เจี๋ยเซียงนิ่งเงียบ
นางเป็นสาวใช้น้อยติดตามฮูหยินสองตอนแต่งเข้าจวน ต่อมาคุณชายสองเสียชีวิตฮูหยินสองจึงปล่อยทุกคนไป มีเพียงนางที่ไม่อยากไป จึงอยู่กับฮูหยินสองด้วยความซื่อสัตย์มาจนถึงทุกวันนี้
นางเข้าใจความเกลียดชังของฮูหยินสองกับนายหญิงเป็นอย่างดี
จะว่าไปนายหญิงก็ดีทุกอย่าง เพียงแต่มักจะทำให้คนรู้สึกสุดจะทน เวลาเจอเรื่องอะไรก็มักจะโวยวายบอกกับสกุลเดิม ด้วยเหตุนี้นายหญิงเซี่ยงผู้เฒ่าจึงไม่ค่อยชอบลูกสะใภ้คนนี้เท่าไร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำเอานายหญิงเซี่ยงผู้เฒ่าโมโหจนเป็นลม ความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินสองกับพี่สะใภ้คนนี้ก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลายปีก่อนข้างกายฮูหยินสองยังมีคุณชายสอง นางทั้งต้องดูแลอาหารการกินในจวนโหวทั้งยังต้องอดทนอดกลั้นต่อนิสัยของนายหญิงเซี่ยง ต่อมาพอคุณชายสองเสียชีวิต ฮูหยินสองก็เริ่มเผยนิสัยเย็นชาออกมาทีละน้อย ขนาดเห็นฮูหยินสี่คนก่อนได้เป็นใหญ่ก็แทบจะหมดความอดทน แล้วนับประสาอะไรกับพี่สะใภ้ที่เดิมทีก็ไม่ชอบหน้าอยู่แล้ว!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดนางก็อดถอนหายใจในใจไม่ได้
“เช่นนั้นท่านเตรียมจะให้คุณหนูสองแต่งเข้ามาจริงๆ หรือเจ้าคะ” เมื่อนึกถึงคุณหนูสองที่ไม่เป็นที่สนใจของทุกคนเมื่อเทียบกับคุณหนูใหญ่ที่รักความสงบกับคุณหนูสามที่เป็นคนสดใสร่าเริง เจี๋ยเซียงจึงอดถามไม่ได้
“เดิมทีก็ไม่ได้คิดอย่างจริงจัง” ฮูหยินสองพูดต่อว่า “ข้าคิดว่าเมื่อสืออีเหนียงรู้แล้วจะไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอน และด้วยนิสัยของท่านโหว แปดถึงเก้าส่วนคงจะล้มเลิกความคิดนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะตอบตกลง” นางพูดพลางยิ้มไปด้วย
เจี๋ยเซียงไม่เข้าใจ
ฮูหยินสองมีความอดทนเป็นพิเศษกับสาวใช้ข้างกายซื่อบื่อที่มีความจงรักภักดี และเคยชินที่จะบ่นกับนางในวันที่เหงาใจ
“เจ้าลองคิดดูสิ หากลูกสะใภ้แต่งเข้ามาแล้วก็ต้องคอยปรนนิบัติแม่สามี หากดันทุรังจะหมั้นหมายโดยไม่สนใจฮูหยินสี่ หากวันหนึ่งนางให้ลูกสะใภ้นวดขาให้นาง แล้วอีกวันก็ให้ลูกสะใภ้ช่วยนวดไหล่ให้นาง ลูกสะใภ้จะกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ หรือ หากให้นางทรมานลูกสะใภ้ต่อไปเช่นนี้ ที่จวนจะยังมีความสงบสุขอีกหรือ สาเหตุที่ท่านโหวคิดจะหมั้นหมายหลานสาวของข้าให้อวี้เกอ ประการแรกก็เพราะเดิมทีพวกเราทั้งสองสกุลก็เป็นญาติกันอยู่แล้ว เมื่อมีน้ำใจของญาติพี่น้อง การที่บุตรสาวคนที่สองของภรรยาเอกแต่งกับบุตรชายคนโตของอนุภรรยาย่อมไม่มีปัญหาอะไร ประการที่สองก็เพื่อที่จะหาทางออกให้อวี้เกอ เช่นนี้ก็จะได้ไม่ต้องมีคนมายั่วยุอวี้เกอให้คิดอยากได้ของในจวน หากยังไม่ทันได้แต่งลูกสะใภ้แล้วฮูหยินสี่อาละวาดขึ้นมาเสียก่อน เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ท่านโหวก็ทำได้เพียงแค่ล้มเลิกความคิดนี้”
เจี๋ยเซียงพยักหน้า “ที่ฮูหยินพูดก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ!”
