กลับมาจากจวนสกุลเซี่ยง สืออีเหนียงก็เริ่มเตรียมพิธีสิ้นสุดไว้ทุกข์หยวนเหนียง และในตอนนี้เองหลัวเจิ้นซิ่งก็มาพอดี
“พี่ใหญ่” สืออีเหนียงเดินเข้าไปต้อนรับ “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้าพาอาจารย์จ้าวมาเจอท่านโหว” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้ม “ถือโอกาสมาเยี่ยมเจ้า มาบอกเจ้า จะได้ไม่ต้องส่งคนไปถามข้า”
“อาจารย์จ้าวมาแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พลันปิติยินดี ไม่สนใจคำพูดหยอกล้อของหลัวเจิ้นซิ่ง นางรีบพูดว่า “ท่านโหวว่าเช่นไรบ้าง”
“พวกเขาสองคนกำลังพูดคุยกัน” หลัวเจิ้นซิ่งพูด “แต่ดูแล้วน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี” สืออีเหนียงเชิญหลัวเจิ้นซิ่งไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องปีกทางทิศตะวันออก “ท่านไม่รู้ สองสามวันมานี้จุนเกอไม่ก้าวหน้าเลย ทำเอาท่านโหวกังวลเป็นอย่างมาก เมื่อวานเขายังสอนจุนเกอเขียนหนังสือด้วยตัวเอง จุนเกอกลัวจนจับปากกาไม่อยู่ หากไม่มีข้าอยู่ข้างๆ ท่านโหวคงจะโมโห…อาจารย์จ้าวมาแล้วก็ดีเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็คงจะไม่แย่เหมือนตอนนี้”
หลัวเจิ้นซิ่งพยักหน้า “เรื่องนี้สำเร็จได้ก็เพราะว่าหลิ่วเก๋อเหล่า หากไม่ใช่จดหมายของเขา เกรงว่าคงจะเชิญอาจารย์จ้าวมาไม่ได้”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายขอบคุณแล้วส่งของฝากจากเยี่ยนจิงไปให้คุณนายสาม”
หลัวเจิ้นซิ่งเห็นว่านางเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันเจ้ารู้ความขึ้นไม่น้อย คิดไม่ว่าน้องหญิงสิบเอ็ดที่เมื่อก่อนไม่รู้ความอะไร ตอนนี้กลับโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจแล้วรีบพูดว่า “เป็นเพราะไท่ฮูหยินสั่งสอนดีเจ้าค่ะ” จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ยกผลไม้เข้ามา “…ผลซิ่งที่ใต้เท้าเฉินส่งมาให้เจ้าค่ะ”
“อ้อ!” หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็เกิดความสนใจ “ใต้เท้าเฉินที่เช่าที่ดินของเจ้าคนนั้นหรือ”
เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนหัวข้อสนทนาสำเร็จแล้ว สืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“พึ่งจะปีแรกก็มีผลผลิตแล้ว”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “เก็บมาจากไร่ของใต้เท้าเฉินเอง ส่งมาให้พวกข้าลองทาน”
กำลังพูดคุยกันอยู่ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวเชิญนายท่านไปที่ห้องหนังสือขอรับ”
หลัวเจิ้นซิ่งจึงขอตัวลาสืออีเหนียง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามเชิญอาจารย์จ้าวมาแล้ว แต่สวีลิ่งอี๋จะพอใจหรือไม่ยังไม่รู้ สืออีเหนียงจึงรีบบอกให้ป้าซ่งไปสืบข่าว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ป้าซ่งก็กลับมา
“ท่านโหวเชิญอาจารย์จ้าวทานข้าวที่โถงบุปผาเจ้าค่ะ” นางยิ้ม “แล้วยังบอกให้พ่อบ้านไป๋ทำความสะอาดเรือนซวงฝูข้างห้องหนังสือเพื่อทำเป็นห้องหนังสือให้คุณชายน้อยสี่ด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สวีลิ่งอี๋กลับมาตอนเย็น นางถามสวีลิ่งอี๋ “อาจารย์จ้าวเก่งสมชื่อเสียงหรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่เลว” สวีลิ่งอี๋ยังคงปิดบัง “แต่ว่า ในเมื่อเขาได้รับความโปรดปรานจากหลิวเก๋อเหล่า ข้าคิดว่าคุณธรรมและความรู้ของเขาคงจะไม่แย่”
ได้รับการชื่นชมเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
สืออีเหนียงวางใจไปครึ่งหนึ่ง
สวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องบุตรชายกับนาง “เมื่อพิธีไว้ทุกข์สิ้นสุดแล้วก็ให้จุนเกอไปคารวะอาจารย์จ้าวอย่างเป็นทางการ สำหรับอวี้เกอ รอให้เสร็จสิ้นงานเลี้ยงวันเกิดของท่านแม่แล้ว ก็ส่งเขาไปที่เล่ออานเถิด”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “อวี้เกอรู้เรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ”
“ยังไม่รู้” สวีลิ่งอี๋พูด “รอให้จุนเกอคารวะท่านอาจารย์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน เขาจะได้ถือโอกาสพักผ่อนสักสองสามวัน”
มีช่วงเวลาพักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน!
