกตเห็นว่าเข็มที่อยู่ในมือของนางชะงักไปครู่หนึ่ง
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกว่าการที่เลือกหัวข้อสนทนานี้นั้นถูกต้องแล้ว
“ข้าสงสัยมาตลอด องค์ชายหกที่เกิดจากหวงกุ้ยเฟยยังเยาว์วัยนัก แต่ทำไมสกุลโอวถึงได้เลือกลงมือในเวลานี้ ต่อให้ฮ่องเต้และฮองเฮาจะไม่ลงรอยกัน แต่ตราบใดที่ฮองเฮาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ยากที่จะโจมตีองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามได้ การที่พวกเขาทำเช่นนี้เท่ากับว่ายอมเดินทางที่เสี่ยง”
สืออีเหนียงก้มหน้าก้มตาตวัดเข็มกับด้ายไม่หยุด มองไม่ออกถึงความผิดปกติใดๆ
“…ต่อมาก็เรื่องของเฟิ่งชิง สกุลโอวกลับแสดงท่าทีที่โหดเหี้ยมออกมา พอถึงคราวที่โจมตีข้าเรื่องเสื่อมเสียคุณธรรม กลับมีวิธีการเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลดความร้ายกาจลงไปหลายส่วน และดูมีประสบการณ์มากขึ้น ตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกๆ ว่าเหตุใดสกุลโอวกระทำการอันใดถึงได้ไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ ดังนั้นตอนที่องค์ชายใหญ่เลือกพระสนมในครั้งนี้จึงตั้งใจกำชับหม่าจั่วเหวินว่าเมื่อถึงเวลาให้ส่งจดหมายถึงข้า เจ้าลองเดาสิว่าข้าค้นพบอะไร”
สืออีเหนียงทำเป็นไม่ได้ยิน นางหยิบเส้นด้ายขึ้นมา หรี่ตาลงแล้วร้อยด้ายใส่เข็ม
สวีลิ่งอี๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังคงพูดต่อว่า “ข้าพบว่าการแนะนำการคัดเลือกพระสนมให้องค์ชายใหญ่ครั้งนี้น่าสนใจมาก สกุลหยางล้วนแนะนำแต่คนที่มีสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาทั้งหมด แต่สกุลโอวนั้นกลับแตกต่าง แนะนำเพียงบุตรสาวของสกุลที่มีความสัมพันธ์กันมาแต่สมัยบรรพบุรุษแค่สองสกุล แล้วยังมีอีกสองสกุลที่เบื้องหน้าดูเหมือนว่าจะเป็นกรมพิธีการที่เป็นคนแนะนำ แต่หากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วกลับมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสกุลโอว…”
การเลือกพระสนมขององค์ชายใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องในวัง เดิมทีก็มีกลยุทธ์ล่อลวงให้สับสน สกุลโอวย่อมมีลางสังหรณ์นั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดอีก
สืออีเหนียงบ่นพึมพำอยู่ในใจ
ก้มหน้าก้มตาปักตัวอักษรไม่พูดไม่จา
