บันไดเรือนเสาหวาค่อนข้างสูง มีต้นหญ้าอ่อนเกิดขึ้นตามรอยแยกของหิน
สืออีเหนียงยกชายกระโปรงเดินขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง นางกังวลว่าหากไม่ระมัดระวังจะหกล้มเอาได้
ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นไม้นานาชนิดเริ่มผลิดอกออกใบ แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ใบไผ่ร่วงโรย สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ใบไม้สีเหลืองแห้งร่วงหล่นลงมา ดูหนาวเหน็บเช่นเดียวกับฤดูใบไม้ร่วง
เจี๋ยเซียงรีบเดินมาต้อนรับ “ท่านโหว ฮูหยินสี่!” นางย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินสองกำลังสอนคัมภีร์ซือจิงให้กับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ…”
“เช่นนั้นพวกเราก็รอก่อนเถิด” สืออีเหนียงขอความเห็นจากสวีลิ่งอี๋ หันไปเจอโต๊ะหินที่อยู่ในป่าไผ่ ยิ้มพลางชี้ไปที่นั่น “ข้าว่าพวกเราไปนั่งในป่าไผ่ดีหรือไม่ จะได้ไม่รบกวนพี่สะใภ้สองกับเจินเจี่ยเอ๋อร์”
แม้ว่าดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิจะอบอุ่น แต่การสวมเสื้อสองชั้นเดินมาที่เรือนเสาหวาทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนเล็กน้อย
สายลมเย็นๆ พัดผ่านป่าไผ่เบาๆ ทำให้สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจด้วยความรู้สึกสบายตัว ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ!”
“คือว่า…” เจี๋ยเซียงมีสีหน้าลำบากใจ
สืออีเหนียงไม่รอให้นางพูด ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเดินมากันจนเหนื่อย ได้พักผ่อนที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เจ้าช่วยไปเตรียมน้ำชาอุ่นๆ มาให้ท่านโหวก็พอแล้ว”
เจี๋ยเซียงไม่ได้ปริปากพูดอะไรอีก พาสาวใช้น้อยไปหยิบเบาะรองนั่งมาให้ทั้งสองคนนั่งบนโต๊ะหิน แล้วยกชาปี้หลัวชุนสองถ้วยมาวาง
“เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด” สืออีเหนียงยกชาขึ้นมาจิบ “ที่นี่มีสาวใช้น้อยคอยปรนนิบัติพวกเราก็พอแล้ว พอพี่สะใภ้สองกับเจินเจี่ยเอ๋อร์เลิกเรียนแล้ว เจ้าค่อยมารายงานพวกเรา”
เจี๋ยเซียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร จึงย่อเข่าตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยออกไป เหลือเพียงสาวใช้น้อยหนึ่งคนคอยยืนปรนนิบัติอยู่ห่างๆ
สวีลิ่งอี๋จิบชาแล้วพูดว่า “ไม่ได้มานั่งเล่นที่นี่นานแล้ว”
“เมื่อก่อนท่านโหวมาที่นี่บ่อยๆ หรือ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้ามาที่นี่”
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นห้องหนังสือของพี่สอง” สวีลิ่งอี๋มองต้นไผ่ที่ปลูกเต็มลานด้านหน้า “ในตอนนั้นพี่สองได้กำชับให้ปลูกไผ่พวกนี้…ต่อมาพี่สะใภ้สองย้ายมาที่นี่ ข้าก็ไม่ได้มาที่นี่อีก…” แววตาเผยให้เห็นว่าเขากำลังนึกถึงความหลัง
นี่เป็นสิ่งที่สืออีเหนียงไม่สามารถรู้สึกแบบเดียวกันได้ แต่นางเลือกที่จะเคารพความรู้สึกของเขา
ได้ยินเสียงเสียดสีของต้นไผ่ยามลมพัดผ่าน ทำให้รู้สึกสบายตัวเมื่อลมโชยมากระทบหน้า สืออีเหนียงนั่งดื่มชากับเขาอย่างเงียบๆ
ฮูหยินสองสวมชุดสีเขียว มีเจี๋ยเซียงเดินมาเป็นเพื่อน พาเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้ามา
สวีลิ่งอี๋รีบลุกขึ้นคำนับ “พี่สะใภ้สอง!”
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นตาม
ฮูหยินสองหยุดอยู่ห่างจากพวกเขาสิบก้าวแล้วมองไปที่สืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าขาวราวกับกระเบื้องเคลือบของนางดูงดงามราวกับหยกในป่าไผ่อันเงียบสงบ
“ท่านโหว น้องสะใภ้สี่!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปคำนับท่านพ่อกับท่านแม่
สืออีเหนียงยิ้มพลางเข้าไปหานาง จากนั้นก็ไปทักทายฮูหยินสอง “พี่สะใภ้สอง!”
