ไท่ฮูหยินถามถึงอาจารย์เจี่ยนว่า “…เจ้าเชิญนางมาที่จวนของเราดีหรือไม่ ให้นางสอนคนในโรงเย็บปักของเราทำงานเย็บปักถักร้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามักจะร่างลวดลายแล้วให้พวกนางเป็นคนปัก แต่บางครั้งพวกนางก็ไม่สามารถทำได้ หากอาจารย์เจี่ยนมาได้ก็จะช่วยเบาแรงเจ้า”
เวลาอยู่เรือน เสื้อผ้าเครื่องประดับของสืออีเหนียงนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมีแขกมาหานางก็จะแต่งตัวให้ดี หากไปเป็นแขกจวนอื่น…ตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหวมาก็ยังไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าซ้ำกันเลยสักชุด นี่เป็นนิสัยการแต่งกายของนางเมื่อก่อนหน้านี้ จะแบ่งออกเป็นทางการและไม่ทางการ ไม่ทางการจะเน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก ส่วนเวลาเป็นทางการก็จะเน้นความหรูหราและสวยงาม
นางพบว่าเสื้อผ้าของสตรีในจวนสวีมีมากมาย จึงได้ค่อยๆ เผยนิสัยของตัวเองทีละน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินจะสังเกตเห็น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เยี่ยนจิงอากาศค่อนข้างหนาว ไม่รู้ว่าอาจารย์เจี่ยนจะมาหรือไม่ ข้าจะให้คนส่งจดหมายไปที่หังโจวเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า “น่าเสียดายที่บุตรสาวและหลานสาวในเรือนมีน้อย มิเช่นนั้นเมื่ออาจารย์เจี่ยนมาก็จะได้สอนงานเย็บปักถักร้อยให้แก่บรรดาสตรีได้”
ความจริงแล้วเรื่องที่จะเชิญอาจารย์เจี่ยนมาเยี่ยนจิงสืออีเหนียงได้คิดไว้อยู่เสมอ ไม่ได้บอกว่าหังโจวไม่ดี อย่างไรเสียหังโจวก็เป็นบ้านเกิดของอาจารย์เจี่ยน ทุกคนมักจะรู้สึกว่าบ้านเกิดของตัวเองนั้นดี การไปทำมาหากินต่างมณฑลก็เหมือนกับการหนีออกจากบ้าน อีกทั้งนางยังมีหลักแหล่งที่แน่นอนอยู่ที่นั่น แต่หากสามารถมาสร้างชื่อเสียงในเยี่ยนจิงแล้วค่อยกลับไป ชื่อเสียงก็จะมากขึ้นอีก ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาส แต่ตอนนี้เมื่อไท่ฮูหยินพูดเช่นนี้ ตนจึงตัดสินใจว่าเมื่อกลับมาจากจวนจงฉินปั๋วก็จะไปขอให้หลัวเจิ้นซิ่งนำจดหมายส่งไปให้อาจารย์เจี่ยนทันที
ไท่ฮูหยินพูดถึงเสื้อซับในที่สืออีเหนียงทำให้นางเมื่อสองวันก่อน “ปักดอกโบตั๋นได้สวยงามเป็นอย่างมากราวกับของจริง โชคดีที่ใส่ไว้ข้างใน หากใส่ไว้ข้างนอกเกรงว่าจะถูกคนอื่นจับจ้องเอา!”
“ท่านชอบก็ดีแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แค่ปักดอกไม้ไม่กี่ดอกบนแขนเสื้อเท่านั้นเอง จะถูกจับจ้องได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ต่อไปให้คนโรงเย็บปักเป็นคนทำเถิด” ไท่ฮูหยินพูดต่อว่า “ของแบบนี้ต้องใช้สายตาเยอะ”
“ถ้าหากยุ่งมากก็คงทำให้ท่านไม่ได้” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “แต่หลายวันมานี้ข้าว่างไม่มีอะไรทำ จึงทำให้ท่านหนึ่งตัวเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนคุยไปหัวเราะไปจนกระทั่งถึงจวนจงฉินปั๋ว
เมื่อรู้ว่าช่วยมาเพิ่มสินเดิมให้คุณหนูเจ็ด ฝ่ายรายงานของสกุลกานก็ส่งคนไปรายงานกานฮูหยิน ส่งผู้ดูแลมาเชิญทั้งสองคนเข้าไปในจวนด้วยความเคารพ
ทั้งสองสกุลเป็นขุนนาง รูปแบบเรือนในจวนจึงคล้ายกัน ไม่ได้มีความรู้สึกแปลกใหม่ สืออีเหนียงพยุงไท่ฮูหยินไปที่ห้องฝั่งตะวันออกของห้องโถงหลัก พึ่งจะเดินมาถึงประตูเรือนก็เห็นสาวใช้เดินห้อมล้อมกานฮูหยินออกมา
นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดง ใบหน้าที่สวยงามของนางดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย ยิ้มทักทายไท่ฮูหยินมาแต่ไกล “ท่านมาแล้ว!” ต้อนรับทั้งสองคนไปนั่งที่เรือนหลัก
“กำลังยุ่งอยู่กับงานแต่งของหลานถิงใช่หรือไม่” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางมองกานฮูหยิน “เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก!”
กานฮูหยินได้ฟังก็ยิ้มขอบคุณ “แต่ประเด็นคือข้าชอบทำตัวให้ยุ่งน่ะสิ”
ขณะที่กำลังพูดทักทายกัน สาวใช้น้อยก็ยกน้ำชามาวาง
ป้าซ่งส่งรายการของขวัญให้ผู้ดูแลที่อยู่ข้างกายกานฮูหยิน กานฮูหยินพูดด้วยความเกรงใจ ระหว่างนั้นผู้ดูแลได้มาปรึกษากานฮูหยินเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งของหลานถิง แล้วยังมีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “หย่งชังโหวฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
“ช่างบังเอิญเสียจริง!” ไท่ฮูหยินพูดด้วยความประหลาดใจ
“พวกท่านทั้งสองช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ” กานฮูหยินยิ้ม แล้วลุกขึ้นไปต้อนรับหวงฮูหยินเข้ามา
คุณนายสามสกุลหวงก็มากับหวงฮูหยินด้วย ทุกคนทักทายกันอย่างครึกครื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหาหลานถิง
เมื่อสืออีเหนียงพบว่าหลานถิงอาศัยอยู่ที่เรือนเล็กทางตะวันออกของเรือนหลัก ในใจก็แอบรู้สึกประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าที่ที่นางอาศัยอยู่จะเล็กขนาดนี้
ส่วนหลานถิงที่เห็นสืออีเหนียงก็เบิกตากว้าง
สืออีเหนียงส่งยิ้มให้นาง
หลานถิงได้สติกลับมารีบเดินเข้าไปคารวะทุกคน
ทุกคนยิ้มพลางนั่งลงในห้องโถง
ไท่ฮูหยินจับมือหลานถิง ส่วนหวงฮูหยินก็อวยพรความเป็นมงคลให้มากมาย
แม้ว่าหลานถิงจะตั้งใจฟัง แต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้
ไท่ฮูหยินมองแล้วหัวเราะพลางพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ให้สืออีเหนียงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเจ้าเถิด พวกเราจะไปนั่งที่เรือนท่านแม่ของเจ้า!” จากนั้นก็กลับไปที่เรือนพร้อมกับกานฮูหยิน
กานหลานถิงยิ้มพลางมองสำรวจสืออีเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มีอะไรหรือ” สืออีเหนียงเองก็สำรวจตัวเองเช่นกัน เกรงว่าจะมีอะไรที่ไม่เหมาะสม
“งดงามมาก!” กานหลานถิงยิ้ม
สืออีเหนียงยิ้มตอบรับ พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าตั้งใจส่งเทียบเชิญมาเชิญข้าไปงานเลี้ยง เสียดายที่ข้าไปไม่ได้ ในใจยังคงคิดถึงเรื่องนี้มาตลอด!”
“ไอ๊หยา!” เมื่อกานหลานถิงได้ฟังก็โบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “มาร่วมงานเลี้ยงก็เพียงแค่กินดื่มเท่านั้นไม่มีอะไรหรอก” จากนั้นก็จูงมือนางไปนั่งที่ห้องด้านใน “หาโอกาสได้ยากที่เจ้าจะมาหาข้า พวกเรามานั่งคุยกันสักหน่อยเถิด”
บรรดาสาวใช้กำลังจัดของใส่หีบ
หลานถิงพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ห้องข้ารกนิดหน่อย”
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “จวนของข้าก็กำลังปลูกเรือน ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเรือนของเจ้าเสียอีก”
“คนในครอบครัวเจ้าน้อยขนาดนั้นยังต้องปลูกเรือนเพิ่มอีกหรือ” กานหลานถิงนั่งคุยกับสืออีเหนียงอยู่ที่เตียงเตาริมหน้าต่าง “ไม่เหมือนสกุลเรา ช่วงรุ่นที่สี่ไม่ได้มีการแยกจวนจึงอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด จะเหยียดแข้งเหยียดขาก็ไม่สะดวก” นางพูดหยอกล้อตัวเอง
ไม่แปลกใจเลยที่เรือนที่นางอาศัยอยู่จะเล็กขนาดนี้
สืออีเหนียงยิ้มพลางหยิบถุงออกมาจากแขนเสื้อส่งให้หลานถิง “ไข่มุกจากทางใต้ หากมีรูปแบบที่เหมาะสม ก็เอามาทำเป็นเครื่องประดับได้!”
หลานถิงยิ้มพลางรับมา พูดขอบคุณสืออีเหนียง
มีสาวใช้น้อยนำชามาวาง
หลานถิงถามไถ่ถึงสือเหนียง “…ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงพูดว่า “ข้าเคยเจอนางครั้งที่แล้วตอนครบรอบสามสิบห้าวันของพี่เขยสิบ” จากนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกความจริงกับนาง “ตอนพวกเรายังเด็กๆ ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร นางจึงไม่อยากจะพบหน้าข้า”
หลานถิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ในงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิครั้งนั้นข้าเองก็ดูออกเช่นกัน บางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับโชคชะตา” น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน
สืออีเหนียงในใจพลันรู้สึกอบอุ่น ถามถึงกานเฉาเอ๋อร์ว่า “…เหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูสามเล่า!”
ทันทีที่พูดจบ ผ้าม่านที่ประตูก็ถูกเปิด สตรีสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงนางหนึ่งเดินเข้ามา
สืออีเหนียงหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นเฉาเอ๋อร์นี่เอง
ในมือนางถือเสื้อผ้าหลายชุด เดินไปบ่นไปว่า “จะแต่งงานอยู่แล้วทำไมไม่ใส่ใจเช่นนี้ เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นผ้าแพรหังโจวชั้นดี แม้ว่าตัวเจ้าเองจะไม่ชอบ แต่ก็สามารถให้เป็นของรางวัลแก่บรรดาสาวใช้ได้สวมใส่…” เมื่อเงยหน้ามองก็พบว่าสืออีเหนียงนั่งอยู่ในห้อง รีบหยุดบทสนทนา ยิ้มแล้วพูดว่า “หย่งผิงโหวฮูหยินมาแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงลุกขึ้นทักทายนาง หลานถิงที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะคิกคัก “เรียกสืออีเหนียงเถิด เจ้าเรียกเช่นนี้ทำให้สืออีเหนียงดูแก่นัก!”
เฉาเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าเบื่อหน่าย “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!” จากนั้นก็ขอโทษสืออีเหนียง “หย่งผิงโหวฮูหยินอย่าได้เก็บมาใส่ใจ น้องหญิงเจ็ดของข้าก็เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนี้”
สืออีเหนียงรู้สึกอิจฉาที่เวลาหลานถิงกับเฉาเอ๋อร์ทะเลาะกันและตำหนิกันด้วยความสนิทสนม ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสามเรียกข้าว่าสืออีเหนียงเถิด จะว่าไปแล้วพวกเราก็รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”
เฉาเอ๋อร์ได้ฟังแล้วก็มีสีหน้าลังเล
หลานถิงหัวเราะลั่น “เจ้าเห็นหรือยัง สืออีเหนียงก็ไม่อยากให้เจ้าเรียกเช่นนั้น”
เฉาเอ๋อร์ถลึงตาใส่นาง พึ่งจะอ้าปากเรียก “สืออีเหนียง” ก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากข้างนอกห้อง เฉาเอ๋อร์มีสีหน้าเคร่งขรึม หันไปกำชับสาวใช้ “ไปดูสิว่าใครกำลังส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย แล้วให้บรรดาผู้ดูแลไปจัดการ”
สาวใช้น้อยตอบรับตัวสั่นเทา
เฉาเอ๋อร์รีบอธิบายให้สืออีเหนียงฟังว่า “หลายวันมานี้ในจวนมีเรื่องมากมาย บรรดาสาวใช้จึงค่อนข้างตื่นตระหนก”
บรรดาสาวใช้ก็เป็นคน ไม่มีทางที่จะสงบนิ่งได้ตลอดเวลา เฉาเอ๋อร์อาจจะรู้สึกว่าการทำให้แขกต้องเห็นภาพเช่นนี้นั้นทำให้เสียหน้า
สืออีเหนียงกำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยความเข้าใจ สาวใช้น้อยผู้นั้นก็เปิดม่านเข้ามา
ใบหน้าของนางซีดเผือก เมื่อเดินเข้ามานางก็เหลือบมองสืออีเหนียง อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
สืออีเหนียงลุกขึ้นกล่าวลา “…ข้าแค่อยากจะมาดูเจ้า วันที่เจ้าออกเรือนข้าอาจจะไปดื่มสุรามงคลที่จวนสกุลเหลียง คงมาส่งเจ้าไม่ได้”
เฉาเอ๋อร์มองสาวใช้ผู้นั้น สีหน้าดูไม่ดีนัก ฝืนยิ้มพลางรั้งสืออีเหนียงไว้ “นั่งต่ออีกสักหน่อยเถิด!”
หลานถิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าแต่งงานแล้ว พวกเราไม่รั้งเจ้าไว้ดีกว่า ครั้งหน้าหากข้ามีงานเลี้ยงอีก เจ้าจะต้องมาให้ได้นะ”
“แน่นอน แน่นอน!” สืออีเหนียงยิ้ม สองพี่น้องมาส่งนางที่ประตู
ระหว่างทางได้เจอกับสาวใช้สองคนกำลังรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กทางทิศใต้
แม้ว่าสืออีเหนียงจะแปลกใจ แต่อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของสกุลกาน นางจึงทำเป็นมองไม่เห็นแล้วมุ่งหน้าไปที่เรือนกานฮูหยิน
คุณนายสามสกุลหวงกำลังพูดอะไรบางอย่าง ทำเอาไท่ฮูหยินกับหวงฮูหยินหัวเราะกันใหญ่ แต่กลับไม่เห็นกานฮูหยิน เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงกลับมาแล้ว ไท่ฮูหยินจึงยิ้มแล้วพูดว่า “พูดคุยกันเสร็จเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นางกำลังยุ่ง ข้าไม่อาจอยู่นานได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย
คุณนายสามสกุลหวงจับมือนาง “ชุดนี้งามมากเลย”
ไท่ฮูหยินกลั้นยิ้ม ท่าทางภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างมาก
หวงฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เหมือนกับตอนสาวๆ ไม่มีผิด เอะอะก็แต่งตัวให้คนอื่นถึงจะมีความสุข ตัวเองอายุมากแล้วใช้ไม่ได้แล้ว ก็เอาออกมาให้ลูกสะใภ้”
ไท่ฮูหยินและหวงฮูหยินทำตัวสบายๆ เป็นอย่างมาก ยิ้มพลางพูดกับสืออีเหนียงว่า“วันหลังเจ้าก็ทำชุดให้สะใภ้สามสกุลหวงบ้างสิ นางจะได้ไม่ต้องอิจฉาเวลาเห็นข้าแต่งตัวให้เจ้า”
คุณนายสามสกุลหวงยิ้มพลางบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย “ถังน้ำอย่างข้าจะใส่ชุดอะไรได้!”
