“…วันเกิดของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ ข้าวาดภาพวิหกชมบุปผาให้นางเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์มองสืออีเหนียงด้วยสายตาอ้อนวอน “เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปนั่งเพียงชั่วครู่แล้วก็กลับ ใช้เวลาไม่มาก เมื่อกลับมาแล้วจะตามเรียนให้ครบทุกวิชาที่ตกหล่น!”
ตั้งแต่วันนั้นที่เล่าให้สืออีเหนียงฟังตอนอยู่เรือนไท่ฮูหยิน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับสืออีเหนียงเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่นางอายุเท่าเจินเจี่ยเอ๋อร์
ทุกครั้งที่ไปงานเลี้ยงวันเกิดของสหายร่วมชั้นเรียน บรรดาพ่อแม่มักจะกลัวว่าลูกของตนจะเสียหน้าต่อสหายร่วมชั้นเรียน จะตระเตรียมเงินค่าขนมให้พอ แต่งตัวให้ทันสมัย เตรียมรถไว้รอตั้งแต่เนิ่นๆ…เพราะเห็นแก่หน้าตา
นางรู้สึกปวดใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “เตรียมภาพวาดไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง คำนวณดูก็เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ฟังก็แววตาเป็นประกาย “ท่านแม่ ท่านยอมให้ข้าไปแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเองก็บอกแล้วว่าแค่ไปนั่งครู่เดียวประเดี๋ยวก็กลับ คาบเรียนที่ตกหล่นก็จะตามเก็บให้หมด ห้ามผิดคำพูดเด็ดขาด!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าจะรักษาคำพูด”
“เช่นนั้นเจ้าเอาภาพวาดที่จะให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาให้ข้าเถิด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าจะให้คนนำไปที่ร้านตัวเป่าเก๋อเพื่อช่วยห่อให้เจ้า จะถือไปเช่นนี้ไม่ได้”
“เจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม จากนั้นรอยยิ้มก็จางหายไป “ข้า ข้าไม่ได้เอามาด้วย”
“ไม่เป็นไร” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หลายวันมานี้ผลอิงเถาเริ่มวางขายในตลาดแล้ว อีกสักพักข้าจะให้หู่พั่วนำไปส่งให้พวกเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็นำภาพวาดส่งให้หู่พั่วก็พอแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้เจ้าไปร่วมงานครั้งนี้ แต่ในตอนนี้ยังไม่สิ้นสุดพิธีไว้ทุกข์ เจ้าอายุยังน้อยทุกคนจึงไม่ถือสา แต่ตัวเจ้าเองต้องรู้จักระมัดระวัง อย่าเล่นจนเกินขอบเขต ไปที่เรือนของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็นั่งเพียงประเดี๋ยวเดียวแล้วรีบกลับ หากฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ดีกับเจ้าจริงๆ ก็ย่อมเข้าใจเหตุผลและมิตรภาพของเจ้า แต่หากเพียงแค่คิดอยากให้เจ้าไปร่วมสนุก เจ้าก็อย่าได้โทษนาง เพียงแต่ว่าคราวหลังให้จำไว้ว่าคนเช่นนี้ไปเล่นด้วยกันได้ แต่ไม่ใช่มิตรสหายที่แท้จริง” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เจินเจี่ยเอ๋อร์คิดว่านางยังมีเรื่องที่อยากจะพูด แต่ใครจะไปรู้ว่าสืออีเหนียงกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นจะใส่ชุดอะไรไป เงินรางวัลเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
“เตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์สงสัยในเรื่องที่สืออีเหนียงไม่ได้พูดออกมาพลางตอบคำถามนาง “วันนั้นเตรียมจะสวมเสื้อกั๊กหิมะสีคราม ไม่สวมเครื่องประดับ ปักดอกไม้ไข่มุกและเตรียมเงินรางวัลสิบก้อน ทั้งหมดแบ่งเป็นสี่ส่วน”