“แต่ในวันนี้ที่ท่านโหวกับฮูหยินสี่มาขอบคุณเช่นนี้ ข้าคิดว่าหากโหรวเน่อแต่งเข้ามาก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว” ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อย่าว่าแต่การหมั้นหมายครั้งนี้มีผลประโยชน์ต่อสกุลสวีเลย แม้แต่โหรวเน่อเองก็ถือว่าไม่มีผลเสียต่อนางแม้แต่น้อย อวี้เกอเป็นบุตรชายของอนุภรรยา เมื่ออยู่ต่อหน้าโหรวเน่อก็ย่อมถ่อมตัวอยู่บ้าง หากท่านพี่ได้ช่วยวางอนาคตให้อวี้เกอได้ ด้วยนิสัยที่เป็นคนช่างใส่ใจของโหรวเน่อ ต่อให้ระหว่างสามีภรรยาไม่ได้มีความรักใคร่กัน แต่ก็ยังคงเคารพซึ่งกันและกันอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นมีอาหญิงอย่างข้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยินหรือว่าท่านโหวก็จะไม่ถือสานางเพราะเห็นแก่หน้าข้าอยู่บ้าง ต่อให้สืออีเหนียงอยากจะวางท่าแม่สามีต่อหน้านาง อย่างน้อยก็ต้องมีความเกรงใจอยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินอี๋เหนียง นางไม่มีทางกล้าดูหมิ่นโหรวเน่อแม้แต่น้อย”
เจี๋ยเซียงได้ฟังเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผล
ด้วยนิสัยของฮูหยินสอง คุณหนูสองจะต้องยอมแต่งกับคุณชายน้อยสองอย่างแน่นอน
นางคิดว่าเช่นนี้ก็ไม่แย่ จึงพูดขึ้นด้วยความเบิกบานใจ “หากคุณชายน้อยสองกับคุณหนูสองไปด้วยกันได้ จวนของเราก็จะครึกครื้นแล้ว!”
“การแต่งงานเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุด” ฮูหยินสองยิ้มเล็กน้อย “การกระทำขึ้นอยู่กับคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้า ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา!”
เมื่อเจี๋ยเซียงเห็นว่านางไม่ได้รู้สึกยินดี ทันใดนั้นก็นึกถึงคุณชายสอง ตั้งแต่คุณชายสองจากไป รอยยิ้มของฮูหยินสองก็ไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน
สีหน้าของนางหม่นหมองลง
หากคุณชายสองยังมีชีวิตอยู่จะดีแค่ไหนกัน!
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว นางก็รีบหยุดความคิดนั้น ไม่กล้าคิดไปไกลและไม่อยากคิดไปไกล
“เช่นนั้นหากพรุ่งนี้ท่านกลับไปแล้วก็ต้องไปพูดกับนายหญิงให้ดีๆ นะเจ้าคะ” เจี๋ยเซียงเกลี้ยกล่อมฮูหยินสอง “ในเมื่อท่านเอ็นดูคุณหนูสอง ก็ต้องให้คุณหนูสองแต่งออกจวนอย่างมีความสุขจึงจะถูก มิเช่นนั้นหากคุณหนูสองต้องอยู่ระหว่างท่านแม่กับท่านอาหญิง แล้วตรงกลางยังมีฮูหยินสี่ นึกไม่ออกเลยว่าจะมีชีวิตที่ลำบากเพียงใด”
ฮูหยินสองไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไปหาไท่ฮูหยินกันเถิด เดี๋ยวนางจะรอนาน!”
เจี๋ยเซียงรู้นิสัยของนางดีจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก ลุกขึ้นแล้วไปที่เรือนไท่ฮูหยินกับนาง
ไท่ฮูหยินจับมือฮูหยินสองมาพูดคุยที่เตียงนั่ง “ทั้งสองคนไปทำอะไรที่เรือนเจ้า”
ฮูหยินสองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นางคิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินจะถามเรื่องนี้ แต่ทันใดนั้นนางก็ดึงสติกลับมา ไท่ฮูหยินคงยังไม่รู้เรื่องที่สวีลิ่งอี๋จะไปสู่ขอหลานสาวคนที่สองของตนให้สวีซื่ออวี้
จะว่าไปแล้วตอนที่ตนไปซีซาน ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยิน หรือท่านโหวต่างก็รักษาระยะห่างกับสืออีเหนียงและคอยสังเกตุอย่างระมัดระวัง แต่ทุกครั้งที่ตนกลับมาสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ไท่ฮูหยินที่ปกป้องสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋ก็เริ่มเห็นนางเป็นภรรยา ตอนนั้นตนก็คิดแล้วว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ธรรมดา แล้วนึกถึงวันนี้ที่ทั้งสองคนมาขอบคุณตัวเองด้วยกัน…
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งสองคนไปขอบคุณข้าเจ้าค่ะ!”
