ไท่ฮูหยินกับป้าตู้พึ่งจะเดินมาถึงก็เห็นฮูหยินสองพาเหลยกงกงเดินมาทางนี้อย่างช้าๆ
“เหลยกงกง!” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางเข้าไปต้อนรับ
เหลยกงกงได้ยินเสียงเรียกจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
“ไท่ฮูหยิน!” เขาโค้งคำนับ ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ไท่ฮูหยินใจสงบลงเล็กน้อย เชิญเหลยกงกงมานั่งที่ห้องโถงใหญ่
เหลยกงกงมองสาวใช้น้อยที่ยกชามาวางอย่างสงบ
ไท่ฮูหยินเข้าใจดี จึงบอกให้คนปรนนิบัติรับใช้ข้างกายออกไป
เหลยกงกงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไท่ฮูหยิน ยินดีด้วยขอรับ!”
ไท่ฮูหยินประหลาดใจ
เหลยกงกงพูดเสียงเบาว่า “ฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้วขอรับ!”
“หา!?” แม้ว่าไท่ฮูหยินจะฝึกการเก็บอาการมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจออกมา “เป็นเรื่องจริงหรือ!” เมื่อนึกได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เหลยกงกงไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นได้ ในใจก็พลันสับสนวุ่นวาย จึงพูดคำพูดที่ไร้สาระออกไป แต่ไม่มีเวลามาโทษตัวเอง ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม พนมมือขึ้นแล้วหันไปทางทิศตะวันตก “อามิตตาพุทธ! เป็นพรจากพระโพธิสัตว์”
ความปิติยินดีที่เหลยกงกงอดกลั้นมาตลอด ตอนนี้ได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย เขายิ้มกว้าง “ฝ่าบาททรงทราบแล้วก็ดีใจอย่างมาก เมื่อวานเสด็จไปตำหนักเฟิ่งเซียนแต่เช้า ตรัสว่าจะถือศีลอดสามวัน ขอพรไท่จงและบรรพบุรุษฮ่องเต้ช่วยคุ้มครองฮองเฮาให้กำเนิดองค์ชายได้อย่างราบรื่น”
แม้ว่าการให้กำเนิดองค์ชายจะดีแต่ก็เป็นเพียงการส่งเสริมสิ่งที่มีอยู่แล้ว ฮองเฮาทรงตั้งครรภ์ ฮ่องเต้ก็ไปจุดธูปขอพรที่ตำหนักเฟิ่งเซียนด้วยตัวเอง ฮ่องเต้กับฮองเฮารักกัน นี่จึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ไท่ฮูหยินดีใจ นางยิ้มจนตาหยี “ขอให้ฮ่องเต้ทรงสมพรปรารถนา”
“อีกสองวันจะมีข่าวแพร่สะพัดไปทั่ววัง” เหลยกงกงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ฮองเฮาให้ข้ามาบอกท่านก่อน อยากทำให้ท่านมีความสุข”
“ขอบพระทัยฮองเฮาที่นึกถึงข้า!” ไท่ฮูหยินยิ้มหน้าบาน “นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก!” จากนั้นก็ถามถึงความเป็นอยู่ของฮองเฮาอย่างละเอียด
เมื่อรู้ว่าฮองเฮาสบายดี ไท่ฮูหยินจึงถามถึงองค์ชายใหญ่และองค์ชายสาม
“…ทุกวันองค์ชายใหญ่จะอยู่ปรนนิบัติฮ่องเต้ตอบฎีกาที่พระตำหนักเฉียนชิง ช่วงนี้ทรงงานหนัก ตอนที่มาคารวะฮองเฮาก็ดูซูบผอมลงไปบ้าง แต่ว่านิสัยกลับสงบนิ่งมากขึ้น วันที่หนึ่งเดือนนี้อาจารย์ที่มาสอนคัมภีร์คือเหลียงเก๋อเหล่า เขายังชื่นชมองค์ชายสามต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ บอกว่าองค์ชายสามมีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาด เมื่อฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก พระราชทานจานฝนหมึกให้องค์ชายสามอีกด้วย”
“ดีแล้ว ดีแล้ว” ไท่ฮูหยินดีใจมากกว่าเดิม พูดถึงเรื่องงานอภิเษกขององค์ชายใหญ่ “…รู้ไหมว่าจะตัดสินใจเลือกพระสนมเมื่อไร”
เหลยกงกงพูดอย่างมีนัยยะว่า “หลายวันมานี้ฮองเฮาทรงพักผ่อนอยู่ที่วังกลาง จึงรอเพียงให้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินพระทัย ฮองเฮาตรัสไว้ว่าเรื่องนี้จะต้องตัดสินโดยเร็ว องค์ชายใหญ่ก็อายุไม่น้อยแล้ว”
ฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกลูกสะใภ้ที่มาจากสกุลหยางอย่างแน่นอน หากเป็นเมื่อก่อนยังกังวลว่าฮ่องเต้จะเอนเอียงไปทางหวงกุ้ยเฟย แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กับฮองเฮารักใคร่กันดี เป็นช่วงเวลาที่หวงกุ้ยเฟยอำนาจอ่อนแอ แน่นอนว่าต้องรีบเลือกพระสนมขององค์ชายใหญ่ให้เร็วที่สุด
ไท่ฮูหยินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้มาได้ถูกเวลาพอดี จึงไม่ได้พูดอะไรมาก ยิ้มแล้วถามถึงไถ่สุขภาพของเหลยกงกง แต่เหลยกงกงเห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยมามากแล้วจึงตอบไท่ฮูหยินสองสามประโยคแล้วลุกขึ้นกล่าวลา ไท่ฮูหยินพูดกับเขาด้วยความเกรงใจแล้วไปส่งเหลยกงกงที่ประตูด้วยตัวเอง มีฮูหยินสองพาเขาไปส่งที่ประตูฉุยฮวา จากนั้นก็ส่งสายตาให้ป้าตู้ที่มีสีหน้าเป็นกังวล ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องด้านใน
“ฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้ว!” ไท่ฮูหยินเดินเข้ามาในห้องพลางเอ่ยด้วยความดีใจ
“ไอ๊หยา!” ป้าตู้อุทานออกมา ขอบตาแดง “นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ขอบตาของนางเปียกชื้นเล็กน้อย “อีกสองวันในวังหลวงจะมีข่าวแพร่สะพัดออกมา ข้าอยากไปวัดฉือหยวนเพื่อจุดธูปขอพรให้แก่ฮองเฮา” แล้วพูดต่อว่า “เจ้าไปเชิญท่านโหวมา เรื่องนี้ต้องบอกเขาให้เร็วที่สุด ให้เขาสบายใจ หลายวันมานี้เอาแต่เป็นห่วงเรื่องของฮองเฮาจนซูบผอมไปหมดแล้ว”
ป้าตู้นั้นดูไม่ออกว่าท่านโหวผอมลง แต่กลับมองออกว่าไท่ฮูหยินเป็นห่วงบุตรชายมากแค่ไหน
นางตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วไปหาสวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็ดีใจเป็นอย่างมาก พอกลับไปถึงเรือนก็หยิกแก้มสืออีเหนียงเบาๆ ในขณะที่สืออีเหนียงยังไม่ทันได้โวยวายเขาก็รีบเอ่ยขึ้นข้างหูว่า “ฮองเฮาทรงพระครรภ์แล้ว”
“จริงหรือ!” ดวงตาของสืออีเหนียงเป็นประกาย นางไม่ได้สนใจอะไรมาก รีบถามขึ้นมาว่า “อายุครรภ์เท่าไรแล้ว”
เช่นนี้ อย่างน้อยก็สามารถชดเชยความเจ็บปวดของฮองเฮาที่สูญเสียองค์ชายห้าไปได้กระมัง
“พึ่งตรวจพบเมื่อคืนก่อน” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เมื่อครู่เหลยกงกงมาบอกกับท่านแม่ด้วยตัวเอง!”
เหลยกงกงเป็นผู้ดูแลใหญ่ของพระตำหนักคุนหนิง คำพูดของเขาย่อมไม่ใช่ความเท็จ
สืออีเหนียงดีใจแทนฮองเฮา “เช่นนั้นพวกเราต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องทำเสื้อผ้าเด็กหรือไม่ หรือว่าจะส่งของอร่อยเข้าไปในวัง!” จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองดีใจมากเกินไป นี่ไม่เหมือนกับยุคของตัวเอง ที่ส่งของกินหรือไปแสดงความยินดี จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ของกินเอาเข้าวังไม่ได้ เสื้อผ้าก็ต้องพิถีพิถัน…หรือว่าจะเข้าวังไปถวายพระพรฮองเฮาสักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าทางด้านนั้นมีกฏอย่างไรบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปแสดงความยินดีกับพระองค์ถึงจะถูก เพราะนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก!”