ฮูหยินสองพยักหน้าเล็กน้อย ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “ท่านโหวจะนั่งอยู่ที่นี่หรือจะเข้าไปดื่มชาในเรือน”
สวีลิ่งอี๋นึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ คิดว่าการเข้าไปคุยกันในเรือนจะดูเป็นทางการกว่า ยิ้มแล้วพูดว่า “เข้าไปนั่งที่เรือนของพี่สะใภ้สองดีกว่า”
ฮูหยินสองเบี่ยงตัวหันข้างแล้วเชิญทั้งสองคนไปที่เรือน สืออีเหนียงเดินตามหลังสวีลิ่งอี๋เข้าไปในห้อง
แจกันเครื่องลายครามวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงมีดอกมะลิเหมันต์ปักอยู่ ผลิกลีบดอกสีเหลืองอ่อน กิ่งก้านแผ่สาขาดูมีชีวิตชีวาสมกับฤดูใบไม้ผลิ
เจินเจี่ยเอ๋อร์ถอยออกไปอย่างว่าง่าย สวีลิ่งอี๋และคนอื่นๆ นั่งลงตามลำดับ ส่วนเจี๋ยเซียงไปยกชามาวาง
ฮูหยินสองยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไมวันนี้ท่านโหวและน้องสะใภ้ถึงมีเวลาว่างมานั่งเล่นที่เรือนข้าเล่า” แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียงก่อนจะหันกลับไป
สืออีเหนียงยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้น สวีลิ่งอี๋เป็นหัวหน้าครอบครัว เวลานี้อำนาจในการพูดควรจะเป็นของเขา
“ประเด็นหลักก็คือเรื่องของอวี้เกอ!” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้อ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประการแรกพวกเราอยากจะขอบคุณพี่สะใภ้สองที่ทำให้การหมั้นหมายนี้สำเร็จ ทั้งหมดเป็นเพราะว่ามีพี่สะใภ้สองคอยไกล่เกลี่ยให้ ประการที่สองพวกเราอยากจะหมั้นหมายกับสกุลเซี่ยงอย่างเป็นทางการหลังจากวิธีไว้อาลัยแล้ว ข้าอยากให้พี่สะใภ้สองสังเกตดูท่าทางของใต้เท้าเซี่ยง ข้าลองคำนวณวันดูแล้ว อีกไม่กี่วันใต้เท้าเซี่ยงก็จะออกเดินทางแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะได้ส่งคนไปคุยเรื่องการหมั้นหมายได้”
“คนครอบครัวเดียวกัน ไม่เห็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้” ฮูหยินสองชำเลืองมองสืออีเหนียงที่นั่งยิ้มอยู่เงียบๆ “อวี้เกอเป็นหลานชายของข้า การที่ข้าช่วยเหลือก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“แต่อย่างไรก็ทำเพื่อพวกเรา” สวีลิ่งอี๋มองภรรยาที่นั่งอยู่ถัดจากตัวเอง แล้วพูดกับฮูหยินสองด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ควรมาขอบคุณพี่สะใภ้สอง!”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มรับคำ “ถึงแม้ว่าอวี้เกอจะเป็นหลานชาย แต่ท่านก็รักและเอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก เขาถึงได้มีคู่หมายที่ดีเช่นนี้ พวกเราในฐานะพ่อแม่ อย่างไรเสียก็ควรจะขอบคุณพี่สะใภ้สองจึงจะถูก”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย
ฮูหยินสองเห็นสองสามีภรรยาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ดวงตาก็เป็นประกาย ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสะใภ้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า” จากนั้นก็เริ่มพูดถึงเรื่องที่จะกลับสกุลเซี่ยง “…ข้าจะกลับไปพรุ่งนี้”
สวีลิ่งอี๋กล่าวขอบคุณฮูหยินสองอีกครั้ง
ฮูหยินสองโบกมือไปมา “ท่านโหวทำเช่นนี้จะทำให้เราดูเหมือนคนแปลกหน้ากัน”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก นัดหมายตกลงกันไว้แล้วว่าจะตอบกลับจดหมายตอนบ่าย
เมื่อไท่ฮูหยินรู้ว่าสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงไปที่เรือนเสาหวาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนี้ก็แสดงว่าทั้งสองคนดีกันแล้ว”
“คงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “สาวใช้บอกว่าทั้งสองคนคุยไปหัวเราะไป”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี ข้ายังกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่รู้ความ เอาแต่เย็นชาใส่เจ้าสี่ ควรจะรู้ว่าทุกอย่างต้องมีขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสี่ก็เป็นคนอารมณ์ร้อน” แล้วถามขึ้นว่า “ไปสืบมาหรือยังว่าโกรธกันเรื่องอะไร”
ป้าตู้ส่ายหน้า “บางอย่างก็ถามลึกมากไม่ได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างโล่งใจ “ช่างปะไร คู่สามีภรรยาทะเลาะกันไม่นานเดี๋ยวก็ดีกันเหมือนเดิมเป็นเรื่องธรรมดา ขอแค่พวกเขาดีต่อกันก็พอแล้ว”
ป้าตู้ยิ้มพลางพยักหน้า
“ว่าแต่ทำไมพวกเขาถึงไปหาอี๋เจิน” ว่าจะไม่สนใจ แต่ก็ยังอยากรู้อยู่บ้าง “อีกสักครู่เจ้าไปเรียกอี๋เจินมา ข้ามีเรื่องจะถามนางสักหน่อย”
ป้าตู้หัวเราะ “ท่านบอกว่าจะไม่สนใจแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“นี่มันคนละเรื่องกัน” ไท่ฮูหยินไม่เห็นด้วย “เรื่องหนึ่งเป็นเรื่องในเรือน อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องนอกเรือน เรื่องในเรือนมีคำกล่าวไว้ว่า ‘หากสามีภรรยาไม่สามัคคีกันก็จะถูกคนนอกรังแก’ หากสองคนนี้มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นแล้วข้าไปถาม เช่นนั้นคนอื่นก็จะไม่รู้กันไปหมดเลยหรือ ทำให้ทุกคนคิดว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และเหตุผลเดียวกัน หากพวกเขาสองคนทะเลาะกันจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้วข้ายังไม่สนใจ คนอื่นก็จะคิดว่าในเรือนนี้ไม่มีผู้อาวุโสคอยดูแล จะทำให้คนคิดกันไปต่างๆ นาๆ ว่าข้าไม่ใยดีสืออีเหนียง จึงช่วยกันเหยียบย่ำไม่ไว้หน้านาง แต่เรื่องนอกเรือนกลับไม่เหมือนกัน ในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนไปถามด้วยกันแสดงว่าได้ปรึกษากันดีแล้วอย่างแน่นอน หากข้าไปถามคนอื่นรู้เข้าก็จะหัวเราะว่าคนแก่อย่างข้ายังไม่ตายใจก็เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายชื่อเสียงของทั้งสองคน!”
“ท่านมีเหตุผลเสมอเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มหยอกล้อ เรียกเว่ยจื่อเข้ามา “เจ้าไปดูที่เรือนเสาหวา หากท่านโหวกับฮูหยินสี่ไปแล้วก็ให้เชิญฮูหยินสองมาที่นี่”
เว่ยจื่อตอบรับแล้วถอยออกไป
ไท่ฮูหยินยิ้มเล็กน้อย “ทางด้านไต้ซือจี้หนิงว่าอย่างไรบ้าง”
เช้าตรู่วันนี้ไต้ซือจี้หนิงมาเยี่ยมฮูหยินห้า
ป้าตู้ได้ยินแล้วก็หุบยิ้ม “บอกว่าคุณหนูสองไม่เป็นอะไร ตรวจชีพจรแล้วให้ยาสงบจิตสองสามกล่อง ตอนนี้กำลังเทศนาพระไตรปิฎกให้ฮูหยินห้าฟังอยู่เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินขมวดคิ้ว “เจ้าเด็กคนนี้ เป็นเช่นนี้ไม่ดีเลย”
ป้าตู้สังเกตสีหน้าของไท่ฮูหยินอย่างระมัดระวัง นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กำชับป้าตู้ว่า “อีกสักครู่เจ้าไปที่ตรอกหงเติง นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านโหวผู้เฒ่า หากเห็นท่าว่าไม่ดีก็ให้ท่านโหวผู้เฒ่ามารับนางกลับไปที่จวนสักสองสามวัน เปลี่ยนสถานที่บ้าง บางทีอาการป่วยอาจจะดีขึ้น” พูดพลางถอนหายใจ “เด็กคนนี้ปกติเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้กลับไม่สามารถอยู่เฉยได้…” จากนั้นก็พึมพำเสียงเบาว่า “สู้สืออีเหนียงไม่ได้เลยสักนิด!”