“ขอบคุณ?” ไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ “ขอบคุณอะไร”
ฮูหยินสองเล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ไหว้วานให้ตัวเองไปเป็นแม่สื่อ
ไท่ฮูหยินเข้าใจในทันที
ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองคนจะทะเลาะกัน ส่วนใหญ่แล้วเจ้าสี่จะเป็นคนเอาแต่ใจและมักจะเป็นคนเผด็จการ เขาไหว้วานพี่สะใภ้สองให้กลับไปที่สกุลเดิมเพื่อโดยทาบทามคุณหนูสองให้อวี้เกอโดยไม่บอกกล่าวกับใครสักคำ พอเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องบอกสืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าหม่นหมองลงเล็กน้อย
“จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องโทษข้า” ฮูหยินสองถอนหายใจ “ท่านก็รู้ว่าพี่สะใภ้กับข้าก็เหมือนน้ำกับไฟ ตอนที่ท่านโหวไหว้วานข้าให้ไปทาบทาม ข้าก็ไม่อาจหักหน้าท่านโหวได้ ทั้งๆ ที่คิดว่าหากคนอื่นไปพูดอาจจะสำเร็จ แต่หากข้าไปพูดพี่สะใภ้จะต้องปฏิเสธแน่นอน จึงเตรียมตัวไปลองดูสักตั้ง ดังนั้นมีบางคำที่ไม่ควรถามให้มากความ เกรงว่าท่านโหวจะเข้าใจผิดว่าข้ากำลังกังวลว่าเขาจะควบคุมคนในจวนไม่ได้” นางพูดพลางแสดงท่าทีรู้สึกผิด “ใครจะไปรู้ว่าพอพี่ชายข้าได้ยินกลับบอกว่าดี ไม่เพียงแต่รับปากในทันที ทั้งได้ยินว่าท่านโหวอยากจะหาคนที่จิตใจดีมีเมตตาจึงตัดสินใจเลือกโหรวเน่อในทันที เรื่องนี้ข้าไม่สามารถถอยหลังกลับได้แล้ว วันนั้นข้าได้พบน้องสะใภ้สี่ที่เรือนของท่าน นางเป็นคนที่มีมารยาทและรอบคอบ แต่พอเจอข้ากลับไม่พูดอะไรสักคำ ตอนนั้นข้าคิดในใจว่าคงไม่เป็นการดี หากไม่ใช่ว่าน้องสะใภ้สี่ไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายครั้งนี้ ก็คงเป็นเพราะท่านโหวไม่ได้บอกนางก่อนล่วงหน้า” ฮูหยินสองมองไท่ฮูหยินแล้วยิ้มเจื่อนๆ “ข้ายิ่งไม่สามารถพูดอะไรได้ กำลังคิดอยู่ว่าจะแก้ปมเชือกนี้อย่างไรดี ใครจะไปรู้ว่าพวกเขากลับมาหาข้าที่เรือนเสียเอง” พูดไปยิ้มไป “ไม่เพียงแต่ขอบคุณข้า ซ้ำยังให้ข้ากลับไปดูท่าทีของท่านพี่ในวันพรุ่งนี้ด้วย!” จากนั้นก็พูดเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยิน “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าเห็นทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย รักกันดียิ่งนัก”
ไท่ฮูหยินได้ยินฮูหยินสองพูดเช่นนี้ก็นึกถึงที่ป้าตู้บอกว่าพวกเขาคุยไปหัวเราะไป แต่สีหน้าก็ยังหม่นหมองเล็กน้อย “เพียงแต่ว่านิสัยของเจ้าสี่ควรจะต้องแก้ไขจึงจะถูก ยังดีที่ครอบครัวเราเป็นคนเรียบง่าย มีเจ้าบ้านอาศัยอยู่ด้วยกันเช่นนี้ จะให้สืออีเหนียงเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“ท่านโหวเป็นเสาหลักของครอบครัว” ฮูหยินสองพูดต่อว่า “เขาเป็นคนปกป้องคนในจวนจากลมฝน บางครั้งการตัดสินใจด้วยตัวเองได้ก็เป็นเรื่องดี ข้ามองแล้วน้องสะใภ้สี่ก็เป็นคนมีเหตุผล อย่างน้อยทั้งสองคนก็ไม่ได้ทะเลาะจนไม่ลงรอยกัน เมื่อก่อนท่านเคยพูดไม่ใช่หรือว่าหม้อแบบไหนก็เหมาะกับฝาปิดแบบนั้น ข้าว่าท่านโหวกับน้องสะใภ้สี่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็อดหุบยิ้มไม่ได้ “พูดอะไรของเจ้า!”