มีคนมีความสุขกับสิ่งเดียวกัน ความสุขก็จะยิ่งขยายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงที่ท่าทางตื่นเต้นก็อดยิ้มไม่ได้
“เมื่อถึงเวลานั้นจะมีข่าวแพร่สะพัดออกมาจากวังหลวง หลังจากผ่านไปสามเดือนก็จะสามารถไปแสดงความยินดีกับฮองเฮาได้แล้ว ส่วนเรื่องอาหารเสื้อผ้า อะไรทำนองนั้น” เขาพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “ประการแรก ในวังไม่ขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ ประการที่สองเครื่องนุ่งห่มขององค์ชายและองค์หญิงไม่ใช่เนื้อผ้าที่คนธรรมดาจะหามาได้”
“อ้อๆ” สืออีเหนียงยิ้มกว้าง พยักหน้าแล้วพูดว่า “เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปแสดงความยินดีกับฮองเฮาแต่เนิ่นๆ เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางพยักหน้า พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่อยากจะไปจุดธูปขอพรให้ฮองเฮาที่วัดฉือหยวนในอีกสองวัน เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ไปกับท่านแม่เถิด!”
“ได้สิ!” สืออีเหนียงตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมา
นางก็หวังว่าจะสามารถขอพรให้กับชีวิตที่กำลังจะมาเกิดนี้ได้
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยิน ไต้ซือน้อยคนที่อยู่ข้างกายไต้ซือจี้หนิงนำคัมภีร์มาส่งให้ท่านเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วแววตาพลันสงบนิ่ง ท่าทางไม่พอใจ
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาไม่ชอบเรื่องพวกนี้ จึงยิ้มแล้วอธิบายว่า “เมื่อครู่ไต้ซือจี้หนิงมาเยี่ยมข้าแล้วเทศนาหัวใจพระสูตรให้ข้าฟังอยู่นาน ทั้งยังส่งหนังสือที่ไต้ซือเขียนด้วยตัวเองมาให้ข้าอีกด้วย เป็นโอกาสที่หาได้ยาก” แล้วพูดต่อว่า “สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม’ บางเรื่องก็ต้องทำตามน้ำไปจะดีกว่า แค่ในใจรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็พอแล้ว”
สวีลิ่งอี๋สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
สืออีเหนียงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่ดี นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาพึ่งไปพบหม่าจั่วเหวินมา จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เรื่องการคัดเลือกพระสนมขององค์ชายใหญ่มีความคืบหน้าอย่างไรบ้างเจ้าคะ หากตัดสินได้แล้ว เช่นนั้นก็เป็นเรื่องมงคลคู่กับข่าวของฮองเฮามาส่งถึงหน้าประตูจวนเรา”
“บัญชีรายชื่อพึ่งถูกส่งไปถึงฮ่องเต้” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ยังไม่ได้เริ่มหารือ”
หรือว่าตอนนี้มีอะไรสำคัญกว่าเรื่องนี้อีก
สืออีเหนียงอดสงสัยไม่ได้
สวีลิ่งอี๋มองอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ข้าให้จั่วเหวินช่วยข้าตรวจสอบสถานการณ์ตอนนั้นที่ซื่อจื่อของจิ้งไห่โหวมาที่เมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ไปสืบเรื่องตอนที่ซื่อจื่อพักอาศัยอยู่ที่เรือนรับรองขุนนาง”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา
“ตามหลักแล้วสกุลโอวได้เปรียบไปหนึ่งก้าว ควรจะมีใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อช่วงสิบปีให้หลังที่จะต้องมาแย่งชิงกำลังพลทหารม้า แต่กลับมาเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้น ไม่เพียงแต่แหวกหญ้าให้งูตื่น ซ้ำยังเผยจุดอ่อนของตัวเองอีกด้วย” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เดิมทีข้าคิดว่าซื่อจื่อจะเปลี่ยนที่ปรึกษาไปแล้ว ดังนั้นจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่พอไปสืบดูอย่างละเอียด ทางด้านซื่อจื่อไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไร แต่กลับเป็นคุณชายหกสกุลโอว ที่สองปีมานี้มีการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ มาโดยตลอด การที่เขาทำเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน อย่าลืมว่าซื่อจื่อที่จิ้งไห่โหวทิ้งให้อยู่ในตำแหน่งนี้มาหลายปี เป็นคนฉลาดหลักแหลม มีบารมี หากทำไปเพราะตำแหน่งขุนนาง แต่อย่างไรเสียคุณชายหกสกุลโอวกับซื่อจื่อ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของอายุหรือประสบการณ์ก็ถือว่าต่างชั้นกันมาก ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว เขาไม่มีทางที่จะได้รับตำแหน่งขุนนางต่อ”
“เช่นนั้นเป็นเพราะอะไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “คงไม่น่าจะใช่เรื่องพี่น้องโกรธกัน หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้ซื่อจื่ออดทนได้ แต่จิ้งไห่โหวก็คงไม่ยอมให้คุณชายหกสกุลโอวก่อเรื่องเช่นนี้หรอกกระมัง”
“ดังนั้นข้าจึงได้สงสัยว่าเกิดเรื่องขึ้นกับซื่อจื่อหรือไม่” สีหน้าสวีลิ่งอี๋ดูจริงจังขึ้นกว่าเดิม “จิ้งไห่โหวต้องเลือกหนึ่งในพี่น้องของพวกเขามารับตำแหน่งซื่อจื่ออีกครั้ง ทุกคนต่างก็เตรียมการเคลื่อนไหว ดังนั้นจิ้งไห่โหวจึงไม่มีอำนาจและสามารถควบคุมได้…”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ “หากเป็นอย่างที่ท่านโหวพูด เช่นนั้นบุตรชายของเขาเหล่านั้นก็ควรคิดหาวิธีเอาใจจิ้งไห่โหวจึงจะถูก เหตุใดกลับไม่เชื่อฟังเสียแล้ว”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางไม่เข้าใจในความไม่ชอบมาพากลนี้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “จะให้ใครเป็นซื่อจื่อก็ต้องได้การยอมรับจากจิ้งไห่โหวและยิ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้!”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที “ท่านหมายถึงหวงกุ้ยเฟย?”