สืออีเหนียงถอนหายใจในใจ เมื่อจุนเกอเจอกับอาจารย์จ้าวนางก็แอบถามเขาเป็นการส่วนตัว “อาจารย์จ้าวเป็นอย่างไรบ้าง”
จุนเกอได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “อาจารย์เป็นมิตรกับข้ามากขอรับ”
สืออีเหนียงวางใจ ยิ้มแล้วลูบหัวจุนเกอเบาๆ
ฉินอี๋เหนียงมาแล้ว
สืออีเหนียงไม่ได้ไปมาหาสู่กับบรรดาอี๋เหนียงบ่อยนัก
นางบอกให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา
เห็นจุนเกอนั่งดื่มนมแพะอยู่บนเตียงเตาของสืออีเหนียง ไม่มีป้าตู้และคนอื่นๆ อยู่ข้างๆ ฉินอี๋เหนียงก็ตกใจ แต่เพียงครู่เดียว จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง จากนั้นก็เอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดหรือ”
ฉินอี๋เหนียงกล่าวขอบคุณ นั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “ไม่มีเรื่องอันใดเจ้าค่ะ” แต่สายตากลับมองไปที่จุนเกอ “แค่อยากมานั่งเล่นที่เรือนของฮูหยิน”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าระยะห่างของพวกนางสองคนตอนนี้มันดีแล้ว ตนไม่อยากสนิทสนมกับพวกนางไปมากกว่านี้ จึงพูดอย่างอ้อมค้อม “หากเจ้าไม่มีเรื่องอันใด เช่นนั้นข้าจะพาจุนเกอไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน”
ฉินอี๋เหนียงตกใจ รีบลุกขึ้นยืนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วลังเลที่จะพูด
สืออีเหนียงอุ้มจุนเกอลงมาจากเตียงเตา จับมือเขากำลังจะเดินออกไป
“ฮูหยินเจ้าคะ” ฉินอี๋เหนียงเรียกนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
สืออีเหนียงหันกลับไปมอง
ใบหน้าของฉินอี๋เหนียงเต็มไปด้วยลังเล ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูดเบาๆ ว่า “ฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่า ท่านโหวเชิญอาจารย์ที่มีความสามารถคนหนึ่งมา…จึงอยากถามว่า คุณชายน้อยสองก็ต้องไปเรียนที่เรือนซวงฝูด้วยใช่หรือไม่”
ข่าวช่างไปเร็วจริงๆ
อาจารย์จ้าวพึ่งจะมาได้เพียงสองวัน ฉินอี๋เหนียงก็รู้แล้ว
แต่เรื่องบางเรื่อง ตัวเองพูดไม่ได้
“เรื่องนี้เกรงว่าต้องถามท่านโหว”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินนางพูดถึงสวีลิ่งอี๋ ก็รู้สึกอึดอัด ฝืนยิ้มเอ่ย “ข้าแค่สงสัย ไม่จำเป็นต้องรบกวนทานโหวเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วขอตัวลา
สืออีเหนียงพาจุนเกอไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ช่างตัดเย็บชุดกำลังวัดตัวให้ไท่ฮูหยิน เมื่อเห็นสืออีเหนียงจับมือจุนเกอเดินเข้ามา ไท่ฮูหยินก็รีบกวักมือเรียกพวกเขาสองคน “รีบมาช่วยข้าดู ผ้าลายดอกผืนนี้สวยหรือว่าผ้าไหมลายดอกโบตั๋นสวย?”