ฮูหยินสองเห็นไท่ฮูหยินดีใจก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่เห็น ตอนที่ท่านโหวไปหาข้า คำก็ ‘เรา ’ สองคำก็ ‘เรา’ เมื่อก่อนท่านโหวเคยเป็นแบบนี้เสียเมื่อไรกัน”
ไท่ฮูหยินนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต จึงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามถึงเรื่องงานแต่งของสวีซื่ออวี้ “…ถ้าหากสำเร็จ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นงานแต่งที่ดียิ่งนัก!”
ไท่ฮูหยินเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย มีหรือจะมองไม่ออกถึงความซับซ้อนข้างใน
“ท่านรู้จักพี่ชายของข้าดี” ฮูหยินสองรินชาร้อนให้ไท่ฮูหยิน แล้วนั่งลงข้างๆ ไท่ฮูหยินอีกครั้ง “ยกเว้นแต่ว่าท่านโหวจะรู้สึกว่าโหรวเน่อของข้าด้อยกว่าอวี้เกอเล็กน้อย มิเช่นนั้นจะมีอะไรที่ทำให้การหมั้นหมายครั้งนี้ไม่อาจสำเร็จได้”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดอย่างกังวลว่า “แต่ถึงอย่างไรอวี้เกอก็เป็นบุตรชายของอนุ…”
ฮูหยินสองรีบพูดตัดบทไท่ฮูหยินทันที “แต่ก็เป็นบุตรชายของท่านโหวเช่นกัน เป็นลูกหลานของจวนสวีของเรา!”
ไท่ฮูหยินพอใจกับคำตอบของฮูหยินสองเป็นอย่างมาก แววตาเผยให้เห็นความปลื้มปิติ “อาศัยจังหวะช่วงที่ยังไม่ได้พูดเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ เจ้าช่วยหาโอกาสให้ข้ากับสืออีเหนียงได้เห็นเด็กคนนั้นสักหน่อย วันนั้นคนเยอะข้ามองไม่ชัด!”
ฮูหยินสองยิ้มตอบรับ
ป้าตู้กลับมาพอดี
ไท่ฮูหยินไม่ปิดบังฮูหยินสอง ถามป้าตู้ตรงๆ ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
ป้าตู้คำนับไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองแล้วพูดว่า “ท่านโหวผู้เฒ่าบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะส่งหัวหน้าสาวใช้มาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจยาว
ฮูหยินสองพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กตานหยาง” ไท่ฮูหยินสีหน้าจนปัญญา “สองสามวันมานี้ไปเรียกไต้ซือจี้หนิงมาดูซินเจี่ยเอ๋อร์ เดินทางไปมาไม่หยุดหย่อน”
ฮูหยินสองครุ่นคิด “ให้พวกเขาย้ายไปที่อื่นดีหรือไม่”
ไท่ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดเช่นเดียวกันกับข้า ข้ารอให้เจ้าสี่กลับมาแล้วจะปรึกษาเขา หากไม่ได้จริงๆ ก็สร้างเรือนให้พวกเขาที่สวนดอกไม้หลังจวน” จากนั้นก็ถามถึงไต้ซือจี้หนิง “ยังเทศน์พระไตรปิฎกให้ฮูหยินห้าฟังอยู่หรือไม่”
“ไม่แล้วเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไปที่เรือนฮูหยินสี่แล้วเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านโหวไม่อยู่หรือ”
“เห็นบอกว่าใต้เท้าหม่ามาพบ ท่านโหวจึงไปที่ห้องหนังสือเรือนนอกเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “มิน่าเล่า ไต้ซือจี้หนิงจึงได้กล้าไปหาสืออีเหนียง”
ฮูหยินสองกลับพูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าหม่ามาพบหรือ ช่วงนี้ใต้เท้าหม่ามาบ่อยหรือ”
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “เคยมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถือว่าบ่อยนักเจ้าค่ะ”
ขณะที่กำลังพูดก็มีสาวใช้น้อยเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “ไท่ฮูหยิน เหลยกงกงมาขอพบเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่อว่า “สวมเพียงชุดธรรมดาเจ้าค่ะ”
สวมชุดธรรมดาอย่างนั้นหรือ แสดงว่าเขาแอบมา
สีหน้าของไท่ฮูหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฮูหยินสองนั่งลงปรนนิบัติไท่ฮูหยินใส่รองเท้า
“เจ้าไม่ต้องดูแลเรื่องพวกนี้แล้ว” ไท่ฮูหยินกำชับนาง “เรื่องเหล่านี้ให้ป้าตู้เป็นคนทำก็พอแล้ว เจ้ารีบไปเชิญเหลยกงกงเข้ามา”
ฮูหยินสองตอบรับแล้วเดินออกไป
ป้าตู้รีบช่วยไท่ฮูหยินจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปที่ประตูเรือน
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง
