หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ สืออีเหนียงก็ให้ป้าซ่งไปส่งชีเหนียงไปที่ห้องรับแขกที่จูอานผิงพักผ่อนเมื่อวาน “…พี่เขยเดินทางทั้งวันทั้งคืน พาคนคุ้มกันมาด้วยแค่สองคน ไม่มีใครคอยรับใช้เขาคงจะไม่ดี พี่หญิงเจ็ดรีบไปช่วยเขาเก็บข้าวของเถิดเจ้าค่ะ”
ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ นางไม่ได้พูดถึงเซียงอวิ๋น
ชีเหนียงเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ก่อนหน้านี้แค่โมโหเรื่องที่ไม่มีลูก มองอะไรก็ไม่พอใจขัดหูขัดตาไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้นางสงบสติอารมณ์ครุ่นคิด แต่ยามนี้จูอานผิงพูดเช่นนั้น ทำให้นางสบายใจขึ้นไม่น้อย เรื่องบางเรื่องที่ปกติไม่ค่อยสนใจก็ผุดขึ้นมาในหัว จึงยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ลุกขึ้นบอกลาไท่ฮูหยิน “…ท่านโหวให้เราพักอยู่ที่เรือนฉงเซียง ก่อนที่เราจะซื้อเรือน เกรงว่าคงจะต้องอยู่ที่นั่นตลอด ประเดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จแล้ว ค่อยเชิญไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้า หลานชาย หลานสาวและซินเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งเล่นนะเจ้าคะ”
สามีภรรยาคืนดีกัน แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ไท่ฮูหยินเป็นคนฉลาด นางยิ้มแล้วออกไปส่งชีเหนียงที่ประตู บอกให้สืออีเหนียงดูแลนางให้ดี จากนั้นฮูหยินห้าก็ประคองนางกลับเข้าไปในห้อง
ชีเหนียงเบะปาก “เซียงอวิ๋นข้าคงจะไม่เก็บนางไว้แล้ว เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรดี”
นี่เป็นเรื่องของตระกูลนาง สืออีเหนียงไม่อยากเข้าไปแทรกแซง แต่เมื่อนางนึกถึงท่าทางคุกเข่าร้องไห้ของเซียงอวิ๋น ก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของชีเหนียง
ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำอะไรล้วนไม่เป็นระเบียบ อีกทั้งยังเป็นถึงสาวใช้คนสนิท ต่อไปหากจูอานผิงกับชีเหนียงทะเลาะกันอีก นางไม่เพียงแต่เกลี้ยกล่อมไม่ได้ เกรงว่ายังจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น แต่ถ้าหากตั้งใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว
นางพูด “เรื่องนี้ ท่านปรึกษากับพี่เขยเถิดว่าจะทำเช่นไร”
ความมั่นใจแค่นี้ ชีเหนียงยังพอมี จึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เขยของเจ้ามีอะไรต้องปรึกษา ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะให้นางไปอยู่ที่ไหน ไล่นางออกไปที่จวนเจ้าคงจะไม่ดี ไท่ฮูหยินรู้เข้าอาจจะคิดว่าข้าเป็นคนใจแคบ ทำให้เจ้าต้องเสียชื่อเสียง” พูดจบ สายตาของนางก็เป็นประกาย “พี่หญิงสี่ไม่สบายไม่ใช่หรือ มีคนคอยรับใช้ยิ่งมากก็ยิ่งดี ตอนนี้ข้าอยู่ที่จวนของเจ้า ก็ถือว่าข้าเป็นแขก พาคนมาด้วยเยอะแยะคงจะไม่สะดวก ไม่สู้ส่งนางไปอยู่กับพี่หญิงสี่ คนอื่นได้ยินเข้าก็พูดอะไรไม่ได้”
อวี๋อี๋ชิงพึ่งพาทรัพยากรของตระกูลพ่อตาร่ำเรียนหนังสือจนสอบขุนนางทั่นฮวาได้ นายหญิงสองคิดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ และซื่อเหนียงก็เคารพสามีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ครั้งหนึ่งยังเคยเกลี้ยกล่อมนายหญิงสอง ‘เป็นคนดีไม่หวังสิ่งตอบแทน เรื่องบางเรื่อง ท่านแม่ก็ลืมมันไปเถิดเจ้าค่ะ’
นายหญิงสองฟังเข้าใจหรือไม่สืออีเหนียงไม่รู้ แต่สืออีเหนียงกลับฟังเข้าใจ รวมถึงเมื่อเห็นซื่อเหนียงนอนป่วยติดเตียง อวี๋อี๋ชิงก็ยังคงเคารพซื่อเหนียงเหมือนเมื่อก่อน เขาไม่เคยไม่พอใจที่ซื่อเหนียงรับใช้เขาไม่ได้ สืออีเหนียงยิ่งรู้สึกว่าพี่หญิงสี่ที่ตัวเองไม่ค่อยรู้จักคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ในเมื่อชีเหนียงบอกว่าจะส่งเซียงอวิ๋นไปที่นั่น แน่นอนว่านางต้องเชื่อว่าซื่อเหนียงจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ดี
“เช่นนั้นก็ไปบอกพี่หญิงสี่เถิด!” สืออีเหนียงพยักหน้า นึกถึงเรื่องอื่นได้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามชีเหนียง “ว่าแต่ซานตงของพวกท่าน เออร์เจียวร้านไหนมีชื่อเสียงมากที่สุด?”
ชีเหนียงยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ตอนนั้นรีบเกินไปจึงคิดไม่ถึงเรื่องนี้ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปซื้อที่จี่หนานให้เจ้า”
“เยี่ยนจิงมีทุกอย่างเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าแค่อยากจะส่งของขวัญไปให้สกุลเจียง จึงอ้างชื่อของพี่หญิง”
ชีเหนียงไม่เข้าใจ “อ้างชื่อของข้า?”
มันไม่ใช่ความลับอะไรของสกุลหลัว สืออีเหนียงจึงเล่าเรื่องที่นายหญิงเจียงพาคุณหนูน้อยเก้าที่จะแต่งงานกับจุนเกอมาเยี่ยนจิงให้นางฟัง “ท่านมาพอดี ส่งเออร์เจียวไปคารวะเจียงฮูหยิน จะได้ถือโอกาสนี้ให้สกุลเจียงบอกให้นายหญิงเจียงมาพูดเรื่องนี้กับเราให้ชัดเจน”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สนใจ “อย่างนั้นก็หมายความว่า จุนเกอจะหมั้นหมายแล้วหรือ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แค่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนฤดูใบไม้ร่วงก็คงจะดี”
ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “หอไหวเต๋อตรงถนนซีต้าก็มีเออร์เจียวซานตงของแท้ขาย ข้าเคยทาน เป็นรสชาติเดียวกับที่ข้าทานที่เกาชิง”
สืออีเหนียงให้เยี่ยนหรงนำป้ายคู่ไปบอกพ่อบ้านไป๋ไปซื้อกลับมา และให้ชีเหนียงช่วยเปลี่ยนห่อให้เป็นเหมือนของซานตง จากนั้นก็ให้ป้าซ่งส่งไปที่สกุลเจียง หลังจากนั้นชีเหนียงก็พามู่ฝูไปหาเซียงอวิ๋นที่อยู่กับหู่พั่ว
เมื่อถึงยามค่ำ ป้าซ่งก็กลับมาแล้ว
สกุลเจียงถือโอกาสนี้พูดให้ชัดเจนจริงๆ “…เพราะว่าผิดดินฟ้าอากาศ จึงไม่ได้ไปหาญาติพี่น้องและมิตรสหาย สองวันนี้พึ่งจะดีขึ้น กำลังจะมาคารวะไท่ฮูหยิน แต่บังเอิญที่เราส่งของไปให้ จึงฝากมาคารวะไท่ฮูหยินและท่านเจ้าค่ะ”
นางกำลังพูด หลินปัวก็มาพอดี “ท่านโหวบอกว่าคุณชายจูมีคุณชายห้าอยู่เป็นเพื่อน เขามีธุระที่สกุลหลิน แล้วก็จะออกไปข้างนอก คงจะกลับมาดึก บอกฮูหยินว่าไม่ต้องรอขอรับ”
มีธุระที่สกุลหลิน? หรือว่าไปดูเซ่าจ้งหรานคนนั้น แล้วหลังจากนั้นเขาจะไปที่ไหนกัน
สืออีเหนียงครุ่นคิด
แต่ในเมื่อสวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร นางก็ไม่อยากถามบ่าวรับใช้อย่างหลินปัว จึงยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน ไปเล่าคำพูดของสกุลเจียงให้ไท่ฮูหยินฟัง ตัดสินใจว่าจะเชิญสกุลเจียงมางานเลี้ยงวันที่สิบหกเดือนห้า สืออีเหนียงกลับไปเขียนเทียบเชิญ บอกให้โรงครัวเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม เชิญคณะงิ้วมาขับร้อง ยุ่งจนถึงยามไฮ่ สวีลิ่งอี๋ก็ยังไม่กลับมา นางจึงไปนอนคนเดียว
เช้าของวันต่อมา จูอานผิงและชีเหนียงไปยังตรอกเหล่าจวินถัง สืออีเหนียงจัดการเรื่องของจวนอยู่ที่โถงบุปผาทิศตะวันตกจากนั้นก็ตรวจสอบเสื้อผ้าฤดูร้อนที่บ่าวรับใช้ตัดเย็บ กลับไปที่เรือนศาลาริมน้ำแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสวีลิ่งอี๋เข้าโดยบังเอิญ
นอกจากเสื้อผ้าที่ยับแล้ว เขาก็ยังดูเหมือนเดิม แต่จากประสบการณ์ของนาง สืออีเหนียงคิดว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืนแน่นอน จึงเรียกสาวใช้ยกชาเข้ามา จากนั้นก็รับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
สวีลิ่งอี๋พับแขนเสื้อขึ้นล้างหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไปดูเซ่าจ้งหรานที่เจ้าพูดแล้ว เป็นคนมีความสามารถจริงๆ” พูดด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชม
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็นึกกังวลขึ้นมา “ท่านไม่ได้ทำให้คนสกุลหลินตกใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เซ่าจ้งหรานเป็นคนเช่นไรกันแน่ ยังต้องให้เวลาพิสูจน์ นางพูดถึงเขาต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ ก็แค่ให้โอกาสวีลิ่งอี๋ได้เลือกเขาบ้างก็แค่นั้น แต่หากเรื่องนี้ทำให้การตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋ลำเอียง นั่นไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็น
“ถึงแม้ว่าจะรู้ พวกเขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “แต่ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นด้อยกว่าเด็กหนุ่มสกุลหลี่ ตอนที่เด็กหนุ่มสกุลหลี่เจอกับข้านั้นยังสุขุม แต่เขายังพูดติดๆ ขัดๆ ช่วงแรก” พูดด้วยน้ำเสียงที่ขบขัน ราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ผู้น้อย
สืออีเหนียงหัวเราะ
นึกถึงเซ่าจ้งหรานที่อายุแค่สิบกว่าปี หากเจอสวีลิ่งอี๋แล้วยังสามารถรักษาความสุขุมไว้ได้ เช่นนั้นก็คงจะเป็นเด็กที่โตเร็ว
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงหลี่จี้
น่าจะเป็นเด็กที่มีความสามารถไม่น้อย!
สวีลิ่งอี๋ถามถึงเรื่องของสกุลเจียง “…เป็นเช่นไรบ้าง”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ตกลงกับไท่ฮูหยินให้เขาฟัง
สวีลิ่งอี๋ชำระล้างตัวเสร็จเรียบร้อย พวกเขาสองคนก็เดินออกมาจากห้องชำระ
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ผู้ดูแลจ้าวที่ฝ่ายรายงานมาขอพบเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเจอผู้ดูแลจ้าวที่ห้องโถง จากนั้นก็กลับมาบอกสืออีเหนียง “ขุนนางฝ่ายในสู่ขอสกุลโจวอย่างเป็นทางการแล้ว สำนักดาราศาสตร์ดูฤกษ์ อีกสองวันจะแลกหนังสือผูกดวง”
“ข่าวแพร่กระจายออกไปแล้ว หากดวงไม่สมพงษ์กันล่ะเจ้าคะ?” สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่หลินหมิงหย่วนถูกปฏิเสธ นางก็ใช้ข้ออ้างนี้
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง สำนักดาราศาสตร์จะต้องให้คำตอบที่ทำให้ฮ่องเต้พอพระทัยแน่นอน”
ก็จริง ไม่เช่นนั้นหมอดูพวกนั้นจะเข้าใจคนอื่นได้เช่นไร
“ถ้าอย่างนั้นช่วงบ่ายวันนี้ข้าไปจวนสกุลโจวดีกว่า” สืออีเหนียงพูด “จะได้ปฏิเสธเรื่องนี้เร็วหน่อย”
“ก็ดีเหมือนกัน” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ค่อยๆ จัดการไปทีละเรื่อง” จากนั้นก็บอกสืออีเหนียง “ข้าจะนอนสักประเดี๋ยว เจ้าไม่ต้องเรียกข้าทานข้าวกลางวันแล้ว” ไม่ได้บอกว่าเมื่อคืนไปทำอะไรมา
สืออีเหนียงปูเตียงให้เขาแล้วรับใช้เขานอนหลับไป บอกให้สาวใช้เฝ้าอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ส่งคนไปซื้อเออร์เจียวของซานตงที่หอไหวเต๋อ เตรียมรถม้า ทานข้าวกลางวันกับไท่ฮูหยินเสร็จแล้วก็ไปที่จวนขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง
ด้านประตูจวนขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงยังคงเงียบสงบเหมือนครั้งก่อนที่นางมา โจวฮูหยินได้ยินว่านางมาแล้ว ก็ออกมาต้อนรับที่หน้าประตูฉุยฮวา ไม่รอให้นางพูด โจวฮูหยินก็ยิ้มแล้วพูดว่า “การแต่งงานคือการสร้างสัมพันธ์ที่ดีของสองสกุล ตอนนี้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ของเรามีโอกาสได้รับใช้องค์ชายใหญ่ ก็คือการสร้างสัมพันธ์ที่ดีของสองสกุลเช่นกัน”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก คล้อยตามโจวฮูหยินแล้วพูดว่าสองสกุลเราช่างมีพรหมลิขิต จากนั้นก็ไปคารวะองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง
องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงกำลังพูดคุยกับฟังเจี่ยเอ๋อร์
เมื่อเห็นสืออีเหนียง นางก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เข้ามาคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม แต่ก็ยังเขินอาย ไม่ลากสืออีเหนียงไปพูดด้วยเหมือนครั้งก่อนที่เจอกัน คำนับเสร็จก็ขอตัวออกไปทันที
สืออีเหนียงคำนับองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง แสดงความยินดีกับฟังเจี่ยเอ๋อร์ก่อน จากนั้นก็มอบเออร์เจียว “พี่หญิงของหม่อมฉันมาจากซานตง นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาฝากด้วยเพคะ” จากนั้นก็พูดคุยกับองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงสองสามประโยคและขอตัวลา
โจวฮูหยินออกมาส่งหน้าที่หน้าประตูฉุยฮวา
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ชีเหนียงมาหาหมอที่เยี่ยนจิงให้โจวฮูหยินฟัง แล้วก็ขอร้องนางช่วยหาหมอเก่งๆ ให้สักหนึ่งคน
โจวฮูหยินรับปาก สืออีเหนียงเดินทางกลับไปที่เหอฮวาหลี่
สวีลิ่งอี๋ตื่นแล้ว กำลังเอนตัวครุ่นคิดบางอย่างอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงเขาก็เงยหน้าขึ้น “เป็นเช่นไรบ้าง พูดชัดเจนแล้วหรือยัง” เขายิ้ม
“เราไม่จำเป็นต้องพูดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้า เล่าเรื่องที่จวนองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงให้สวีลิ่งอี๋ฟัง รับใช้สวีลิ่งอี๋ตื่นนอน จากนั้นก็ไปทานข้าวเย็นที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เมื่อกลับมาที่เรือนตอนเย็น กำลังหย่อนตัวนั่งลง หลินปัวก็มาพอดี
เขานำจดหมายมาให้สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋อ่านเสร็จก็เผาจดหมายฉบับนั้นเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าสืออีเหนียง จากนั้นก็บอกสืออีเหนียงว่า “ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก หากถึงยามไฮ่แล้วยังไม่กลับมา เจ้าก็นอนก่อนเถิด”
หากขนาดนี้แล้วยังมองความรุนแรงของสถานการณ์ไม่ออก สืออีเหนียงคงจะโง่เขลาเกินไปแล้ว!
นางถามสวีลิ่งอี๋ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” นางมองเขาดวงตาที่สดใสราวกับหยดน้ำ
สวีลิ่งอี๋หลับตาแล้วลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาพูดว่าไม่มีอะไรอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็บอกให้นางรีบพักผ่อน ส่วนตัวเองหันหลังเดินออกไปจากเรือนศาลาริมน้ำ
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เหวินอี๋เหนียงและเฉียวเหลียนฝังมาคารวะนางพอดี นางจึงบอกให้เหวินอี๋เหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อนตัวเอง
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เหวินอี๋เหนียงช่วยสืออีเหนียงจัดการบัญชี สืออีเหนียงก็มักจะขอให้นางมาช่วยเป็นครั้งคราว เหวินอี๋เหนียงเดาว่าสืออีเหนียงกำลังทำสงครามเย็นกับท่านป้าผู้ดูแลในจวน ดังนั้นนางจึงยืมจุดแข็งของตัวเอง
ความสำคัญเช่นนี้ประจบประแจงไปก็เปล่าประโยชน์
นางจึงเงียบอยู่ตลอด
สีหน้าของเฉียวหลียนฝังมืดลง
ช่วงนี้เหวินอี๋เหนียงมักจะไม่มาหาสืออีเหนียงคนเดียว แล้วยังมาตอนสวีลิ่งอี๋ไม่อยู่ที่เรือน…
นางนึกถึงสาเหตุที่สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบเหวินอี๋เหนียง
จากนั้นก็ยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับขอตัวออกไป
