ตอนเช้าและตอนเย็นของฤดูใบไม้ร่วงอากาศจะเย็นสบาย แต่ตอนกลางวันนั้นอากาศค่อนข้างร้อนระอุ ดวงอาทิตย์ส่องแสงแสบตามากกว่าฤดูร้อนเสียอีก
สืออีเหนียงมองทารกน้อยที่ถูกห่อด้วยผ้าอ้อมสีแดงอย่างแน่นหนา นางถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ห่อผ้าเยอะเกินไปหรือไม่”
อี๋เหนียงห้าอวบอิ่มขึ้นมากหลังจากคลอดบุตรชาย นางเอนกายพิงหมอนอิงข้างหัวเตียงมองดูบุตรสาวและบุตรชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าผ่อนคลายลง ดูมั่นใจยิ่งขึ้น
“คุณชายเจ็ดยังเล็กอยู่ ยังไม่รู้จักร้อนรู้จักหนาว ห่มให้มากหน่อยจะดีกว่า” อี๋เหนียงหกยิ้มพลางลูบผมดำขลับของทารกน้อย “ดูปากเล็กๆ นี่สิ ช่างเหมือนกับคุณหนูสิบเอ็ดของพวกเราเสียจริง”
อี๋เหนียงห้าให้กำเนิดบุตรชายเมื่อวันที่สิบเดือนแปด แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ จัดอยู่อันดับที่เจ็ดในบรรดาพี่น้อง วันนี้เป็นวันทำพิธีสรงสาม ทุกคนในบ้านต่างเริ่มเรียกเขาว่าคุณชายเจ็ดแล้ว
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็สำรวจมองเด็กน้อยอย่างละเอียด
หน้าแดงเหมือนก้นลิง เปลือกตาของเขาปิดอยู่ตลอดเวลา เลยไม่รู้ว่าดวงตานั้นใหญ่หรือเล็ก ปากเล็กๆ สีแดงสด โค้งงามเหมือนกับกระจับ ราวกับเขารู้สึกตัวว่ามีคนกำลังจับจ้องอยู่ มุมปากเล็กๆ กระตุกและพ่นฟองอากาศออกมา
“อี๋เหนียง ท่านดูสิ ท่านดูสิ” นางรู้สึกว่าน่าสนใจมาก อุ้มเด็กน้อยมาไว้ตรงหน้าอี๋เหนียงห้า“เขารู้จักพ่นฟองอากาศด้วย”
“คงจะหิวแล้วกระมัง!” อี๋เหนียงห้ายิ้ม จากนั้นก็มีแม่นมเข้ามาอุ้มเด็กออกไป
อี๋เหนียงห้าดึงสืออีเหนียงไปนั่งคุยที่ข้างเตียง อี๋เหนียงหกกล่าวลาโดยอ้างว่าจะไปต้อนรับแขกคนอื่นๆ
“ช่วงนี้เจ้าสบายดีหรือไม่” อี๋เหนียงห้ามองด้วยสายตาเป็นกังวล
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงจับมืออี๋เหนียงห้าแล้วพูดว่า “เรื่องในบ้านเริ่มคล่องตัวแล้ว ในทุกๆ ห้าวันจะได้พักสองวัน บางครั้งในตอนบ่ายก็ไม่ได้มีเรื่องอันใดให้จัดการ บางครั้งก็ทำงานเย็บปักอยู่ในห้อง บางครั้งก็สอนให้เจี้ยเกอรู้จักตัวอักษร แต่หากไม่อยากทำอะไรก็จะไปเล่นไพ่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย งานแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์กับงานแต่งงานของซื่อจื่อได้ถูกกำหนดหมั้นหมายเอาไว้แล้ว มีเหวินอี๋เหนียงคอยช่วยจัดการเรื่องสินเดิมของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อไม่กี่วันก่อนนางสั่งเครื่องลายครามจากเตาเผาของทางการมาหนึ่งชุด ข้าเห็นว่ามันดีกว่าของที่ทำขึ้นในจวนเสียอีก ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่ให้ข้าต้องเป็นห่วง แม้ว่าซื่อจื่อจะอายุยังน้อยแต่ก็เป็นเด็กที่มีความซื่อสัตย์ อีกทั้งยังถูกเลี้ยงดูจากไท่ฮูหยินโดยตรง สี่ห้าวันข้าก็จะไปถามไถ่สถานการณ์ของเขาเป็นครั้งคราว ท่านโหวเป็นคนเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ บรรดาอี๋เหนียงก็อยู่กันอย่างสงบสุข อี๋เหนียงไม่ต้องเป็นห่วงข้าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” อี๋เหนียงห้าได้ฟังก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เป็นเพราะข้าจะคลอดบุตรจึงทำให้การเดินทางของคนในจวนล่าช้าไปหมด นายท่านใหญ่เพิ่งบอกเมื่อวานว่ารอให้คุณชายเจ็ดอายุครบหนึ่งเดือนก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง ต่อไปเจ้าอยู่ที่เยี่ยนจิงคนเดียวก็ต้องดูแลตัวเองแล้ว…” นางพูดพลางน้ำตาไหลริน
