“อย่าร้องไห้ไปเลย” สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้นางซับน้ำตา “ท่านบอกว่าไม่มีลูกไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงทั้งหมดไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านพึ่งจะแต่งงานกัน มีตั้งหลายคนที่แต่งงานกันตั้งหลายปีกว่าจะมีลูกไม่ใช่หรือ ดูอย่างข้าสิ ข้าก็ไม่มีไม่ใช่หรือ”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาตัวเอง “เจ้าไม่เหมือนข้า” นางเบะปาก “ท่านโหวมีทั้งบุตรชายและบุตรสาว แต่จูอานผิงเป็นลูกคนเดียวของตระกูล…” นางพูดอย่างเสียใจ
“เช่นนั้นท่านไม่ควรหนีออกมาแบบนี้” สืออีเหนียงคิดว่านางแค่โมโห “หนีออกมาเช่นนี้ หากพี่เขยเจ็ดรับอนุภรรยามาไว้ในเรือนของตัวเองเพราะความโมโห เช่นนั้นมันไม่น่าโมโหมากกว่าหรือ”
ชีเหนียงลุกขึ้นมานั่ง กัดปากตัวเองพลางบิดผ้าเช็ดหน้าแล้วครุ่นคิด
สืออีเหนียงถือโอกาสหาทางออกให้นาง “ท่านมาอยู่กับข้าสักสองสามวัน ให้พี่เขยเจ็ดกระวนกระวายสักหน่อย เมื่อพี่เขยเจ็ดมาตามหาท่าน ท่านก็ค่อยกลับไปกับเขาอย่างมีความสุข แต่ครั้งหน้าหากไม่สบายใจเรื่องใดก็ต้องบอกเขา ซานตงไม่ไกลจากเยี่ยนจิงเท่าไร มาพักผ่อนที่จวนข้า หรือไปพักผ่อนที่จวนของพี่หญิงสี่ก็ดีเหมือนกัน อย่าทำให้ตัวเองลำบากใจเลยเจ้าค่ะ”
ชีเหนียงไม่พูดไม่จา แต่สีหน้าของนางดีขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงยิ้ม กำลังจะเร่งให้นางรีบนอน ป้าซ่งก็กลับมาพอดี
“ท่านโหวบอกว่าเขาจะนอนที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเจ้าค่ะ” แต่ใครจะรู้ว่าชีเหนียงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะขึ้นเบาๆ แล้วพูดว่า “ถือว่าเขาฉลาด” ราวกับกำลังเยาะเย้ยสวีลิ่งอี๋
ถึงแม้ว่าชีเหนียงจะอ่อนแอ แต่นางไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วดึงผ้าห่มนอนลง “พวกท่านมีเรื่องอันใดปิดบังข้าใช่หรือไม่”
ดูเหมือนว่า เรื่องซื้อม้า ยังมีเงื่อนงำบางอย่างหลงเหลืออยู่
“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก!” ชีเหนียงพูดอย่างเดือดดาล “ข้าไม่เรียกเขาว่าน้องเขย ก็ถือว่าไว้หน้าเขามากพอแล้ว!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะลูบหน้าผากของตัวเอง
ชีเหนียงคนนี้…เพราะว่าความสัมพันธ์ของหยวนเหนียงและนาง สกุลหลัวจึงเรียกเขาว่าท่านโหว
นางอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเรื่อง พูดเรื่องที่จะไปหาซื่อเหนียงพรุ่งนี้แทน
ชีเหนียงอาจจะเดินทางมาเหนื่อย พึ่งพูดได้สองสามประโยคก็ผล็อยหลับไปแล้ว
เช้าวันต่อมา ผ้าห่มของชีเหนียงถูกเตะออกไปอยู่ข้างๆ เช้าตรู่ของฤดูร้อนยังคงหนาวเย็น นางขยับเข้ามาหาสืออีเหนียง เบะปากแล้วหลับไปราวกับเด็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วห่มผ้าให้นาง ลุกขึ้นเบาๆ แล้วบอกสาวใช้ว่าอย่ารบกวนนาง บอกให้ป้าซ่งไปจัดอาหารเช้าที่เรือนของสวีลิ่งอี๋ ตัวเองล้างหน้าล้างตาแล้วก็ไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น
“คุณหนูเจ็ดยังโกรธอยู่อีกหรือ” สวีลิ่งอี๋สวมเสื้อผ้าไหมสีเขียว พักผ่อนไปคืนหนึ่งทำให้เขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า เขาดูสดชื่นแจ่มใส
สืออีเหนียงยกข้าวต้มที่ต้มด้วยลูกเดือยในเดือนหกมาวางไว้ข้างหน้าสวีลิ่งอี๋ “ไม่รู้ว่าทำไม ดูไม่ค่อยมีความสุขอยู่ตลอดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เรื่องนี้เดิมทีเป็นความผิดของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่านางชอบอะไร หรือว่าอยากได้อะไรก็ซื้อให้นางเถิด ถือว่าเป็นค่าตอบแทนจากข้า” แต่ก็ยังไม่พูดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สืออีเหนียงเห็นว่าสองคนนี้พูดจาคลุมเครือต่อหน้าตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่นางยังคงรู้สึกสบายใจ
นางไม่เค้นถาม จากนั้นก็พูดเรื่องงานแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์
สวีลิ่งอี๋ทานบะหมี่ถั่วช้าๆ ฟังสืออีเหนียงเล่าสถานการณ์ของสองสามสกุลนั้น
“…เมื่อวานตอนที่ท่านกลับมา คุณนายใหญ่สกุลหลินกำลังพูดเรื่องนี้กับข้า จึงกลับไปช้าเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พูดพึมพำ “หากเป็นสกุลเซ่า ดีแน่นอน สกุลของพวกเขาเป็นสกุลใหญ่สกุลโตมากว่าร้อยปี ล้วนมีแต่คนมีความสามารถ แต่ว่าสกุลของพวกเขามีกฎเกณฑ์ที่แปลกๆ อยู่หนึ่งกฎ คือบุตรชายคนโตจะต้องเป็นคนดูแลกิจการของตระกูล เกรงว่าคงจะไม่มีทางออกมาจากซังโจว หากเป็นบุตรชายคนรองก็คงดีกว่า… ”
เป็นปัญหาเดียวกับที่คุณนายใหญ่สกุลหลินกังวลไม่มีผิด
สืออีเหนียงไม่ได้พูดถึงเรื่องพัด จะได้ไม่มีปัญหาอะไรอีก
“ดูคุณชายสองสกุลหลี่ก่อนดีกว่า!” สวีลิ่งอี๋พูด “หากไม่สำเร็จค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพยักหน้า ทานข้าวต้มหนึ่งชามเป็นเพื่อนสวีลิ่งอี๋ เมื่อนางกลับไปชีเหนียงยังคงนอนหลับอยู่ ป้าตู้ก็กำลังรอนางอยู่ที่ห้องโถง
รู้ว่าชีเหนียงยังไม่ตื่น นางจึงพูดเสียงเบา “ไท่ฮูหยินบอกว่า ให้ท่านไปหาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเรื่องอะไร บอกให้สาวใช้ไปเรียกมู่ฝูมารับใช้ชีเหนียงตื่นนอน ส่วนตัวเองไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับป้าตู้
“ชีเหนียงทะเลาะกับสามีใช่หรือไม่” ไท่ฮูหยินพูด
“สายตาของท่านช่างเฉียบแหลมจริงๆ! เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงหัวเราะ
“ข้าเคยเจอมาเยอะแล้ว!” ไท่ฮูหยินพูดพลางหัวเราะ “ข้าคิดว่านิสัยของชีเหนียง นางไม่มีทางยอมรับความอยุติธรรมแน่นอน ในเมื่อนางมาหลบอยู่กับเจ้า เจ้าก็ทำเป็นไม่รู้ ปล่อยให้นางพักอยู่ที่จวนเถิด นางจะได้ไม่คิดว่าพึ่งเจ้าไม่ได้แล้วหนีไปที่อื่น ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาอีก แต่สามีภรรยาทะเลาะกันหัวเตียง คืนดีกันปลายเตียง ทางฝั่งมณฑลเกาชิง เจ้าต้องส่งคนไปรายงาน สองสามวันนี้เจ้าก็ออกไปเดินเล่น ไปพักผ่อนเป็นเพื่อนนาง เมื่อฝั่งนั้นส่งคนมารับ สามีภรรยาเจอกันแล้ว พวกเจ้าค่อยเกลี้ยกล่อมนาง เห็นแก่ความรักที่ผ่านมา นางก็คงจะหายโกรธแล้วกลับไปมณฑลเกาชิงอย่างมีความสุข”
สืออีเหนียงรู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังสอนนางว่าต้องวางตัวอย่างไร
นางพยักหน้าซ้ำๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงสี่ไม่สบาย พี่หญิงเจ็ดให้ข้าไปเยี่ยมพี่หญิงสี่กับนางวันนี้ ข้าคิดว่าทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็จะไปเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นค่อยปรึกษากับพี่หญิงสี่ ดูว่าจะรายงานฝั่งซานตงเช่นไร”
“เป็นวิธีที่ดี” ไท่ฮูหยินชื่นชมแล้วพยักหน้าเบาๆ “พวกนางเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน คุณหนูสี่ถือเป็นพี่หญิง เรื่องบางเรื่อง นางพูดได้ เจ้าพูดไม่ได้ นางทำได้ แต่เจ้าทำไม่ได้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” ชีเหนียงก็มาพอดี