กำลังตัดเสื้องานเลี้ยงวันเกิดให้ไท่ฮูหยิน
ผ้าลายดอกคือสีแดงเกาลัด ผ้าลายดอกโบตั๋นคือสีแดงสด งานเลี้ยงวันเกิด แน่นอนว่าสีแดงสดย่อมดีกว่า
“ข้าคิดว่าผืนนี้งามกว่าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงชี้ไปที่ผ้าไหมลายดอกโบตั๋นสีแดงสด
“ลายตาเกินไปหรือเปล่า!” ไท่ฮูหยินลังเลใจ
“สวมเสื้อผ้าสีสดใสจะได้ดูมีชีวิตชีวาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า สั่งตัดเป็นผ้าไหมลายดอกโบตั๋นสีแดงสด จากนั้นก็ลากสืออีเหนียงไปเลือกเครื่องประดับ สืออีเหนียงอยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยินตลอดทั้งช่วงบ่าย
เมื่อถึงวันที่สิบเก้า เชิญพระสงฆ์และนักพรตมาทำพิธี รื้อม่านสีขาวในห้องไว้ทุกข์ของหยวนเหนียง จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าสีสันสดใสให้พวกเด็กๆ ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีไว้ทุกข์แล้ว
วันต่อมา สวีลิ่งอี๋พาจุนเกอไปที่เรือนซวงฝูก่อน ไปคารวะอาจารย์จ้าวอย่างเป็นท่านการ จากนั้นก็เริ่มเรียน ช่วงบ่ายก็เรียกสวีซื่ออวี้ไปที่ห้องหนังสือ สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่ในห้องหนังสือตลอดทั้งช่วงบ่าย สวีซื่ออวี้ออกมาจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าซีดเซียว ก้าวเดินอย่างโซซัดโซเซ
เมื่อถึงพลบค่ำ ทั้งจวนก็รู้ว่าสวีซื่ออวี้กำลังจะไปเล่ออาน
ฉินอี๋เหนียงรีบวิ่งเข้ามาในห้องของสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ ข้าขอร้องท่าน ขอร้องท่าน คุณชายน้อยสองจะไปเล่ออานไม่ได้นะเจ้าคะ” นางเข้ามาคุกเข่าก้มหัวให้สืออีเหนียง
ในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่
ฉินอี๋เหนียงก้มหัวจนหน้าผากแดง
ป้าซ่งและหู่พั่วรีบจับนางเอาไว้
“ฉินอี๋เหนียงทำอะไรเจ้าคะ” ป้าซ่งเหลือบมองสืออีเหนียงที่นั่งสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บนเตียงเตาแล้วเกลี้ยกล่อมฮูหยินสอง “มีอะไรก็พูดกันดีๆ เหตุใดถึงต้องคุกเข่าก้มหัวเจ้าคะ หากฮูหยินไม่รับปาก ท่านก็จะก้มหัวต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้หรือ”
ประโยคนี้น่าฟัง
นายหญิงไม่รับปากก็ก้มหัวต่อไปเรื่อยๆ เช่นนั้นก็หมายความว่าบังคับให้นายหญิงรับปาก แบบนี้จะแตกต่างอะไรจากบรรดาขุนนางที่อยากจะสิ้นชีพบนตำหนักจินหลวนเล่า
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” ใบหน้าของฉินอี๋เหนียงเต็มไปด้วยน้ำตา นางส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้แก้ตัวอะไรไปมากกว่านี้ พูดอย่างสะอึกสะอื้น “ฮูหยินเจ้าคะ จะให้คุณชายน้อยสองไปเล่ออานไม่ได้นะเจ้าคะ เขายังเด็ก เคยไปไกลสุดก็แค่ซีซาน…ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ” นางพยายามเข้ามาใกล้สืออีเหนียง “คุณชายน้อยสองเป็นเด็กรู้ความ ต่อไปเขาจะต้องกตัญญูต่อท่านเหมือนคุณชายน้อยสี่แน่นอนเจ้าค่ะ…ครั้งก่อนที่ท่านกักบริเวณเขา เขาก็ไม่ไปไหน อยู่แต่ในเรือนอย่างรู้ความ แล้วยังบอกว่าที่ฮูหยินทำไปก็เพื่อเขา…ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านนะเจ้าคะ” พูดจบก็ย่อตัวลงจะคุกเข่า “ข้าก้มหัวให้ท่าน ขอร้องท่านอย่าให้คุณชายน้อยสองไปเล่ออานเลยเจ้าค่ะ…”
เยี่ยนหรงเปิดม่านเข้ามา