อย่าว่าแต่ฮูหยินทั้งสองเลย แม้แต่คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องก็ยังปิดปากหัวเราะ
คุณนายสามสกุลหวงกลัวจะเสียบรรยากาศ จึงถอนหายใจแล้วพูดเสียงดังจนทุกคนได้ยินว่า “ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้สามของเจ้าก็บอกว่าข้าเหมือนกาน้ำชา แต่นี่ก็เป็นเรื่องเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ข้าจึงกลายเป็นถังน้ำแล้ว”
ทุกคนหัวเราะดังลั่น
คุณนายใหญ่สกุลกานมาแล้ว
นางยิ้มพลางทักทายทุกคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขอย่างปกปิดไม่อยู่ ท่าทางดีใจยิ่งกว่ากานฮูหยินเสียอีก หากใครไม่รู้ก็คงคิดว่าวันนี้เป็นงานแต่งของบุตรสาวนาง
“ข้าได้ยินเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล ในใจยังสงสัยว่าใครกันที่มีความสามารถเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นคุณนายสามสกุลหวงนี่เอง” คุณนายใหญ่สกุลกานเดินเข้ามาก็ชมคุณนายสามสกุลหวง ท่าทางดูสนิทสนมกว่าเมื่อก่อนเสียอีก พูดพลางคำนับไท่ฮูหยินและหวงฮูหยิน “ไม่แปลกที่ฮูหยินทั้งสองเวลาไปไหนมาไหนก็ต้องพาสองคนนี้ไปด้วย คนหนึ่งก็เป็นเสียงหัวเราะ อีกคนหนึ่งก็งดงามและเฉลียวฉลาด ในเยี่ยนจิงคงหาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว!”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เดิมทีข้าคิดว่ามีเพียงคุณนายสี่สกุลถังที่พูดเป็น ที่แท้สกุลกานก็ได้ซ่อนคนพูดเป็นอย่างคุณนายใหญ่ไว้นี่เอง!”
คุณนายใหญ่สกุลกานปิดปากหัวเราะ ท่าทางมีความสุขเป็นอย่างมาก
คุณนายสามสกุลหวงและสืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปคำนับคุณนายใหญ่สกุลกาน
คุณนายใหญ่สกุลกานเชิญทั้งสี่คนไปทานอาหารที่ห้องโถงบุปผาที่อยู่ข้างๆ “ท่านแม่มีเรื่องนิดหน่อย ข้าขอดื่มสุราคารวะแทนท่านแม่ก็แล้วกัน”
แม้ว่าที่จวนจะมีบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว แต่ด้านนอกก็มีผู้ดูแลคอยดูแล ส่วนด้านในก็มีผู้ดูแล แล้วยังมีลูกสะใภ้ที่เรียกใช้ได้ แม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ขาดกานฮูหยินไป แต่ทุกคนก็เคยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเลี้ยงมาแล้ว การที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ คุณนายใหญ่สกุลกานยิ้มพลางพาทุกคนไปที่ห้องโถงบุปผา