เดิมทีสืออีเหนียงอยากจะกำชับนางว่า ฟังเจี่ยเอ๋อร์และฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของทุกคน จะทำอะไรให้ตามใจพวกนาง ให้พวกนางเป็นคนตัดสินใจเอง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ความเช่นนี้แต่ตัวเองเอาแต่ย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกรงว่าจะทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์คิดว่าไม่เชื่อใจ จึงเก็บเอาไว้ไม่พูดออกมาแล้วถามเรื่องการเตรียมตัวของนางแทน เมื่อได้ยินนางตอบเช่นนี้จึงพูดไปว่า “สิบก้อนน้อยไปหน่อย อย่างน้อยควรจะเอาไปสักสามสิบก้อน ให้พวกเสี่ยวหลีเตรียมใส่ถุงเงินไว้ เวลาใช้จะได้หยิบใช้สะดวก” จากนั้นก็กำชับป้าซ่งให้ไปช่วยยิบเงินมาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
เงินถูกปรับแต่งตามน้ำหนักแล้วหล่อเป็นรูปมงคลต่างๆ นาๆ ปกติไม่นิยมนำมาใช้ซื้อขายโดยตรง โดยทั่วไปแล้วจะถูกจัดเก็บโดยผู้ที่ดูแลอาหารการกินในเรือนเพื่อใช้เป็นของรางวัล
เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบพูดขึ้นมาว่า “ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเอาเงินมาส่งเจ้าค่ะ”
“บุรุษต้องรับผิดชอบเรื่องในเรือน สตรีต้องดูแลอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่ม” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้เจ้าก็พยายามเก็บเงินส่วนตัวไว้เถิด!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอาย
ป้าตู้สาวใช้ข้างกายไท่ฮูหยินมาพบ บอกว่ามารับจุนเกอกลับไป แต่เมื่อคารวะสืออีเหนียงเสร็จกลับยืนคุยกับสืออีเหนียงต่อ
เจินเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจในทันทีจึงอ้างว่าจะไปเรียกจุนเกอออกมา
สืออีเหนียงเชิญป้าตู้นั่งลง
ป้าตู้นั่งบนเก้าอี้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสี่เป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ไท่ฮูหยินให้บ่าวมาบอกฮูหยินสี่ว่าในเมื่อพูดไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องไปจวนจงฉินปั๋วสักหน่อย ฮูหยินสี่โปรดเตรียมตัวให้พร้อมเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า บอกป้าตู้เรื่องหีบที่เตรียมไว้ให้กานหลานถิง “…ป้าตู้กลับไปแล้วช่วยบอกท่านแม่สักหน่อย ดูว่ามีอะไรต้องเพิ่มเติมอีกหรือไม่ พรุ่งนี้ตอนเช้าหากออกเดินทางยามซื่อช้าไปหรือไม่”
ใบหน้าของป้าตู้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าชื่นชมการตอบสนองของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก “บ่าวจะกลับไปรายงานไท่ฮูหยินให้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มส่งป้าตู้ออกจากห้องไป
จุนเกอคำนับสืออีเหนียง จากนั้นป้าตู้ก็พาเขากลับไปหาไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงเห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้วจึงเร่งให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไป แล้วอุ้มสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนลี่จิ่งเซวียน
ห้องหนังสือของสวีซื่ออวี้ยังเปิดไฟอยู่ เหวินจู๋กำลังจะไปรายงานสวีซื่ออวี้ แต่กลับถูกสืออีเหนียงห้ามเอาไว้ “คุณชายน้อยสองยังเรียนอยู่หรือ”
เหวินจู๋ตอบอย่างนอบน้อมว่า “คุณชายน้อยสองเรียนหนังสือจนถึงยามไฮ่ทุกคืนเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่รบกวนเขาแล้ว” สืออีเหนียงส่งสวีซื่อเจี้ยให้สะใภ้หนานหย่ง ลูบหัวสวีซื่อเจี้ยแล้วกำชับเขาอยู่หลายประโยคก่อนจะกลับเรือนตัวเอง
พึ่งจะล้างหน้าล้างตาเสร็จ สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
สีหน้าของเขาดูจริงจังเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย ดูไม่ออกว่าดื่มสุรามาหรือไม่
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปทักทาย แต่ไม่ได้ถามเขาตรงๆ ว่าเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง ให้ซย่าอีเข้ามาปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋อาบน้ำ พอเขาออกมาก็รินชาร้อนๆ ด้วยตัวเองแล้วไปนั่งลงข้างๆ
“หรือว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก”
