“พี่ชายลูกพี่ลูกน้อง?” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็แปลกใจเป็นอย่างมาก “พี่จ้งหรานหรือเจ้าคะ”
“บอกแค่ว่าเป็นคุณชายน้อยเท่านั้น” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพลางตอบไปว่า “ไม่รู้ว่าใช่พี่จ้งหรานที่เจ้าพูดถึงหรือไม่”
“เช่นนั้นก็ใช่แล้ว” ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่จ้งหรานกับน้าชายของข้าไม่ได้อยู่เรือนเดียวกัน ดังนั้นก็เลยเรียกเช่นนี้แทน คนในบ้านรวมไปถึงบ่าวรับใช้ต่างก็พากันเรียกตามว่า ‘คุณชายน้อย’ เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงฟังนางพูดด้วยรอยยิ้ม และพยายามหาโอกาสที่จะสอบถามเรื่องรูปวาดบนพัดเล่มนั้น เซ่าจ้งหรานรู้ได้อย่างไรว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ต้องการจะวาดภาพดอกปิ่นหยก เขารู้หรือไม่ว่าภาพวาดดอกปิ่นหยกนี้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะนำไปมอบให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ แต่พอหางตาเหลือบไปเห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ก็ตัดสินใจกลืนคำพูดลงคอไปจนหมด
เหตุใดถึงต้องทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์จดจำเซ่าจ้งหรานด้วยเล่า
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว สืออีเหนียงก็ได้ยินเสียงของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์พูดขึ้นพึมพำว่า “พี่จ้งหรานมาทำอะไรกัน หรือเรื่องการซื้อบ้านจะไม่ราบรื่น”
สืออีเหนียงยิ้มและไม่ได้ตอบอะไร
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กลับเป็นฝ่ายเริ่มเล่าให้พวกนางฟังแทน “ท่านน้าของข้าเดิมทีเวลาเข้าเมืองเยี่ยนจิงก็มักจะมาพักที่บ้านของพวกข้าเสมอ แต่ครั้งนี้คนที่ติดตามมาด้วยค่อนข้างเยอะ ทุกคนมาเบียดเสียดอยู่ที่เดียวกัน ท่านน้าของข้าบอกว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไร จึงเขียนจดหมายกลับไปบอกว่าจะหาซื้อเรือนเล็กๆ ในเมืองเยี่ยนจิงสักหลัง ภายภาคหน้าเวลาจะไปจะมาจะได้ไม่ต้องขอพักที่บ้านพวกข้าตลอด เดือนที่แล้วท่านตาของข้าก็ได้ให้พ่อบ้านนำเงินจำนวนหนึ่งมาให้ หลายวันมานี้ท่านน้าและพี่จ้งหรานออกไปหาดูเรือนแทบทุกวันเลยเจ้าค่ะ!” สีหน้าท่าทางของนางดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก
แต่ในเมื่อทุกคนอยู่อย่างเบียดกันไม่ค่อยสะดวก ทำไมถึงยังจะซื้อหลังเล็กๆ อีก
สืออีเหนียงพลันนึกถึงคุณนายสามสกุลหวงขึ้นมา ครอบครัวตระกูลหลิน แต่ละครอบครัวไม่ได้มีใครด้อยกว่าใครเลย แต่ทุกคนกลับจ้องแต่จะรวบกิจการส่วนกลางของตระกูล กลัวว่าหากย้ายออกไปแล้วจะไม่สนิทสนมกับนายท่านใหญ่เหมือนเช่นเคย ตอนที่นายท่านใหญ่แบ่งสมบัติจะเสียเปรียบเอาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละครอบครัวคงจะสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก คนบ้านสกุลเซ่าจำนวนมากมาอยู่กินที่นี่เป็นแรมเดือน และถึงแม้ว่าจะจ่ายเงิน แต่ก็ต้องดึงตัวบ่าวรับใช้มาปรนนิบัติดูแลอยู่ดี คุณนายใหญ่สกุลหลินเองก็เป็นถึงสะใภ้ที่เป็นผู้ดูแลหลักของจวน จะต้องจัดการให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวสมดุลให้ได้ เกรงว่านี่คงเป็นสาเหตุที่คนบ้านสกุลเซ่าออกไปซื้อหาเรือนหลังเล็กอยู่ข้างนอก
