สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา สวีลิ่งอี๋รู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก
เขายิ้มเยาะตัวเอง ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยแล้วจึงก้มหน้าดื่มชา
“ท่านโหวค้นพบอะไรเจ้าคะ” ทันใดนั้นในห้องก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองภรรยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเย็บปักในมืออย่างไม่กะพริบตา หากไม่ใช่เพราะเห็นมุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย เขาคงคิดว่าตัวเองหูฝาดไปเอง
หลายวันมานี้นางไม่พูดกับเขา แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา…เป็นเพราะคำพูดของเขาทำให้สืออีเหนียงอยากรู้หรือว่าความโกรธของสืออีเหนียงได้หายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรนี่ก็เป็นโอกาสสำหรับการทำลายน้ำแข็งที่กั้นระหว่างกัน แน่นอนว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข
“สตรีที่ตระกูลโอวแนะนำให้กรมพิธีการอย่างโจ่งแจ้งมีชื่อเสียงที่ดีงาม ส่วนสตรีที่แอบแนะนำให้กรมพิธีการอย่างลับๆ ข้าได้ส่งคนไปสืบดู ว่ากันว่าล้วนแต่เป็นสตรีที่มีหน้าตาโดดเด่น” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋อ่อนโยนและสงบนิ่งเหมือนเมื่อครู่ แต่พูดจาคล่องแคล่วกว่าเดิมเล็กน้อย
หลายวันมานี้เขารู้สึกไม่สบายใจ กระทั่งตอนนี้ก็ยอมลดทิฐิมาคุยกับตน…
มือของสืออีเหนียงเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง สีหน้าดูตั้งใจฟัง ยอมถอยให้หนึ่งก้าว
การที่ทำสงครามเย็นก็เพียงเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจทัศนคติของตัวเอง แต่การที่ทำสงครามเย็นเป็นเวลานานนอกจากจะทำให้สามีภรรยาไม่ลงรอยกันแล้ว ยังทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้
“ครั้งนี้เป็นการเลือกพระสนมให้องค์ชายใหญ่ไม่ใช่เลือกพระสนมให้ฮ่องเต้ จะเลือกเพียงสนมเอกคนเดียวเท่านั้น คนที่รูปโฉมงดงามจะเทียบกับคนที่สูงส่งได้อย่างไร ตามหลักแล้วสกุลโอวควรเลือกสตรีที่มีคุณธรรมโดดเด่นมาสร้างอำนาจก่อน จากนั้นค่อยเลือกสตรีอีกหนึ่งถึงสองคนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกในครั้งต่อๆ ไป เพื่อให้แน่ใจว่าคนที่แนะนำนั้นจะสามารถเข้าตาไทเฮาและฮองเฮาได้ในที่สุด แต่สกุลโอวกลับจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี พวกเขาทุ่มเททั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังจนทำให้คนในกรมพิธีการของสกุลโอวลำบากใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ทำให้สกุลหยางได้คะแนนนำหน้า”
สืออีเหนียงเงยหน้ามองสวีลิ่งอี๋ นางมีสีหน้าประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋มองแล้วยิ้ม “ไม่โกรธแล้วหรือ”
“โกรธ!” สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋อย่างจริงจัง แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “คราวที่แล้วเรื่องของเจี้ยเกอก็เป็นเช่นนี้ ท่านโหวไม่อธิบายอะไรสักคำก็โยนเด็กมาไว้กับข้า ทำเอาข้าเป็นกังวล คราวนี้ก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว…เวลาเจอเรื่องอะไรก็ไม่เคยจะบอกข้าสักคำ จะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร ข้าเองก็รู้ว่าสุภาพบุรุษพูดคำไหนคำนั้น แม้ว่าท่านกับใต้เท้าเซี่ยงจะตกลงกันด้วยวาจา แม้ในใจของข้าจะไม่เต็มใจเพียงใด แต่เพื่อชื่อเสียงของท่านโหว ก็ไม่ควรพูดเรื่องที่จะไปพบตัวคุณหนูสกุลเซี่ยง แต่อย่างไรก็ต้องจัดการเรื่องงานแต่งงานนี้ให้มีศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าข้าจะเข้าใจ แต่ในใจก็ยากที่จะสงบลงได้”
นางพูดพลางเผยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านโหวเคยพูดแล้วว่าการที่หมั้นหมายให้อวี้เกอ ประการแรกก็เพื่ออนาคตของอวี้เกอ ประการที่สองก็เพื่อความสงบสุขในจวน เมื่อพี่น้องต่างมีงานการทำก็จะไม่คิดแต่เรื่องสมบัติของตระกูล ข้าได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผลเป็นอย่างมาก ท่านพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้อย่างรอบคอบ จัดการได้อย่างเหมาะสม แล้วยังไปหาพี่สะใภ้สองที่เป็นคนเฉลียวฉลาดมาช่วยพูดเรื่องนี้ หากท่านอธิบายให้ข้าฟังอย่างละเอียดก่อน ต่อให้ข้างี่เง่าเพียงใดแต่ก็ยังคิดถึงหนทางที่ท่านปูทางให้กับลูกๆ คิดถึงบุญคุณของสกุลเซี่ยงที่มอบบุตรสาวภรรยาเอกให้มาแต่งกับอวี้เกอ รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของสกุลเซี่ยงและพี่สะใภ้สอง ข้าก็คงไม่พูดว่าจะไปพบคุณหนูสกุลเซี่ยงด้วยความขุ่นเคือง หรือพูดจาประชดประชันท่าน ใต้เท้าเซี่ยง หรือพี่สะใภ้สอง ที่ตอนนั้นท่านโหวไม่ตอบตกลงรับปากคงโทษที่ข้าทำตัวงี่เง่ากระมัง”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังที่สืออีเหนียงพูดว่า ‘แม้ในใจของข้าจะไม่เต็มใจเพียงใด แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของท่านโหว ก็ต้องจัดการงานแต่งของอวี้เกอและคุณหนูรองสกุลเซี่ยงให้สมศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่’ ก็รู้สึกไม่สบายใจ และเมื่อได้ยินสืออีเหนียงบอกว่า ‘อยากจะไปพบคุณหนูสกุลเซี่ยงด้วยความขุ่นเคือง’ ก็รู้ว่าสืออีเหนียงพูดไปเพราะความขุ่นเคืองเพียงชั่วขณะ ในใจพลันรู้สึกดีขึ้นมา จนกระทั่งสืออีเหนียงถามเขาว่า ‘คงโทษที่ข้าทำตัวงี่เง่ากระมัง’ จึงรีบตอบกลับไปว่า “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น”
สืออีเหนียงทำเป็นไม่ได้ยิน “ท่านไม่รู้หรอกว่าหลายวันมานี้ข้าได้พบกับพี่สะใภ้สองแต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้สักคำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำกล่าวขอบคุณ หากมีจิตใจกว้างก็คงไม่ถือสาอะไร แต่หากใจแคบก็คงแอบหัวเราะเยาะว่าข้าเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณ คิดว่าตัวเองได้รับการไหว้วานจากคนอื่นก็ต้องทำให้เต็มที่แต่กลับทำโดยเปล่าประโยชน์ ท่านให้ข้าได้รู้ความจริงแล้วข้าจะเผชิญหน้ากับพี่สะใภ้สองได้อย่างไร แล้วจะพูดเรื่องนี้กับพี่สะใภ้สองได้อย่างไร”
สวีลิ่งอี๋อึดอัดใจเป็นอย่างมาก พูดพึมพำว่า “พี่สะใภ้สองไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น…”
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินประโยคนี้ก็ถอนหายใจ “ก็เพราะว่าพี่สะใภ้สองไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น ท่านโหวและข้าจึงต้องยิ่งปฎิบัติต่อนางด้วยความจริงใจและเคารพจึงจะถูก มิเช่นนั้นข้าก็จะไม่สบายใจอย่างนี้” แล้วพูดต่อว่า “จะว่าไปแล้วหากคุณหนูสองสกุลเซี่ยงมีนิสัยอ่อนโยนและเชื่อฟังอย่างที่พี่สะใภ้สองว่าจริงๆ นางเข้ากับอวี้เกอได้ก็เป็นเรื่องดี แม้ว่าข้าจะเป็นแม่เลี้ยงของเขา แต่ก็มีความหวังดีต่อเขา หวังว่าพวกเขาพี่น้องและบรรดาสะใภ้จะสามัคคีกัน ทำให้สกุลสวีรุ่งเรือง เรื่องดีๆ เช่นนี้กลับมีเรื่องขัดแย้งเสียได้!” พูดพลางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋
เขามีสีหน้าลำบากใจ แต่ในใจยังกังวลเรื่องที่สืออีเหนียงจะไปดูตัวคุณหนูสกุลเซี่ยงจึงฝืนใจพูด “คุณหนูสกุลเซี่ยงน่ะหรือ”
“อย่างไรก็ต้องไปดูตัว!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ
“ใต้เท้าเซี่ยงตกลงที่จะให้บุตรสาวแต่งเข้ามา ข้าที่เป็นแม่สามีจะไม่ถามไถ่อะไรสักคำเลยหรือ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ถึงอย่างไรพี่สะใภ้สองก็เป็นคุณหนูจากสกุลเซี่ยง หรือว่าจะให้พี่สะใภ้สองไปคุยกับนายหญิงเซี่ยงเรื่องสินสอดทองหมั้น?”