สวีลิ่งอี๋จิบชาหนึ่งอึก จากนั้นก็ถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “สำเร็จแล้ว!” แต่แววตากลับไม่มีความปิติยินดีแม้แต่น้อย
ต่างก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
เขายอมเสียสละอวี้เกอก็เพื่อจุนเกอ ในฐานะบิดาเขาคงจะรู้สึกไม่สบายใจมากอย่างแน่นอน
“พวกเราตัดสินใจว่าจะให้จุนเกอหมั้นกับคุณหนูสกุลเจียงก่อนแล้วค่อยให้อวี้เกอไปเล่ออาน” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาว่า “เช่นนี้ ทุกคนก็ต่างเป็นญาติกัน ก็ไม่กลัวว่าใครจะเอาไปนินทา หากนายท่านเจียงจะช่วยฝึกสอนอวี้เกอก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เช่นนั้นท่านโหวจะบอกอวี้เกอเมื่อไรเจ้าคะ”
“หลังจากวันที่จุนเกอกับคุณหนูสกุลเจียงแลกหนังสือดวงกัน” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “เพราะหากเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา อวี้เกอจะทำตัวไม่ถูก”
เหลือเวลาเพียงสองสามเดือนแล้ว
เหมือนว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “จริงสิ เรื่องจุนเกอเกรงว่าเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม นายหญิงเจียงเตรียมจะให้คุณหนูออกเดินทางจากเล่ออานในช่วงต้นเดือนสี่ คาดว่าปลายเดือนห้าก็จะมาถึงเยี่ยนจิง เมื่อถึงเวลานั้นทั้งสองสกุลจะต้องได้พบเจอกัน ทางด้านจุนเกอ…” ท่าทางปวดหัวเป็นอย่างมาก “อาจารย์จ้าวที่เจิ้นซิ่งพูดถึง มีข่าวอะไรหรือไม่”
“หากมีข่าวพี่ใหญ่คงจะมาบอกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ครั้งก่อนที่พี่ใหญ่มาเคยบอกว่าจะส่งคนไปหาหลิวเก๋อเหล่า อยากจะเชิญหลิวเก๋อเหล่ามาช่วยพูด คาดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เชิญเจิ้นซิ่งมา พวกเรามาปรึกษากันสักหน่อย!”
สืออีเหนียงรับคำแล้วเล่าให้เขาฟังว่าพรุ่งนี้จะนำหีบไปเพิ่มให้กานหลานถิง “…เกรงว่าจะได้กลับมาตอนช่วงเย็น ตอนกลางวันท่านโหวจะทานข้าวที่เรือนนอกหรือเรือนในเจ้าคะ”
“ข้าอยู่ทานข้าวที่เรือนนอกดีกว่า” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “รากฐานตรงนั้นทำเสร็จแล้ว พรุ่งนี้จะแวะไปดูสักหน่อย”
ทั้งสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค เห็นว่าดึกมากแล้วจึงพากันไปพักผ่อน
กลางดึกสืออีเหนียงตื่นขึ้นมากะทันหัน
เห็นสวีลิ่งอี๋เอนกายพิงหัวเตียง
ในความมืด ใบหน้าด้านข้างของเขาชัดเจนราวกับหินที่ใช้มีดแกะสลัก
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“ท่านโหวกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
“ข้าทำเจ้าตื่นหรือ” สวีลิ่งอี๋หันหน้ามา น้ำเสียงเรียบเฉยแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า
“เปล่าเจ้าค่ะ” สือเหนียงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าก็นอนไม่หลับเช่นกัน ตอนเช้าตื่นแต่เช้า พอถึงตอนบ่ายก็นอนมาทั้งบ่าย ตอนนี้จึงนอนไม่หลับแล้ว”
สวีลิ่งอี๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน “นอนเถิด ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้าต้องตื่นแต่เช้า”
สืออีเหนียงเห็นว่าเขาไม่อยากพูดก็ไม่ได้บังคับเขา ตอบเพียงว่า “เจ้าค่ะ” แล้วหลับตาลง
กำลังรู้สึกง่วงนอน แต่จู่ๆ ก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดขึ้นว่า “หากญาติเป็นขุนนางนักปราชญ์อย่างมากก็ไม่เกินระดับหก หากบุตรเชื้อพระวงศ์เป็นขุนนางนักปราชญ์อย่างมากก็ไม่เกินระดับสี่”
สืออีเหนียงไม่เคยได้ยินมาก่อน พูดอย่างลังเลว่า “…เป็นข้อกำหนดหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ตั้งแต่ต้าโจวก่อตั้งแคว้นมายังไม่มีการสืบเชื้อสายขุนนางมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีเพียงคนเดียวที่เคยเป็นขุนนางระดับสี่ ที่เหลือก็เพียงแค่ระดับหกระดับเจ็ดเท่านั้น!”