“สามารถซื้อเรือนสักหลัง ก็ถือว่าเป็นทรัพย์สินสมบัติชิ้นหนึ่ง” สืออีเหนียงพูดไปตามเนื้อผ้า “หากวันข้างหน้าไม่ได้ใช้แล้ว ก็แค่ขายไป ไม่ขาดทุนแน่นอนอยู่แล้ว”
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นดังที่ท่านอาสะใภ้พูด ดังนั้นท่านตาของข้าก็เลยตัดสินใจซื้อเรือนสักหลังเจ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น สืออีเหนียงที่คอยสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกหน้าต่างด้วยหางตาอยู่เสมอก็ได้เห็นชายผู้หนึ่งสวมชุดคลุมเต้าเผาผ้าแพรหังโฉวสีม่วงน้ำเงินกำลังเดินลงขั้นบันไดของเรือนหลัก เดินไปยังทิศทางของประตูลาน
คงจะเป็นเซ่าจ้งหรานผู้นั้นสินะ
สืออีเหนียงก้มหน้าจิบชาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่สายตากลับจ้องไปยังนอกหน้าต่าง
อกผายไหล่พึ่ง ร่างกายสูงโปร่ง ผมดำขลับถูกมวยขึ้นสูง ปักด้วยปิ่นไม้
เขาชะงักฝีเท้าลง หันมาประสานมือคารวะให้กับคุณนายใหญ่สกุลหลินที่เดินออกมาส่งเขา
จู่ๆ สืออีเหนียงพลันเข้าใจอย่างถ่องแท้ขึ้นมาว่าเพราะอะไรคุณนายใหญ่สกุลหลินถึงได้บอกว่าหากหลานชายของนางยืนเคียงข้างกับเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกอย่างไรอย่างนั้น
เซ่าจ้งหรานมีตาและคิ้วที่คมคาย เรื่องมีหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว สายตาที่เขาใช้มองไปรอบๆ ราวกับแสงแดดอ่อนๆ ที่กระจ่างชัดเจน พลอยทำให้ผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม เจินเจี่ยเอ๋อร์ผิวขาวสะอาดดุจหิมะ คิ้วเข้มตากลม อิริยาบถสุขุมสงบเสงี่ยม นิ่งสงบราวกับผิวน้ำของทะเลสาบ
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สืออีเหนียงก็เห็นเซ่าจ้งหรานหันไปจ้องมองเรือนหลักด้วยสีหน้าแววตาที่ผิดหวัง จากนั้นก็สาวเท้าตรงไปยังประตูฉุยฮวาอย่างรวดเร็วและหายตัวไปในที่สุด
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
คุณนายใหญ่สกุลหลินก็เปิดม่านเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
นางได้อธิบายว่า “น้องชายคนเล็กของข้าถูกใจเรือนหลังหนึ่งเข้า เจ้าของบ้านเองก็กำลังเดือดร้อนต้องการจะใช้เงิน ก็เลยให้ราคาต่ำกว่าท้องตลาดไปสามส่วนเห็นจะได้ แต่ต้องซื้อก่อนยามโหย่วของวันนี้ น้องชายคนเล็กของข้ากลัวว่าจะเป็นพวกกลุ่มคนอันธพาลที่หลอกลวงเงิน ก็เลยให้จ้งหรานมาแจ้งข่าวให้ข้าโดยเฉพาะ ให้ข้าเรียกพ่อบ้านสักคนไปช่วยแจ้งกับทางสำนักปฏิบัติการงานราชการสักคำ ว่าก่อนยามโหย่วจะทำสัญญาซื้อขายกับคนผู้นี้”
สืออีเหนียงนึกถึงเซ่าจ้งหรานที่เดินเหินอย่างเร่งรีบเมื่อครู่นี้ นางจึงพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “หากมีคนรู้จักช่วยบอกกล่าวสักคำ จะทำธุระอะไรก็สะดวกขึ้นมาหน่อย!”
คุณนายใหญ่สกุลหลินพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ไม่ว่าสืออีเหนียงจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่อย่างน้อยต่างฝ่ายก็ได้อธิบายเรียบร้อย ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปทานอาหารเที่ยงที่เรือนของหลินฮูหยิน หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วสืออีเหนียงก็ได้พาเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับจวนสกุลสวีไป
เมื่อกลับไปถึงแล้วไท่ฮูหยินเองไม่ได้อยู่ที่เรือน
“…เข้าวังเจ้าค่ะ” เว่ยจื่อรีบตอบกลับสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “บอกว่างานวันเกิดและเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ประทานของขวัญมาให้ ก็เลยจะเข้าวังเพื่อไปกล่าวขอบพระทัยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองเป็นหญิงหม้าย ส่วนตนก็ไปที่จวนเวยเป่ยโหว ฮูหยินห้าเองบุตรสาวก็ยังเล็ก…
“ใครติดตามไปด้วยหรือ!” สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“ป้าตู้ติดตามไปด้วยเจ้าค่ะ” เว่ยจื่อตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินห้าจะติดตามไปด้วย แต่ไท่ฮูหยินไม่อนุญาตให้ไปด้วยเจ้าค่ะ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามาเรียนว่า “ไท่ฮูหยินกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปรับที่ประตูฉุยฮวา
“ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วขนาดนี้!” ไท่ฮูหยินเห็นทั้งสองแล้วก็รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ “ไม่ได้อยู่คุยกันที่โน่นหรือ”
“คุณนายใหญ่สกุลหลินค่อนข้างยุ่ง” สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปประคองไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เข้าวังหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงไม่บอกข้าสักคำ จวนสกุลหลินไว้ค่อยไปตอนไหนก็ได้นี่เจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่อว่า “ท่านแม่เข้าวังคนเดียว ไม่มีคนติดตามไปปรนนิบัติรับใช้เลย”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็แค่ไปกล่าวขอบพระทัย ไม่ได้ไปร่วมงานอะไรเสียหน่อย ถึงแม้ข้าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถทานข้าวได้ตั้งสามถ้วย”
สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าท่าทีของไท่ฮูหยินยังดูดี ก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นจึงกลับเข้าเรือนพร้อมกับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงพูดคุยถึงเรื่องเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง “…จุนเกอนัดแนะกับอาจารย์จ้าวว่าจะไปดูแข่งเรือมังกรตั้งแต่เช้าตรู่ ข้าคิดว่าเด็กๆ โตขนาดนี้แล้วแต่ได้ออกนอกบ้านเพียงไม่กี่ครั้ง หากปล่อยพวกเขาออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดีเหมือนกัน” น้ำเสียงคล้ายกับกำลังถามความคิดเห็นของสืออีเหนียง
ก่อนหน้านี้สืออีเหนียงกลัวว่าไท่ฮูหยินจะไม่เห็นด้วย พอได้ยินอย่างนี้แล้วนางก็ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “ถึงเวลานั้นจัดคนสักจำนวนหนึ่งที่มือไม้คล่องแคล่วว่องไวหน่อยติดตามไปด้วย”
ไท่ฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จึงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ทางอวี้เกอ เจ้าก็ลองไปถามดูว่ามีอะไรให้ทำได้บ้าง ส่วนเจี้ยเกอยังเล็กเกินไป ให้อยู่ที่เรือนก่อน ช่วงเช้าหลังจากที่จัดงานพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว มื้อเที่ยงก็เชื้อเชิญแขกที่มาร่วมงานอยู่ทานอาหารด้วยกันก่อน คาดว่าช่วงบ่ายทุกคนคงจะทยอยกลับจวนกันหมดแล้ว พวกเราทั้งครอบครัวก็ค่อยมารวมตัวร่วมทานอาหารด้วยกัน”
พิธีขึ้นปิ่นปักผมเป็นเรื่องของสตรี ย่อมไม่มีแขกที่เป็นบุรุษอยู่แล้ว
สืออีเหนียงจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับขานรับ จากนั้นก็ได้ถามถึงเรื่องพิธีขึ้นปิ่นปักผมขึ้นมา “…มีแขกมาประมาณกี่คนหรือเจ้าคะ ข้าจะได้จัดการและตระเตรียมถูก”
“เจ้ามีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ เรื่องนี้มอบหมายให้ป้าตู้จัดการดีกว่า” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “พรุ่งนี้ข้าจะให้นางนำรายการอาหารของงานเลี้ยงมาให้เจ้าดู เจ้าก็แค่สั่งงานกับทางห้องครัวให้เตรียมอาหารและสุรา ส่วนเรื่องอื่นให้ป้าตู้ไปจัดการแทน ถึงเวลานั้นเจ้าแค่ต้องแต่งตัวให้สวยแล้วไปร่วมงานก็พอ”
สืออีเหนียงก็ได้พูดคุยถึงเรื่องพิธีขึ้นปิ่นปักผมกับไท่ฮูหยินว่า “…ตอนที่ข้ากลับออกมาจากฝูเจี้ยน พี่หญิงห้าได้เข้าพิธีขึ้นปิ่นปักผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนของพี่หญิงเจ็ดตรงกับช่วงไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่พอดี คนในครอบครัวจึงแค่ร่วมรับประทานอาหารเท่านั้น พอถึงตอนพี่หญิงสิบ…” ในความทรงจำของนางนั้นสือเหนียงไม่ได้จัดพิธีขึ้นปิ่นปักผม แต่อยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยินนางเลยไม่ค่อยสะดวกพูดออกมาเท่าไรนัก “…ตอนที่ข้ามาที่เมืองเยี่ยนจิงแล้ว ตอนนั้นพวกนางยังไม่มีใครแต่งงานออกเรือนเลย ข้าจำได้แค่ทุกคนสวมชุดสวยๆ ไม่ได้ตกแต่งหรือประดับเครื่องประดับอะไรเลย นายหญิงใหญ่แค่ช่วยมวยผมทรงเรียบๆ จากนั้นก็แค่ปักปิ่นให้หนึ่งเล่ม ไม่รู้ว่างานพิธีขึ้นปิ่นปักผมของข้าจะมีความแตกต่างหรือไม่”
“ก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไรนัก!” ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงนั่งพูดคุยอยู่บนเตียงเตา ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็นำผ้าปักของเว่ยจื่อที่ปักได้ครึ่งหนึ่งมาปักต่อเพื่อฝึกฝนฝีมือ “หวีผมจัดทรง กล่าวคำมงคลไม่กี่ประโยค ทุกคนร่วมทานอาหารและดื่มสุรา เพียงแต่ว่าเจ้านั้นแต่งงานออกเรือนมาแล้ว ข้าจึงเป็นคนจัดงานแทน นายหญิงใหญ่เพียงแค่มาร่วมงานก็พอ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปที่ตรอกกงเสียนเสียหน่อย ไปถามความคิดเห็นของนายหญิงใหญ่ อย่างไรเสียนางก็เป็นมารดาของเจ้า เรื่องบางเรื่องก็ยังต้องปรึกษาหารือกับนาง”
พิธีกรรมโบราณนี้สืออีเหนียงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก แน่นอนว่าต้องฟังไท่ฮูหยินอยู่แล้ว นางจึงยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้จะให้ข้ากลับไปเป็นเพื่อนท่านแม่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้าแค่ตั้งใจจัดงานเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นทุกคนก็ชวนกันพูดคุยเรื่องทั่วไป หลังจากที่จุนเกอเลิกเรียนแล้วมารู้ว่าตนได้รับอนุญาตให้ไปดูแข่งเรือมังกรกับอาจารย์จ้าวก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปมา รีบร้อนจะไปบอกข่าวนี้กับอาจารย์จ้าวทันที ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็ยิ้มกว้าง และได้กำชับอยู่ครู่หนึ่งว่า “ต้องสุขุมและสำรวมหน่อย” เขาจึงค่อยข่มอารมณ์ดีใจไว้ แต่แล้วก็ยังเดินวนรอบห้องอยู่หลายรอบ จึงค่อยสงบลงในที่สุด ส่วนสวีซื่ออวี้กลับหันมาถามถึงสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ…ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาตอนไหนหรือขอรับ”
“คงจะกลับมาตอนเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างกระมัง!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
สวีซื่ออวี้ไม่ได้พูดอะไรต่อ สายตาของเขากลับหลุบลงต่ำ “ข้าอยู่บ้านอ่านตำราดีกว่า! เวลาอาจารย์ที่หอตำราจิ่นสีถามขึ้นมาจะตอบไม่ได้เอา!”
สีหน้าของเขาสงบและสุขุม
เด็กที่โตแล้วย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง หากเราคิดว่าเขากำลังปั้นหน้าแสดงความเศร้าออกมา มีแต่จะรู้สึกว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเขา สู้เราแสร้งทำเป็นไม่รู้ รอให้เขาเข้ามาพูดกับเราเอง แล้วค่อยรับฟังเขาในตอนนั้นก็ยังไม่สาย
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี ถึงเวลานั้นอย่าลืมว่าต้องมาร่วมทานอาหารค่ำที่เรือนของไท่ฮูหยินตอนยามโหย่วด้วย”
สวีซื่ออวี้ขานรับเสียงเบา “ขอรับ”
จากนั้นเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ยิ้มพร้อมกับเข้าไปจูงมือของสวีซื่อเจี้ย “เจ้ามาเล่นกับข้า!”
สวีซื่อเจี้ยก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองพี่หญิงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะบีบจมูกของเขาเบาๆ
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็แอบพยักหน้าช้าๆ
*****
ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ถึงวันขึ้นสามค่ำเดือนห้า สืออีเหนียงได้จัดเตรียมงานเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างและงานพิธีขึ้นปิ่นปักผมเป็นที่เรียบร้อย ทางฝ่ายรายงานก็ได้แจ้งข่าวมาว่า วันขึ้นสองค่ำเดือนห้านายหญิงเจียงได้พาคุณหนูเก้าเดินทางมาถึงเมืองเยี่ยนจิงแล้ว แต่สืออีเหนียงรอจนถึงวันขึ้นสี่ค่ำเดือนห้าแต่ทางจวนสกุลเจียงก็ไม่ได้ส่งคนมาแจ้งข่าวเลย
หรือเป็นเพราะพิธีขึ้นปิ่นปักผมของตน
สืออีเหนียงครุ่นคิด
เมื่อรู้ว่านายหญิงเจียงและคุณหนูเก้าสกุลเจียงเดินทางมาถึงเมืองเยี่ยนจิงแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องเชื้อเชิญพวกนางให้มาร่วมงานเลี้ยงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างอยู่ดี แต่วันนั้นดันเป็นวันที่ตนจะต้องเข้าพิธีขึ้นปิ่นปักผม คำโบราณพูดไว้ว่า บุตรสาวแต่งงานออกเรือนต้องเลือกฐานะที่สูงส่งเข้าไว้ แต่สู่ขอสะใภ้เข้าเรือนต้องเลือกให้ต่ำกว่าฐานะตน เจอกันครั้งแรก ก็มาให้นายหญิงเจียงและคุณหนูเก้าสกุลเจียงมาอวยพรก็คงจะไม่เหมาะเท่าไรนัก!
สืออีเหนียงจึงไปปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินว่า “…ข้าว่า เราแสร้งทำเป็นไม่รู้ดีกว่ากระมังเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ได้หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ก่อนก็แล้วกัน รอทางสกุลเจียงให้คนมาส่งข่าวแล้วค่อยว่ากันอีกที ตอนแรกข้าเองก็นึกถึงจุดยืนของทางสกุลเจียงเหมือนกัน ก็เลยไม่ได้เชิญเจียงฮูหยินมางานพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจ้า”
“ในเมื่อไม่ได้เชิญคนจากสกุลเจียง เช่นนั้นคนจวนสกุลเจียงก็ไม่น่ามีคนรู้เรื่องพิธีขึ้นปิ่นปักผมของข้าจึงจะถูก แต่เหตุใดถึงไม่ส่งคนมาแจ้งข่าวเลย” สืออีเหนียงครุ่นคิด “ทางสกุลเจียงมีอะไรเกิดขึ้นหรืออย่างไรกัน”
“ทางนั้นพาเด็กๆ มาถึงเมืองเยี่ยนจิงแล้ว จะมีเรื่องอันใดให้เกิดขึ้นอีกเล่า” ไท่ฮูหยินกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น “เกรงว่าทางสกุลเจียงคงจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง ก็เลยตั้งใจไม่บอกกับทางเราว่าได้พานายหญิงเจียงและคุณหนูเก้าสกุลเจียงเข้าเมืองเยี่ยนจิงมาด้วย”
“ได้ยินข่าวลือ?” สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ “ได้ยินข่าวลือเรื่องที่ข้าจะจัดพิธีขึ้นปิ่นปักผมหรือเจ้าคะ”
ระหว่างสังคมแวดวงของสกุลสวีและสกุลเจียงมีความแตกต่าง ทั้งสองตระกูลค่อนข้างถ่อมตน โอกาสที่จะเจอหน้าไม่ค่อยเยอะเท่าไรนัก
“มีอะไรให้น่าแปลกใจกันเล่า” ไท่ฮูหยินกลับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เมืองเยี่ยนจิงกว้างแค่ฝ่ามือ คนที่ใส่ใจก็ย่อมรู้ได้ทุกเรื่อง”
