คำพูดของเหวินอี๋เหนียงในครั้งนี้มีเหตุผลเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่สืออีเหนียงเป็นห่วงมากที่สุดคือสาวใช้ที่อายุมากกว่าคุณชายน้อยสกุลหวังสามปีคนนั้น…แน่นอนว่าสืออีเหนียงอยากที่จะให้สถานการณ์ตอนเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปนั้นเรียบง่ายไม่มีปัญหาซับซ้อน
“แต่ท่านโหวรู้สึกว่าคุณชายคนโตของจวนสกุลจัวไม่ค่อยปราดเปรียวว่องไวเท่าไรนัก!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ไม่ค่อยคู่ควรกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเรา”
เหวินอี๋เหนียงรู้สึกได้ว่าสืออีเหนียงนั้นได้รับฟังเหตุผลของนางจริงๆ จึงรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ “เป็นคนซื่อตรงก็ดีสิเจ้าคะ! จะว่าไปแล้ว คุณหนูใหญ่ของเราก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์และจิตใจดี หากได้คนที่เย่อหยิ่งความคิดสลับซับซ้อนมาเป็นสามี เกรงว่าคงจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่น้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ คุณชายหวังผู้นั้นเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูล นอกเสียจากว่าคุณหนูใหญ่ของเราแต่งงานเข้าจวนไปแล้วก็มีบุตรชายทันที มิเช่นนั้น…เกรงว่าจะ…” เมื่อพูดจนถึงท้ายประโยค น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความทุกข์และความกังวลใจ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสหน้าผากเบาๆ
เวลานั้นเอง บรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบสงัด
เหวินอี๋เหนียงเห็นแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ไอ๊หยา ท่านโหวมีสติปัญญาที่ล้ำเลิศ ส่วนฮูหยินมีความรู้และประสบการณ์ที่กว้างขวาง ข้าก็เพียงแค่เป็นกังวลใจมากไปก็เท่านั้น” จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน “นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ท่านจะรับประทานอาหารเลยหรือไม่ จะได้ไปคารวะไท่ฮูหยินเร็วขึ้นหน่อย!”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีสาวใช้น้อยรายงานผ่านผ้าม่านว่า “คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ!”
ใช่ว่าจะต้องเลือกแค่หนึ่งในสองตระกูลนี้เสียหน่อย
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับให้สาวใช้น้อยเชิญเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามาก็เห็นในเรือนมีแค่สืออีเหนียงและเหวินอี๋เหนียง บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงัด นางจึงชะงักไปเล็กน้อย
อย่าว่าแต่ดวงชะตาที่ยังไม่สมพงศ์กัน ถึงแม้ว่าจะหมั้นหมายเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ควรจะบอกเรื่องนี้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์โดยฐานะบุคคลที่สาม
ทั้งคู่จึงตัดสินใจเงียบอย่างไม่ได้นัดหมาย คนหนึ่งเดินออกมาเรียก “เจินเจี่ยเอ๋อร์” ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนอีกคนก็เดินไปนั่งบนเตียงเตา
เจินเจี่ยเอ๋อร์ย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงด้วยสีหน้าท่าทีที่ประหลาดใจ จากนั้นก็ได้หันไปกล่าวทักทายเหวินอี๋เหนียง สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ยก็ได้มาหาพอดี
รอให้เฉียวเหลียนฝังคารวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ให้อี๋เหนียงทั้งสองกลับไป เหลือเด็กๆ อยู่ทานอาหารเช้าด้วยกัน จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องเดินทางไปเล่ออานกับสวีซื่ออวี้ “…ให้คนติดตามไปปรนนิบัติรับใช้มากไปจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก หากเจ้ารู้สึกว่าคนไหนทำงานได้คล่องเป็นพิเศษ ก็ไปบอกกับพ่อบ้านไป๋ ให้เขาช่วยจัดเตรียมให้เจ้า”
สวีซื่ออวี้ไม่ค่อยมีความคิดกับเรื่องเหล่านี้ เขาโค้งตัวคารวะสืออีเหนียง จากนั้นก็ถอยออกจากห้องไป
สืออีเหนียงก็ได้อุ้มสวีซื่อเจี้ยไปยังห้องปีกทิศตะวันออกของเรือนศาลาริมน้ำ อากาศยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้อน ที่นั่นถือเป็นที่ที่ร่มเย็นที่สุด สืออีเหนียงได้ตั้งห้องเย็บปักถักร้อยของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไว้ที่นั่น
เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนที่มีความเอาใจใส่เสมอมา ถึงแม้ว่าฝีเข็มจะยังไม่ค่อยมีความชำนาญเท่าไรนัก แต่กลับตั้งใจเป็นอย่างมาก ฝึกฝีเข็มตามคำชี้แนะของสืออีเหนียงอย่างเข้มงวด
พอสืออีเหนียงนึกถึงว่าวันนี้ตนต้องไปดื่มสุรามงคลที่จวนสกุลเฉิน จู่ๆ ก็เงียบขึ้นมาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
การเย็บปักถักร้อยของเหล่าสตรีไม่ได้เป็นเพียงแค่การปักผ้าเท่านั้น ยังรวมไปถึงการตัดเย็บเสื้อผ้าอาภรณ์อีกด้วย
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจว่า “ท่านแม่ เป็นเพราะข้าปักไม่ถูกใช่หรือไม่เจ้าคะ!”
“ไม่ใช่หรอก” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “นี่ก็ดีมากแล้ว” จากนั้นก็เห็นว่าสีหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ นางจึงพูดขึ้นต่อว่า “ข้ากำลังคิด…ดูจากฝีมือของเจ้าในตอนนี้ พรุ่งนี้ก็สามารถเริ่มเรียนการตัดเย็บเสื้อผ้าได้แล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ
สวีซื่อเจี้ยเห็นแล้วก็ยิ้มตามไปด้วย
จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้ส่งมอบสวีซื่อเจี้ยให้กับสะใภ้หนานหย่ง แล้วคอยชี้แนะจุดสำคัญที่ต้องระวังให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่หลายจุด เสร็จแล้วก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ระหว่างทาง นางก็ได้สั่งกับจู๋เซียงว่า “เจ้าไปหาปินจวี๋ที บอกว่าข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง ให้นางมาหาข้าในวันพรุ่งนี้!”
จู๋เซียงขานรับแล้วไปทันที
เมื่อไปถึงที่เรือนของไท่ฮูหยิน ก็เห็นว่าไท่ฮูหยินกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดและถามอะไรบางอย่างกับป้าสืออยู่
ป้าตู้จึงได้เข้าไปกระซิบข้างหูสืออีเหนียงว่า “ซินเจี่ยเอ๋อร์ป่วยอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจขึ้นมา
ซินเจี่ยเอ๋อร์ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ไม่เคยให้โดนลมโดนฝนเลยแม้แต่นิด แต่ความสามารถทางการแพทย์ของสมัยนี้ค่อนข้างต่ำ อาการหวัดเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะอันตรายถึงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้…
นางกำลังจะไถ่ถามอาการ แต่ก็เห็นว่าไท่ฮูหยินได้ลุกขึ้นมาพอดี “ข้าไปดูเสียหน่อย!” พอเงยหน้าก็เห็นเข้ากับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงไม่รอให้ไท่ฮูหยินได้ทันพูดอะไร นางก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าเองก็ขอไปดูกับท่านด้วย”
ไท่ฮูหยินจึงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งคู่ก็พากันไปยังเรือนของฮูหยินห้า
เห็นบอกว่าเมื่อวานตอนเย็นได้อุ้มออกไปเดินเล่นข้างนอก พอตกกลางคืนก็เริ่มมีอาการไอ…
ใบหน้าของเด็กน้อยแดงระเรื่อนอนซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้านวมที่ปักด้วยลายหงส์ทะยานสู่ดวงอาทิตย์สีแดงสด ละเมอครางออกมาเป็นครั้งคราว
ประตูเก๋อซ่านถูกปิดสนิท บรรยากาศภายในตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้
ใบหน้าของฮูหยินห้าท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำตา กุมมือของไท่ฮูหยินไว้แน่น “ท่านแม่ ท่านให้ป้ารับใช้ที่มีประสบการณ์มาให้ข้าสักคนเถอะเจ้าค่ะ!”
ป้าสือที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็ก้มหน้าลงต่ำ
ไท่ฮูหยินไม่ได้รับปาก แต่กลับถามถึงอาการของเด็กขึ้นมาแทน “หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง”
ฮูหยินห้าจึงรีบตอบกลับไปว่า “บอกว่าความร้อนและความเย็นในร่างกายไม่สมดุลกัน จึงสั่งยาหม้อไฉหูให้ทานเจ้าค่ะ”
“นำใบสั่งยามาให้ข้าดูหน่อย!”
ป้าสือจึงรีบไปนำใบสั่งยามาทันที
สืออีเหนียงเป็นคนอ่านให้ไท่ฮูหยินฟัง “ไฉหูเก้าส่วน หวงฉินก้าวส่วน ขิงสดเก้าส่วน โสมสามส่วน จื้อกานฉ่าวหกส่วน พุทราตากแห้งหนึ่งหยิบมือ”
“หมอหลวงคนไหนเป็นคนเขียนใบสั่งยา ปริมาณเยอะเกินไปหรือเปล่า”
“หมอหลวงอู๋เป็นคนเขียนใบสั่งยาเจ้าค่ะ” ป้าสือตอบกลับ “ทานไปสามชุด ตอนนี้ให้ลดขนาดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว”
ไท่ฮูหยินไตร่ตรองใบสั่งยาอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินสองก็มาถึงพอดี
“ได้ยินมาว่าซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“พี่สะใภ้สอง” ฮูหยินห้ากุมมือของฮูหยินสองไว้ “บอกว่าเป็นเพราะความร้อนและความเย็นในร่างกายไม่สมดุลกัน…” เมื่อพูดถึงอาการป่วยของเด็กขึ้นมา ไท่ฮูหยินก็ได้ยื่นใบสั่งยาให้นางดู “เจ้าลองดูหน่อยว่าเหมาะสมหรือไม่”
จากนั้นก็ได้ให้เหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่อยู่ปรนนิบัติถอยออกไปจนหมด
ทุกคนจึงค่อยเริ่มพูดคุยถึงเรื่องของซินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา
ที่หน้าประตูก็มีสาวใช้น้อยชะเง้อหน้าเข้ามาดู
ฮูหยินสองจำได้ว่านางเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่โถงบุปผา จึงได้พูดขึ้นว่า “ที่นี่มีท่านแม่และข้าอยู่ด้วย น้องสะใภ้สี่เจ้ารีบไปทำธุระเถิด!”
สืออีเหนียงจึงไม่ได้เกรงใจ
เพราะตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือน จะต้องตรวจทานบัญชีของเรือนชั้นในและเรือนชั้นนอก เหล่าบรรดาป้ารับใช้ผู้ดูแลกำลังรอแค่การอนุญาตจากสืออีเหนียงเพื่อจะนำหนังสือบัญชีส่งไปยังห้องบัญชีที่เรือนชั้นนอกเพื่อเพิ่มรายการบัญชีส่วนกลาง
สืออีเหนียงจึงได้ขอตัวลากับไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและฮูหยินห้า จากนั้นก็ตรงไปยังโถงบุปผา
เหล่าบรรดาป้ารับใช้ต่างพากันยืนรออยู่ที่ใต้ชายคา เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ในเรือนก็เงียบลงทันที
สืออีเหนียงหันไปมองหนังสือบัญชีที่กองตั้งสูงร่วมหนึ่งฉื่อเห็นจะได้ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าจะต้องไปดื่มสุรามงคลที่จวนของเฉินเก๋อเหล่า รอเช้าวันพรุ่งนี้ค่อยมาปรึกษาหารือก็แล้วกัน!”