ไท่ฮูหยินกวักมือเรียกชีเหนียง “รอเจ้ามาทานข้าวเช้าด้วยกันอยู่”
ชีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “คิดไม่ถึงว่าข้าจะตื่นสาย”
“ไม่สาย ไม่สาย” ไท่ฮูหยินพูด “น้องหญิงของเจ้ามีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย จึงตื่นเช้ากว่าพวกเราทุกคน” จากนั้นก็เรียกสาวใช้ยกอาหารเข้ามา สืออีเหนียงทานข้าวต้มอีกชาม
ฮูหยินห้าอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามาพอดี
เจ้าตัวเล็กนั้นตั้งคอเองได้แล้ว มองไปรอบๆ ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
ชีเหนียงมองดูด้วยสายตาที่อิจฉา
เมื่อวานนางมอบสร้อยคอทองคำให้ซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ สืออีเหนียงดูแล้ว เกรงว่าน่าจะสิบกว่าเหรียญ
ไท่ฮูหยินบอกให้ชีเหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อน ส่วนสืออีเหนียงปลีกตัวไปจัดการเรื่องของจวนที่โถงบุปผาทางทิศตะวันตก หลังจากกลับมาทานข้าวเที่ยงที่เรือนของไท่ฮูหยินเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ไปหาซื่อเหนียงกับชีเหนียง
ซื่อเหนียงดูดีขึ้นกว่าครั้งก่อนไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน กลับรู้สึกว่านางแก่ขึ้นเจ็ดแปดปี แตกต่างจากภาพพี่หญิงที่อยู่ในความทรงจำของชีเหนียงไม่น้อย ทางฝั่งซื่อเหนียงที่เห็นว่าน้องหญิงของตัวเองที่เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตจู่ๆ ก็มาเยี่ยมเยียน นางก็ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พี่น้องสองคนกอดกันร้องไห้อยู่นานจากนั้นก็เริ่มคุยกัน
รู้ว่าอาการป่วยของซื่อเหนียงแค่ทานยาก็สามารถรักษาให้หายได้ แล้วก็รู้ว่าสืออีเหนียงส่งคนมาถามถึงอาการป่วยของซื่อเหนียงอยู่ตลอด ชีเหนียงก็รู้สึกซาบซึ้ง พูดขึ้นอย่างใจกว้าง “เรื่องของท่านโหวก็ช่างมันเถิด ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยแล้วก็ได้”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เหงื่อตก
ซื่อเหนียงเค้นถามนางว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” ชีเหนียงเล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ซื้อม้าของนางให้ซื่อเหนียงฟัง “…แล้วยังเป็นพิธีขึ้นปิ่นปักผมของน้องหญิงสิบเอ็ด ข้าจึงไปที่จวนสกุลสวีก่อน ไท่ฮูหยินเชิญอยู่ทานข้าวเย็น ดึกมากแล้ว ข้าจึงพักอยู่ที่นั่น”
ซื่อเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ แต่กลับไม่ถามอะไรต่อ ฟังชีเหนียงเล่าเรื่องที่น่าสนใจของมณฑลเกาชิงและเรื่องที่นางเจอระหว่างการเดินทางอย่างมีความสุข
เมื่ออวี๋อี๋ชิง พี่เขยสี่กลับมา ตอนที่ชีเหนียงพูดคุยกับเขา ซื่อเหนียงก็ลอบถามสืออีเหนียงเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องราวให้นางฟังอย่างกระชับ
ซื่อเหนียงครุ่นคิด พูดเหมือนกันกับไท่ฮูหยิน “…เจ้าดูแลนางให้ดี ฝั่งท่านแม่และน้องสาม ข้าจะไปรายงานเอง”
สืออีเหนียงพยักหน้า รู้สึกโล่งใจ ทานข้าวเย็นที่เรือนของซื่อเหนียง จากนั้นก็กลับไปที่เหอฮวาหลี่กับชีเหนียง
ไปคารวะไท่ฮูหยิน หลังจากนั้นชีเหนียงก็บอกว่าอยากจะไปดูเรือนท่าเรือหลิวฟัง
เป็นช่วงต้นฤดูร้อน เรือนท่าเรือหลิวฟังติดกับภูเขาและแม่น้ำ ดอกไม้ต้นไม้เขียวขจี เรือนหลักห้าห้อง ข้างหน้าคือท่าเทียบเรือ ข้างหลังคือที่พัก ข้าวของที่นางนำมาถูกจัดวางตามที่นางชอบ สาวใช้และท่านป้ายืนอยู่ใต้ชายคาด้วยความเคารพ นางพอใจเป็นอย่างมาก วางแผนว่าจะไปทานไส้กรอกข้าวที่วัดฮู่กั๋ว