หากเป็นดั่งที่สวีลิ่งอี๋คาดไว้ เช่นนั้นบุตรชายของจิ้งไห่โหวจะต้องทำทุกวิธีทางอย่างแน่นอน บางคนอาจจะเลือกเอาใจจิ้งไห่โหว และแน่นอนว่าย่อมมีคนคิดเข้าทางหวงกุ้ยเฟย
แต่เมื่อพูดเช่นนี้นางก็เกิดความสงสัยขึ้นอีกครั้ง
“เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวกันแน่ ป่วยหนักจนอยู่ได้อีกไม่นาน? หรือกระทำความผิด เพียงแค่ถูกจับได้ก็สามารถถูกตุลาการฟ้องร้องได้ทุกเมื่อ? ไม่ใช่ว่ามีคำพูดที่ว่า ‘คนที่เข้าใจเจ้าที่สุดไม่ใช่เพื่อนของเจ้าแต่กลับเป็นศัตรูของเจ้าหรือ’ แล้วหวังจิ่วเป่าจะไม่รู้อะไรเลยได้อย่างไร”
แม้ว่าเสียงของนางจะไม่ได้ดัง จังหวะการพูดก็ไม่ได้รีบร้อน แต่ทุกคำที่นางพูดออกมากลับถามจุดสำคัญทั้งนั้น
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็ยิ้มเล็กน้อย พูดอย่างเบิกบานใจว่า “ดังนั้นข้าถึงได้ให้หม่าจั่วเหวินช่วยข้าสืบเรื่องของซื่อจื่อ ตอนนั้นเขามาพักในเยี่ยนจิงอยู่ห้าเดือน หากสุขภาพไม่ดี การกินดื่มก็คงจะทิ้งร่องรอยไว้บ้าง หากกระทำความผิด…” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง “อย่างไรเสียสกุลโอวก็เป็นขุนนาง แต่สกุลหวังอย่างไรก็เป็นโจร ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงได้ส่งคนไปช่วยหวังจิ่วเป่าสืบเรื่องนี้ ด้วยฝีมือของหวังจิ่วเป่า จะต้องได้ข่าวอะไรมาอย่างแน่นอน!”
เห็นว่าเขาคิดรอบคอบในทุกเรื่องเช่นนี้ แต่สืออีเหนียงกลับเป็นห่วงองค์ชายใหญ่ขึ้นมา
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความขัดแย้งที่ไม่อาจกลับมาคืนดีกับสกุลโอวได้ แต่อาจกลับต้องแต่งกับพระสนมที่มีความสัมพันธ์กับสกุลโอวอย่างแน่นแฟ้น
“เรื่องเลือกพระสนม ท่านโหวต้องใส่ใจให้มาก” นางพูดพึมพำ “แม้ว่าจะไม่สามารถคาดหวังกับฮ่องเต้ได้ แต่การที่ปล่อยให้คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสกุลโอวได้รับการคัดเลือกนั่นไม่ใช่เรื่องดี”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางเป็นห่วงเช่นนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ “มีแต่ผลประโยชน์ชั่วนิรันดร์ ไม่มีคำว่าพันธมิตรตลอดไป! อย่าว่าแต่คนที่สนิทกับสกุลโอวเลย ต่อให้พระสนมขององค์ชายใหญ่เป็นคนสกุลโอว ขอเพียงแค่ไม่ใช่พระชายาเอก ก็มีผลดีกับพวกเรา ไม่ได้มีผลเสียอะไร!”