สวีลิ่งอี๋โล่งใจ “เช่นนั้นก็ควรจะไปดูเสียหน่อย!” ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้ม
สืออีเหนียงลุกขึ้นแล้วเรียกเยี่ยนหรงเข้ามาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไปตอนนี้เลยหรือ” สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้น มองสืออีเหนียงด้วยความประหลาดใจ “จะดูรีบร้อนเกินไปหรือไม่”
“ใครบอกว่าจะไปตอนนี้!” สืออีเหนียงถลึงตาใส่เขา “อย่างไรก็ต้องรอให้ผ่านช่วงงานไว้อาลัยไปก่อน ตอนนี้ข้าจะไปหาพี่สะใภ้สอง”
“ไปทำอะไร” สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ สีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย
สืออีเหนียงนึกถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ที่นางได้ยินเกี่ยวกับความไม่ลงรอยระหว่างหยวนเหนียงกับฮูหยินสอง…
ดูเหมือนว่าความขัดแย้งระหว่างหยวนเหนียงกับฮูหยินสองจะทำให้สวีลิ่งอี๋ตีตนไปก่อนไข้
นางกลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าข้าจะต้องไปขอบคุณพี่สะใภ้สอง! พี่สะใภ้สองช่วยอวี้เกอให้ได้มีคู่ครองที่ดีเช่นนี้ ทั้งยังช่วยคลายความกังวลใจของท่านโหว…ไม่รู้ก็แล้วไป แต่เมื่อรู้แล้วอย่างไรก็ต้องไปขอบคุณนาง” จากนั้นก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าอยากให้ท่านโหวไปด้วยกัน เช่นนี้จะได้ดูเป็นทางการมากขึ้น”
สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วรู้สึกโล่งใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติยินดี “แน่นอน ต้องไปด้วยกันอยู่แล้ว!”
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะ เรียกชุนมั่วเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สวีลิ่งอี๋ ส่วนตัวเองไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องชำระ ใส่เสื้อแขนยาวสีเหลืองปักลวดลายสีเขียว แล้วไปที่เรือนเสาหวากับสวีลิ่งอี๋
ระหว่างทางนางถามสวีลิ่งอี๋ว่า “พระสนมขององค์ชายใหญ่จะมาจากสกุลหยางหรือไม่”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “สุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ก็คือฝ่าบาท”
“เช่นนั้นที่ท่านโหวบอกว่าสกุลโอวมีความไม่ชอบมาพากลนั้นหมายความว่าอย่างไร”
เหล่าบรรดาสาวใช้เดินตามห่างๆ อยู่ข้างหลัง ทั้งสองชะลอฝีเท้าลง เดินไปคุยไป
“จิ้งไห่โหวมีบุตรชายหกคนและบุตรสาวสามคน บุตรชายคนโต คนที่สี่ และคนที่หกเกิดจากภรรยาเอก ส่วนบุตรชายคนอื่นๆ เกิดจากอนุภรรยา หวงกุ้ยเฟยเป็นบุตรคนที่สองของเรือนสาม บุตรชายคนโตถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อตั้งแต่สามสิบปีก่อน หลายปีมานี้จิ้งไห่โหวก็อายุมากแล้ว กิจการต่างๆ ในจวนล้วนเป็นซื่อจื่อที่เป็นคนดูแล มีบารมีในแถบฝูเจี้ยน ปีที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์บัลลังก์เขาเคยมาที่ราชสำนัก ข้าได้เจอเขาสองสามครั้ง เขาเป็นคนที่สุขุมเป็นอย่างมาก” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เริ่มเคร่งขรึมขึ้น “เรื่องแย่งชิงตำแหน่ง ผู้ที่ชนะอยู่ในอำนาจไม่มีใครกล้าประณาม แต่ผู้แพ้มักถูกคนตำหนิ เสี่ยงกับการล่มสลายของตระกูล หากไม่มีความมั่นใจก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เรื่ององค์ชายห้า สกุลโอวมีท่าทีที่รีบร้อนเกินไป ด้วยเหตุนี้ข้าจึงแอบไปพบหวังจิ่วเป่า ถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของสกุลโอวเพราะเกรงว่าจะมีเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่รู้” เมื่อพูดถึงตรงนี้ดวงตาของเขาก็ดูจริงจัง “ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์ที่หวังจิ่วเป่าพูดมาใกล้เคียงกับที่ข้ารู้มาเกือบทั้งหมด และตอนนี้ก็มีเรื่องการแนะนำพระสนมขององค์ชายใหญ่ การลงมือทั้งสองครั้งมีวิธีการที่คล้ายกันมาก แผนรับมือไม่รอบคอบ บางครั้งก็กระทำการโดยรีบร้อน บางครั้งก็ดูคล่องแคล่วและมีประสบการณ์…” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดเดินแล้วหันมามองสืออีเหนียง “ข้าสงสัยว่าจะเกิดปัญหาขึ้นภายในสกุลโอว!”