สืออีเหนียงบอกให้คนไปรายงานพ่อบ้านไป๋ลานข้างนอก บอกให้เขาจัดการเรื่องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ชีเหนียงยิ้ม รีบไล่สืออีเหนียงกลับไป “…ประเดี๋ยวเขาจะไปนอนที่เรือนของอนุภรรยาจริงๆ เจ้าจะมาคิดบัญชีกับข้า”
“พูดอะไรเช่นนี้เล่าพี่หญิง” สืออีเหนียงมองค้อนใส่นาง จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋ไม่อยู่ที่เรือน แต่กลับให้หลินปัวมารอนาง
“ท่านโหวบอกว่า เชิญท่านไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นขอรับ” แต่สายตากลับมองไปข้างหลังนาง ราวกับกำลังดูว่าชีเหนียงตามมาด้วยหรือไม่
สืออีเหนียงยิ้มแล้วไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นทันที
สวีลิ่งอี๋อยู่ที่ห้องหนังสือ กำลังถือกระดาษ ทันทีที่เห็นนางเข้ามา เขาก็เอ่ยเรียกนาง
“ข้าขอให้โอวหยางหมิงช่วยข้าสืบ” เขายื่นกระดาษให้สืออีเหนียง “หลี่จี้คนนี้ไม่ธรรมดา เจ้าลองดูสิ!”
สืออีเหนียงรับกระดาษมา
ล้วนแต่เป็นเรื่องของหลี่จี้ คุณชายสองสกุลหลี่ ตั้งแต่เขาเกิดจนถึงตอนนี้ สืบได้ละเอียดมาก แม้แต่เรื่องที่เขาพยายามฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ตอนเด็ก เพราะว่าหน้าตาที่สวยงามของตัวเอง จึงมักจะถูกล้อว่าเป็นคุณหนูสองสกุลหลี่ก็เขียนไว้อย่างชัดเจน
“เช่นนั้นท่านโหวคิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“หลี่จี้เถิด!” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าคิดว่าเด็กคนนี้มีอนาคต”
สืออีเหนียงนึกถึงสายตาที่ผิดหวังของเซ่าจ้งหราน “แล้วคุณชายสกุลเซ่าล่ะเจ้าคะ”
“หากพูดถึงเรื่องของสกุล แน่นอนว่าคุณชายเซ่าเหมาะสมที่สุด” สวีลิ่งอี๋พูด “แต่ไม่มีใครได้รับตำแหน่งตั้งแต่เกิด เป็นมังกรหรือว่าเป็นหงส์ ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายเซ่าอยู่ที่ซังโจว” ยังคงยืนกรานปฏิเสธที่จะแต่งงานกับสกุลเซ่า “ช่วงนี้ข้าจะหาเวลาไปสังเกตคุณชายสกุลหลี่คนนั้นอย่างละเอียด ดูว่าเขาฉลาดเฉลียวและมีความสามารถอย่างที่ทุกคนพูดหรือไม่ ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยไปเจอกับหลี่ฮูหยิน ดูกันไปก่อนก็ไม่สาย”
ตัวเองอยู่แต่ในเรือน จะเทียบกับสวีลิ่งอี๋ที่มีบริวาร มีช่องทางในการสืบภูมิหลัง นิสัยและความรู้ของคนที่มาสู่ขอได้อย่างไร
นางจึงพยักหน้าตอบรับ “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หยัดกายยืนขึ้น “ไปกันเถิด เราไปหาท่านแม่ ไปเล่าเรื่องนี้ให้ท่านแม่ฟัง ให้ท่านแม่ช่วยออกความคิดเห็น”
เขามีข้อสรุปในใจอยู่แล้ว ไปเล่าให้ไท่ฮูหยินฟัง ก็แค่เป็นการแสดงความเคารพ
สืออีเหนียงยิ้มรับแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินอ่านกระดาษพวกนั้นอย่างละเอียด ยิ้มแล้วพูดว่า “หน้าตาของคุณชายสองสกุลหลี่เป็นเช่นไร”
“ยังไม่เคยเจอขอรับ” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “แต่ว่าผู้บัญชาการหลี่หน้าตาหล่อเหลา คิดว่าคุณชายสองสกุลหลี่ก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไร”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นคุณชายสองสกุลหลี่คนนี้ ทำให้ข้านึกถึงเจ้าตอนเด็กๆ ซนจนทำให้คนปวดหัว แต่เมื่อทำอะไรจริงจังขึ้นมาก็ไม่เคยผิดพลาด”
ได้ยินคำชมจากท่านแม่ สวีลิ่งอี๋พลันรู้สึกเขินอาย