“เอาล่ะ!” สืออีเหนียงพูดเสียงดัง “ผมเผ้ายุ่งเหยิงเช่นนี้!” จากนั้นก็พูดอย่างเคร่มขรึม “สาวใช้ของฉินอี๋เหนียงเล่า เหตุใดไม่รู้จักตักน้ำมาให้ฉินอี๋เหนียงล้างหน้าล้างตา”
นางพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชาและสายตาที่เยือกเย็น ทำให้คนที่อยู่ในห้องต่างหวาดกลัว
ลี่ว์อวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รีบพาสาวใช้สองคนออกไปตักน้ำเข้ามา
ฉินอี๋เหนียงมองดูสืออีเหนียงที่มีสีหน้าเย็นชา ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ได้สติกลับมา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร สืออีเหนียงก็บอกสาวใช้ว่า “ไปยกเก้าอี้มาให้ฉินอี๋เหนียง”
สาวใช้รีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปยกเก้าอี้เข้ามา
สืออีเหนียงชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งลงก่อนเถิด”
ฉินอี๋เหนียงยังคงตกใจ ป้าซ่งขยิบตาให้หู่พั่ว จากนั้นก็จับฉินอี๋เหนียงไปนั่งที่เก้าอี้
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมให้คุณชายน้อยสองไปเล่ออาน” สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดช้าๆ
ฉินอี๋เหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณชายน้อยสองยังเด็กเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงขัดจังหวะนาง “กานหลัวเป็นสมุหนายกตั้งแต่อายุสิบสอง เหลียงเก๋อเหล่าสอบบัณฑิตซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบสอง คุณชายน้อยสองไม่เด็กแล้ว”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เล่ออานไกลเกินไปเจ้าค่ะ…”
“ลูกผู้ชายที่ดีต้องมีความทะเยอทะยาน ต้องเดินทางรอบโลก ชื่นชมทิวทัศน์ จะเอาแต่เลี้ยงอยู่ในเรือน ทนแดดทนฝนไม่ได้เหมือนดอกไม้ที่อ่อนแอได้เช่นไร ต่อไปเขาจะปกป้องพวกเราจากลมพายุฝนได้อย่างไร”
“แต่ แต่ว่า…” ฉินอี๋เหนียงกังวลจนหน้าแดง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
สืออีเหนียงจิบชาอีกครั้งแล้วพูดว่า “เจ้ามาหาข้า คุณชายน้อยสองรู้หรือไม่”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ฉินอี๋เหนียงพูด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ฉินอี๋เหนียงควรจะถามความคิดเห็นของคุณชายน้อยสองก่อน เพราะคนที่จะไปเล่ออานไม่ใช่ฉินอี๋เหนียง แต่เป็นคุณชายน้อยสอง”
ฉินอี๋เหนียงถึงได้เข้าใจ
“ฮูหยิน” นางมองไปที่สืออีเหนียง “ล้วนแต่เป็นความต้องการของข้าเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงเหลือบมองนาง
“ฉินอี๋เหนียงทำเกินหน้าที่ตัวเองแบบนี้ คนที่รู้จักเจ้าคงจะคิดว่าเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา คนที่ไม่รู้จักเจ้าคงจะคิดว่านี่คือความต้องการของคุณชายน้อยสอง ยิ่งไปกว่านั้น การที่ส่งคุณชายน้อยสองไปเล่ออาน ก็เพื่อคุณชายน้อยสอง สกุลเจียง เคยมีราชครูถึงสองคน คุณชายน้อยสองไปเรียนที่หอตำราจิ่นสี เจียงซง อาจารย์เจียง เจ้าของหอตำราจิ่นสี เป็นถึงจอหงวนในสมัยฮ่องเต้เจี้ยนอู่ มีอาจารย์เช่นนี้ค่อยสั่งสอนคุณชายน้อยสอง เป็นโอกาสที่หาได้ยาก แต่เจ้าไม่ถามความคิดเห็นของคุณชายน้อยสอง แล้วมาเอะอะโวยวายเช่นนี้ จะให้คุณชายน้อยสองเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พลันหน้าซีด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตกใจของหงซิ่วดังขึ้นมาในห้อง
“ท่านโหวเจ้าคะ!”