เขาเป็นห่วงอนาคตของสวีซื่ออวี้อยู่หรือ
“เช่นนั้นท่านโหวจะทำอย่างไร”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “เดิมทีข้าตั้งใจจะให้สกุลเซี่ยงช่วยเขา…แต่ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “มีข่าวจากทางสกุลเซี่ยงแล้วหรือ”
“ไม่มี!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “แค่เดาก็รู้ หากมีเรื่องอันใดที่ทำให้ล่าช้า อย่างไรพวกเขาก็ต้องส่งคนมารายงานพวกเจ้า ให้พวกเจ้ารอโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ ไม่ไว้หน้ากันสักนิด คาดว่าคงจะไม่ยินยอม” น้ำเสียงฟังดูผิดหวัง “ต่อให้พรุ่งนี้พี่สะใภ้สองไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นเพราะเห็นแก่พี่สะใภ้สองจึงฝืนใจตอบตกลง แตงที่ถูกเด็ดก่อนเวลาย่อมไม่หวาน ถือเสียว่าอวี้เกอไม่มีวาสนา”
การหมั้นหมายนั้นทั้งสองสกุลต้องเห็นพ้องต้องกัน ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง!
สืออีเหนียงไม่รู้จะพูดอะไร
******
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงพึ่งจะนั่งลงที่ห้องโถงบุปผาทิศตะวันตกก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน พ่อบ้านหลูขอพบเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงมาพบหลูหย่งกุ้ยก่อน
หลูหย่งกุ้ยยกมือคำนับอย่างนอบน้อม “ได้ยินว่าฮูหยินมีเรื่องจะถามหย่งฝู แต่เขากลับตอบได้ไม่ชัดเจน บ่าวโตกว่าเขา รู้อะไรมากกว่า ฮูหยินมีอะไรก็ถามบ่าวได้ขอรับ”
หู่พั่วเข้าใจในทันที
ที่แท้ที่สืออีเหนียงเรียกหลูหย่งฝูไปไม่ใช่เพื่อจะถามอะไรจากเขา แต่ต้องการให้หลูหย่งกุ้ยมาหาสืออีเหนียงด้วยตัวเอง
“พ่อบ้านหลูเป็นคนงานรัดตัว สาวใช้ของข้าเรียกก็ไม่ได้ยิน จึงเรียกหลูหย่งฝูมาถาม” สืออีเหนียงไม่อ้อมค้อมพูดอย่างตรงไปตรงมา
หู่พั่วเห็นหลูหย่งกุ้ยยิ้มเจื่อนๆ
“ข้าน้อยไม่กล้า!”
ไม่ได้ยอมรับแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ แสดงท่าทีให้เห็นในประโยคเดียว
สืออีเหนียงให้หู่พั่วอยู่ต่อแล้วให้สาวใช้คนอื่นๆ ในห้องออกไป พูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นที่อี๋เหนียงทั้งสองเดินทางจากอวี๋หังมาเยี่ยนจิง พวกนางมาพึ่งพาเจ้าใช่หรือไม่”
หลูหย่งกุ้ยไม่มีท่าทีตกใจ เพียงตอบเบาๆ ว่า “ขอรับ”
“ตอนที่พ่อบ้านใหญ่หนิวดูแลจวน บิดาของบ่าวก็เป็นผู้ดูแลห้องบัญชี ทั้งสองคนสนิทสนมกัน พี่ต้าเหมามักจะพาพ่อบ้านหนิวไปดื่มสุรากับบิดาบ่าวที่เรือน บ่าวมักจะเดินตามหลังพี่ต้าเหมาไป จึงได้รู้จักอี๋เหนียงสองในตอนนั้นขอรับ”
สืออีเหนียงคำนวณเวลาดูแล้วว่าอยู่ในช่วงเดียวกัน
“มีครั้งหนึ่ง นายท่านเมา…” เมื่อพูดถึงตรงนี้หลูหยุ่งกุ้ยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง “อี๋เหนียงสองให้ข้านำจดหมายมาให้พี่ต้าเหมา ต้องการจะไปกับพี่ต้าเหมา พี่ต้าเหมาบอกว่า…จะทำให้พ่อบ้านใหญ่หนิวลำบากไม่ได้จึงไม่ได้ตอบตกลง” เขาพูดตะกุกตะกัก “อี๋เหนียงสองจึงด่าพี่ต้าเหมา…ไม่รู้ว่านางด่าแรงเกินไปหรือว่าพี่ต้าเหมาตรอมใจ…จึงได้กระโดดลงบ่อน้ำ…ไม่กี่วันต่อมาบัญชีร้านที่หังโจวก็เกิดปัญหา และมีข่าวว่านายท่านใหญ่รับอนุภรรยา…พ่อบ้านใหญ่หนิวจึงได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ดูแลแล้วพาบุตรชายไปเปิดร้านผ้าไหมเล็กๆ ในเจิ้นเจียงเพื่อหาเลี้ยงชีพ!”