เหล่าบรรดาป้ารับใช้จึงพากันก้มหน้าลงต่ำ และถอยออกไปอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงจึงค่อยหันไปสั่งกับหู่พั่วว่า “ยกกลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน”
หู่พั่วก็หันไปมองแสงแดดที่อยู่ด้านนอกพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ถึงแม้ว่าแค่ต้องไปให้ทันก่อนพิธีเริ่มก็พอ แต่หากไปสายจนเกินไป ก็จะเสียมารยาทเอาได้เจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้าทำตามคำสั่งข้าก็พอ” จากนั้นก็หันไปสั่งกับเยี่ยนหรงว่า “ไปเชิญเหวินอี๋เหนียงให้มาที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนหน่อย”
เยี่ยนหรงขานรับและถอยออกไปทันที
หู่พั่วจึงจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ พลางยกหนังสือบันทึกรายการบัญชีกลับไปยังเรือนศาลาริมน้ำ
เพิ่งจะถึงเรือน เหวินอี๋เหนียงก็ตามหลังมาติดๆ
“ฮูหยินเรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงจึงเชิญนางไปนั่งที่เก้าอี้ดินเผาที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงเตา จากนั้นก็ชี้ไปยังหนังสือบัญชีที่วางอยู่บนโต๊ะของเตียงเตา “ข้าจะไปดื่มสุรามงคลที่จวนสกุลเฉิน เจ้าและหู่พั่วช่วยกันตรวจทานบัญชีเหล่านี้หน่อย”
คนที่อยู่ในห้องต่างก็พากันอึ้งไปหมด
“นี่มัน…” บนหน้าผากของเหวินอี๋เหนียงเริ่มผุดเม็ดเหงื่อเล็กๆ ขึ้นมา
“หากไม่ใช่เพราะอยากเจอหน้าหลานถิง ทางฝั่งของเฉินเก๋อเหล่าข้าก็คงจะให้ฝ่ายรายงานไปแทนแล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ข้าสายมากแล้วประเดี๋ยวจะไม่ทันการเอา ทางนี้ก็ฝากเหวินอี๋เหนียงดูแลก็แล้วกัน”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็กัดฟันแน่นพร้อมกับขานรับทันที “ฮูหยินวางใจได้ ข้าจะช่วยหู่พั่วตรวจทานบัญชีให้ดีเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ทานของว่างไปนิดหน่อย แล้วจึงค่อยเดินทางไปยังจวนเฉินเก๋อเหล่า
เยี่ยนจิงเป็นเมืองใหญ่ การใช้ชีวิตจึงใช่ว่าจะง่ายดาย
เฉินเก๋อเหล่าอาศัยอยู่ที่ตรอกหูหลูทางแม่น้ำทิศตะวันตกของเมือง ทางเข้าตรอกค่อนข้างคับแคบ รถม้าจอดลงที่หน้าปากทางเข้า ถึงแม้จะอาศัยชื่อเสียงเรียงนามของจวนหย่งผิงโหวเพื่อให้ผู้คนขยับและหลีกทางให้ แต่ก็ใช้เวลาไปราวครึ่งชั่วยามกว่าจะเข้ามาถึงประตูหน้าลานของจวนเฉินเก๋อเหล่า
โจวฮูหยิน หลี่ฮูหยินและคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ด้านในหมดแล้ว ทุกคนจึงพากันเข้ามากล่าวทักทายสืออีเหนียง หญิงวัยกลางคนท่านอื่นๆ ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นคนที่สืออีเหนียงไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย โจวฮูหยินจึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ล้วนเป็นญาติผู้หญิงของตระกูลเหล่าขุนนางหกกรม ข้าเองก็ไม่รู้จัก”
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้เบาๆ ก็เห็นพี่สะใภ้ใหญ่ของกานฮูหยินเข้าพอดี ฮูหยินของหัวหน้าท่านเจ้ากรมการทูตภายในผู้นั้น
นางยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปกล่าวทักทาย
พี่สะใภ้ของกานฮูหยินก็เดินเข้ามาต้อนรับสืออีเหนียงรวมไปถึงเหล่าบรรดาฮูหยินของรองท่านเจ้ากรมและบัณฑิตต่างๆ
ส่วนใหญ่แล้วอายุจะเยอะกว่านาง แต่ระดับตำแหน่งของสามีพวกนางกลับต่ำกว่าสวีลิ่งอี๋
ทุกคนต่างก็พากันยิ้มและพยักหน้าให้นางด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยม
สืออีเหนียงเองก็ก้มศีรษะเพื่อทำความเคารพตอบ จากนั้นก็หันไปชวนพี่สะใภ้ของกานฮูหยินคุยเล่น “เหตุใดถึงไม่เห็นหลานถิงเลย”
“เห็นบอกว่าเหลียงฮูหยินไม่สบายนิดหน่อย” พี่สะใภ้ของการฮูหยินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้มาทั้งแม่สามีและลูกสะใภ้!”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกผิดหวัง จึงพูดออกไปอย่างไม่ปิดบังว่า “ข้าตั้งใจจะมาคุยเล่นกับหลานถิงโดยเฉพาะเชียว”
พี่สะใภ้ของกานฮูหยินได้ยินแล้วก็ได้ส่งสายตาบอกเป็นนัยให้กับสืออีเหนียง
ทั้งสองจึงพากันไปหาที่ยืนคุยในที่เงียบสงบ
พี่สะใภ้ของกานฮูหยินจึงค่อยพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าสองวันก่อนใต้เท้าเฉินและใต้เท้าเหลียงทะเลาะกันต่อหน้าฝ่าบาท!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
พี่สะใภ้ของกานฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบากว่าเดิม “เห็นว่าทะเลาะกันเรื่องการยกเลิกคำสั่งปิดทะเล!” พูดขึ้นพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ “ได้ยินว่าครอบครัวของเจี้ยนอานก็มีส่วนร่วมด้วย อีกทั้งยังถวายสาส์นให้ฝ่าบาทด้วย เพื่อยืนยันว่าการยกเลิกคำสั่งปิดทะเลนั้นมีความอันตราย หวังแค่ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องไปถึงเฉาเอ๋อร์ก็พอ!”
สืออีเหนียงถอนหายใจเป็นเพื่อนนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเชื้อเชิญทุกคนไปจิบน้ำชาและทานอาหารว่างที่โถงบุปผา
ทุกคนจึงพากันทยอยไปยังโถงบุปผา
สืออีเหนียง โจวฮูหยิน หลี่ฮูหยินและคนอื่นๆ นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน
ทั้งสองตั้งใจจะสู่ขอเจินเจี่ยเอ๋อร์ทั้งคู่ นั่งอยู่ตรงข้ามกัน แน่นอนว่าคงจะไม่สะดวกที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงพากันหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ทั้งคู่ และพากันไปพูดคุยถึงเรื่องอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แทน เมื่อสบโอกาส ก็สลับกันถามไถ่ถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา
“ตอนนี้นางกำลังฝึกงานเย็บปักถักร้อยกับข้า” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ข้าและไท่ฮูหยินต่างก็คิดว่าถึงเวลาที่จะหาคู่หมั้นให้นางแล้ว แต่ท่านโหวกลับรู้สึกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป ตอนนี้จึงทำได้แค่เตรียมตัวไปก่อน”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วแต่กลับไม่คิดเช่นนั้น “มีบ้านไหนบ้างที่หมั้นเสร็จสรรพในคราวเดียว กว่าสามสื่อหกพิธีจะเป็นที่เรียบร้อย ก็ล้วนต้องใช้เวลาสามถึงสี่ปีทั้งนั้น รีบเกลี้ยกล่อมท่านโหวอย่าชักช้าอยู่เลย”
หลี่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ของบางอย่างนั้นมีค่าและหายากยิ่ง คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านโหว ก็ช่วยไม่ได้ที่ท่านโหวจะรักและหวง ทำใจให้แต่งงานออกเรือนไม่ได้”
สืออีเหนียงเองก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นจริงเช่นนั้น ท่านรองเจ้ากรมจัวเองก็ได้มาทาบทามด้วย แต่ถูกท่านโหวปฏิเสธอย่างนิ่มนวลกลับไป”
หลี่ฮูหยินได้ยินแล้วแววตาก็เป็นประกายขึ้นมา “ใต้เท้าจัวเองก็มีความสนใจด้วยหรือ”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าจัวและท่านโหวรู้จักกันเป็นการส่วนตัว บุตรชายคนโตของเขาและเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราอายุไล่เลี่ยกันพอดี จึงต้องมีการพูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเข้ามาแจ้งด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ด้านนอกจะมีการส่งเกี้ยวเจ้าสาวแล้วเจ้าค่ะ”
จากนั้นเหล่าบรรดาญาติที่เป็นสตรีต่างก็พากันออกไปดู ในเรือนจึงเต็มไปด้วยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว หากพูดจาเสียงเบาก็จะฟังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก ทั้งคู่จึงหันมาสบตาพร้อมกับยิ้มให้กันและกัน และได้หยุดบทสนทนานี้ไป จากนั้นก็พากันเดินออกไปยังด้านนอก
โจวฮูหยินที่พากันพูดคุยกระซิบข้างหูเมื่อครู่นี้ก็ได้เดินเข้ามาจูงมือของสืออีเหนียง “ไป พวกเราก็ไปดูกัน!” จากนั้นก็ได้ส่งสายตาให้นาง
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน จากนั้นก็เดินตามนางไปยังโถงบุปผา
โจวฮูหยินชะงักฝีเท้าลงตรงหน้าประตูโถงบุปผา นางยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “หลี่ฮูหยินก็อยากจะสู่ขอเจินเจี่ยเอ๋อร์หรือ”
สืออีเหนียงไม่ได้ปิดบังนาง จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่แค่จวนสกุลหลี่เท่านั้น จัวฮูหยินที่ไปคารวะไท่ฮูหยินเมื่อคราวก่อนก็มีเจตนาอย่างนี้ด้วยเช่นกัน!”