เมื่อข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองทุกอย่างก็จะซับซ้อนขึ้น สืออีเหนียงรู้สึกว่าต่อให้นางรู้แต่ก็ช่วยอะไรสวีลิ่งอี๋ไม่ได้ จึงถามตรงๆ ว่า “เช่นนั้นเป็นผลดีหรือผลเสียกับสกุลเราเจ้าคะ”
“ตอนนี้ยังไม่รู้” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนน้ำเสียง “แต่ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องดี”
เป็นเรื่องดีก็ดีแล้ว!
สืออีเหนียงเดินไปข้างหน้ากับเขา แล้วพูดเรื่องอวี้เกอขึ้นมา “…ในเมื่ออยากให้เขาสอบเข้าขุนนาง เช่นนั้นการหาอาจารย์ก็เป็นเรื่องเร่งด่วน ข้าว่าพอไปถึงเรือนพี่สะใภ้สอง ไม่สู้ลองถามพี่สะใภ้สองให้นางช่วยหาอาจารย์ให้สักคน”
สวีลิ่งอี๋กลับพูดขึ้นว่า “อย่างไรเสียพี่สะใภ้สองก็เป็นม่าย ไม่ได้ไปมาหาสู่กับคนที่เคยรู้จักแต่เก่าก่อนมาหลายปีแล้ว จะไปรบกวนนางได้อย่างไร ข้าว่าส่งอวี้เกอไปเรียนหนังสือกับอาจารย์เจียงที่สำนักศึกษาในเล่ออานดีกว่า เจ้าคิดว่าอย่างไร”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
สวีซื่ออวี้พึ่งจะอายุสิบสองปี ต้องไปเรียนหนังสือไกลขนาดนั้น เขาจะทำใจได้หรือ
“หากหยกไม่ได้รับการแกะสลักอย่างประณีตก็จะไม่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์เจียงเป็นคนมีความรู้และคุณธรรมอย่างเห็นได้ชัด ได้ไปเรียนรู้กับเขาที่นั่นก็จะมีสายตาที่กว้างไกล เป็นผลดีสำหรับเขาในอนาคต”
“ท่านโหวคิดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ!”
“เป็นเจ้าต่างหากที่เตือนข้า!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าอ่านหนังสือพันเล่มก็ไม่สู้เดินทางหมื่นลี้ไม่ใช่หรือ ในเมื่อฉินเกอสามารถไปเผชิญความลำบากกับพี่สามได้ เช่นนั้นอวี้เกอก็ควรจะต้องฝึกฝนไว้บ้างจึงจะถูก”
อาจไม่ใช่คำเตือน แต่คงไปสะกิดโดนเรื่องที่ท่านโหวคิดไว้อยู่แล้วกระมัง!
เมื่อรู้ว่าโลกกว้างใหญ่แค่ไหนก็จะรู้ว่าตัวเองเล็กมากแค่นั้น บางทีสวีซื่ออวี้อาจจะยิ่งตัดใจจากตำแหน่งหย่งผิงโหวไม่ได้เพราะเรื่องนี้ หรือบางทีอาจทำให้เขารู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าตำแหน่งขุนนาง แม้ว่าจะเป็นดาบสองคม แต่หากไม่ลองแล้วใครจะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร!
สืออีเหนียงยิ้มแผ่วเบา พวกเขาเดินมาอยู่ที่หน้าเรือนเสาหวาแล้ว