ป้าตู้ไม่กล้าคัดค้าน ทำเป็นไม่ได้ยิน ยิ้มแล้วไปนำชาร้อนมาเปลี่ยนให้ไท่ฮูหยิน
เจี๋ยเซียงรินชาอุ่นๆ ให้เว่ยจื่อ “น้องเว่ยจื่อมาไกลขนาดนี้คงจะกระหายน้ำแล้ว นี่คือชาปี้หลัวชุนที่นายท่านส่งมาให้ น้องเว่ยจื่อลองชิมดู”
เว่ยจื่อไหนเลยจะกล้านั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น รีบก้าวเข้าไปรับถ้วยชา “พี่เจี๋ยเซียงอย่าเกรงใจกันเลย!”
เจี๋ยเซียงไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ้มแล้วพูดว่า “รบกวนน้องเว่ยจื่อนั่งรอตรงนี้ก่อน ฮูหยินกำลังเปลี่ยนชุดอยู่อีกสักครู่ก็เสร็จแล้ว”
เว่ยจื่อพูดอย่างเกรงใจ “ข้าจะนั่งรออยู่ที่นี่ พี่เจี๋ยเซียงมีธุระอะไรก็ไปทำเถิด ไม่ต้องสนใจข้า”
เจี๋ยเซียงทักทายนางสองสามประโยค ก่อนจะเข้าไปที่ห้องด้านในของฮูหยินสอง
“ถามอยู่ตั้งนาน แต่น้องเว่ยจื่อก็ไม่รู้ว่าไท่ฮูหยินเรียกหาท่านเพราะอะไรเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองยิ้มพลางหยิบผงหอมขึ้นมาทาแก้ม พูดเสียงเรียบว่า “ยังต้องถามอีกหรือ คาดว่าคงเป็นเรื่องที่สืออีเหนียงกับท่านโหวทะเลาะกัน!”
เจี๋ยเซียงเชื่อคำตัดสินของฮูหยินสองอย่างสนิทใจ แต่ยังคงพูดด้วยความแปลกใจว่า “ฮูหยินสี่กับท่านโหวทะเลาะกันหรือเจ้าคะ ทำไมบ่าวถึงมองไม่ออก แล้วฮูหยินรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“หากไม่โกรธกัน แล้วทำไมทั้งสองถึงได้มาที่เรือนข้าด้วยกันเล่า”
ฮูหยินสองพูดกับเงาในกระจกเบาๆ ว่า “ข้าเดาว่าคงเป็นเพราะท่านโหวไม่ได้ปรึกษาสืออีเหนียงก็มาขอร้องให้ข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้ มิเช่นนั้นด้วยนิสัยที่รอบคอบระมัดระวังของสืออีเหนียงแล้ว วันนั้นที่เจอกันอยู่ที่เรือนไท่ฮูหยินนางก็คงพูดขอบคุณข้าไปแล้ว คงไม่รอจนถึงวันนี้แล้วยังพาท่านโหวมาด้วย” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หันมายิ้มให้เจี๋ยเซียง “แต่ว่าการที่นางจูงจมูกท่านโหวได้นั้น ถือว่านางเป็นคนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก!”
เจี๋ยเซียงไม่ได้รู้สึกว่ามีความน่าสนใจตรงไหน ขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะเป็นเพียงแค่คนกลางไม่ใช่หรือ การหมั้นหมายครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ให้ท่านโหวไปคุยกับนายท่านเองไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้รับปากท่านโหวว่าจะกลับไปเล่าเจ้าคะ…”
“ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าฮูหยินสี่เป็นคนที่น่าสนใจอย่างไรเล่า!” ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าเมื่อนางรู้เรื่องนี้แล้วจะไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปรู้ว่านางกลับลากท่านโหวมาขอบคุณข้าถึงที่นี่” พูดพลางส่งสายตาให้เจี๋ยเซียง “ดังนั้นข้าจึงได้ตัดสินใจว่าจะต้องกลับไปในครั้งนี้!”
“แล้วนายหญิงล่ะเจ้าคะ” เจี๋ยเซียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“นางน่ะหรือ นางทำไมหรือ” ฮูหยินสองพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “นางก็แค่จะให้พี่ใหญ่กลับสกุลเดิมไปกับนางเพื่อนำเรื่องนี้ไปบอกกับท่านพ่อของนางและบรรดาพี่น้องที่สกุลเดิม! นอกจากนี้นางยังจะคิดหาวิธีอะไรได้อีก ในตอนนั้นข้าเอาแต่ยอมถอยให้นาง แต่ก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าบิดาของนางเป็นคนของศาลว่าการ แต่เห็นแก่นางที่สามารถใช้ชีวิตกับพี่ชายของข้าได้เป็นอย่างดี แต่ตอนที่คุณชายสองเสียชีวิตนางกลับไล่สาวใช้ในเรือนออกไปจนหมด แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นอยากจะตามท่านพี่ไปรับตำแหน่ง ในตอนนั้นข้ารู้สึกผิดหวังในตัวนางไม่น้อย”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง