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ” สืออีเหนียงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้นาง “ท่านพึ่งจะคลอดบุตร อย่าร้องไห้เลยมันไม่ดีต่อดวงตา”
อี๋เหนียงห้ากลัวว่าสืออีเหนียงจะเป็นห่วง จึงพยายามกลั้นน้ำตาไว้
สืออีเหนียงยัดถุงเงินให้นาง “ในนี้มีตั๋วเงินสามร้อยตำลึง ทั้งหมดแบ่งเป็นใบละสิบตำลึงกับห้าตำลึง เวลาฉุกเฉินก็ให้คนนำไปแลกที่คลังเงินเอาออกมาใช้ พอน้องเจ็ดอายุครบหนึ่งปีข้าจะส่งผู้ดูแลไปแสดงความยินดี เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะนำตั๋วเงินส่งไปให้ท่านอีก ท่านไม่ต้องประหยัดจนเกินไป จนทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน”
อี๋เหนียงห้าตกใจ “เจ้าเอาเงินมาจากไหน” รีบพูดต่อว่า “เจ้าอย่าแตะต้องเงินส่วนกลางเด็ดขาด หากใครรู้เข้าเจ้าจะเสียหายไปทั้งชีวิต!”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดปลอบใจนาง “ข้าเป็นผู้ดูแลของกินของใช้ในเรือน นอกจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือนแล้ว ยังมีเงินอีกหนึ่งร้อยตำลึงที่ข้าได้ทุกเดือน ตัวข้าเองก็ยังมีเงินเดือนอีกห้าสิบตำลึง นอกจากนั้นท่านโหวก็ยังให้ข้าเพิ่มอีกห้าสิบตำลึง ยิ่งไปกว่านั้นในปีนี้แตงโมและถั่วลิสงในที่ดินของข้าเติบโตได้ดี แม้ว่าจะทำเงินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ขาดทุน ตอนนี้ข้าไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน ถึงแม้บางครั้งจะหมุนเงินได้ไม่คล่องตัว แต่พอได้เงินเดือนก็สามารถนำมาเติมเต็มได้ อี๋เหนียงไม่ต้องเป็นห่วงข้าไป”
อี๋เหนียงห้าไม่เชื่อ สายตาจ้องลวดลายสีเขียวอ่อนที่ปักอยู่บนเสื้อสีขาวนวลของสืออีเหนียง “นี่เป็นชุดใหม่อีกแล้วใช่หรือไม่ ตั้งแต่ที่เจ้าแต่งงานข้ายังไม่เคยเห็นเจ้าใส่ชุดซ้ำกันเลย!”
“ในจวนของเรามีโรงเย็บปักเป็นของตัวเอง ตามธรรมเนียมของจวน ข้ามีเสื้อผ้ายี่สิบสี่ชุดที่สั่งทำใหม่ตลอดทั้งปี หากยังอยากได้เพิ่มอีกก็ไม่ต้องเสียเงิน เพียงแค่นำวัสดุไปให้ก็พอแล้ว ตอนที่ข้าออกเรือนนายหญิงใหญ่ได้ให้ผ้ามาบ้างเล็กน้อย เมื่อมาอยู่สกุลสวี ในวังกับไท่ฮูหยินก็ได้มอบผ้าเป็นรางวัลให้ข้าอีก เสื้อผ้าที่ท่านเห็นในวันนี้ทำมาจากผ้าที่ฮองเฮาประทานให้” สืออีเหนียงเห็นว่าอี๋เหนียงห้าไม่เชื่อคำพูดของตัวเอง จึงอธิบายอย่างละเอียด “ปกติเวลาอยู่ที่เรือนข้าจะแต่งตัวสบายๆ ออกจากเรือนต้องเห็นแก่หน้าตาของสกุลสวีถึงต้องแต่งตัวให้ดูดี ไม่ใช่ว่าข้าจะใส่เสื้อผ้าใหม่ทุกวัน”
อี๋เหนียงห้าเชื่อว่าบุตรสาวไม่ใช่คนประเภทที่เห็นความร่ำรวยเป็นไม่ได้ ทั้งยังเห็นว่านางพูดอธิบายอย่างมีเหตุผลจึงเชื่อนางในที่สุด แต่ยังคงไม่ต้องการเงินของนาง “เมื่อสองวันก่อนนายท่านให้เงินข้าห้าสิบตำลึง ของกินของใช้ส่วนตัวก็เบิกได้จากส่วนกลาง ข้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้”
“ข้าให้ท่าน ท่านก็รับไว้เถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ที่นี่มีคุณนายใหญ่เป็นผู้ดูแล ข้าเองก็อยู่ที่เยี่ยนจิง ทุกอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อกลับไปอวี๋หัง…หากไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ควรจะคิดถึงน้องเจ็ดสักหน่อย”
ใบหน้าของอี๋เหนียงห้าเผยให้เห็นถึงความลังเล
สืออีเหนียงอาศัยโอกาสนี้ยัดถุงเงินใส่ใต้หมอนของอี๋เหนียงห้า “การเลี้ยงดูคุณชายเจ็ดให้ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญ”
อี๋เหนียงห้าไม่ได้พูดอะไรอีก
ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตู “อี๋เหนียงห้า คุณหนูห้ากับคุณหนูเจ็ดมาเจ้าค่ะ”
ตอนที่อี๋เหนียงหกออกไปก็ให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติในห้องออกไปด้วย สืออีเหนียงจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นสาวใช้น้อยคนสนิทของอี๋เหนียงห้าจึงเอ่ยถามนางว่า “เจ้าชื่อจินจวี๋ใช่หรือไม่”
สาวใช้น้อยผู้นั้นหน้าแดงไปหมด นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง พูดด้วยความประหม่าว่า “เรียนฮูหยิน บ่าวคือจินจวี๋เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ดูแลอี๋เหนียงห้าให้ดี เมื่อเจ้าออกเรือน ข้าจะจัดสินสอดทองหมั้นให้เจ้า หากมีเรื่องยากลำบากใดๆ เจ้าสามารถให้คนส่งจดหมายมาให้ข้าได้ ข้าจะจัดการให้เจ้า”
จินจวี๋ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก รู้เพียงต้องตอบว่า “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปต้อนรับอู่เหนียงกับชีเหนียง
อู่เหนียงพาซินเกอมาด้วย แต่คนที่อุ้มเด็กกลับเป็นชีเหนียง
เมื่อเห็นสืออีเหนียงแม่นมของซินเกอก็จะเข้ามาอุ้มเด็กไป แต่ชีเหนียงกลับไม่ยอมให้ “ข้าจะอุ้มอีกสักหน่อย”
อู่เหนียงมองอย่างขบขัน แล้วกำชับแม่นมว่า “เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ถ้านางอยากอุ้มก็ปล่อยให้นางอุ้มเถิด!”จากนั้นก็ทักทายสืออีเหนียง “ทำไมเจ้ามาเร็วเช่นนี้!”
สืออีเหนียงเห็นโซ่ทองเล็กๆ ห้อยอยู่บนคอของซินเกอ แล้วยังสวมสร้อยคอที่แขวนป้ายทองคำที่มีคำอวยพรว่า ‘สมความปรารถนาทุกประการ’ รู้ว่าชีเหนียงเป็นคนให้สร้อยเส้นนั้นแน่ๆ เอ่ยทักทายพี่หญิงทั้งสองพลางยิ้มแล้วจับมือซินเกอ “ซินเกอยิ่งโตก็ยิ่งรูปงาม”
เด็กน้อยตัวอวบอ้วน น่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว!” ชีเหนียงไม่ค่อยชินกับการอุ้มเด็ก แขนค่อยๆ เลื่อนลง เด็กน้อยไหลลงมาที่หน้าอก เหมือนกับป้ายหยกใหญ่ๆ ห้อยอยู่ที่คอ ทุกคนเห็นดังนั้นก็หัวเราะเสียงดัง อู่เหนียงอาศัยโอกาสนี้อุ้มเด็กน้อยมาไว้ในอ้อมแขนของตน “เจ้าอย่าสร้างปัญหาให้ข้าเลย หากวันนี้ซินเกอไม่สบายท้องข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า”
ชีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ ถามสืออีเหนียงว่า “ตานหยางอยู่ที่จวนหรือไม่”
นางคุ้นเคยกับฮูหยินห้าจนสามารถเรียกว่า ‘ตานหยาง’ ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน!
สืออีเหนียงรู้สึกสับสน พูดขึ้นมาว่า “ท่านได้ข่าวไวมาก นางพึ่งกลับมาจากตรอกหงเติงเมื่อสองวันก่อน!”
“ข้าได้ยินนางบอกว่าจะกลับมาฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เหอฮวาหลี่” ชีเหนียงพูดต่อว่า “ลองนับวันดูก็คาดว่านางคงกลับมาแล้ว”
แววตาของอู่เหนียงที่อยู่ข้างๆ ฉายแววอิจฉา “เจ้าไปสนิทสนมกับตานหยางเซี่ยนจู่ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ชีเหนียงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เราพูดคุยกันถูกคอก็เลยสนิทกัน!”
กลางเดือนเจ็ดจูอานผิงชวนสวีลิ่งควนไปลอยโคมประทีป สวีลิ่งควนพาตานหยางไปด้วย ให้ไท่ฮูหยินเป็นคนดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงกลัวไท่ฮูหยินจะเหนื่อยจึงไปช่วยเลี้ยงเด็กอยู่นาน เมื่อพวกเขาสองคนกลับมาถึงได้รู้ว่าชีเหนียงก็ไปด้วย สามีภรรยาสองคู่จุดดอกไม้ไฟที่ริมแม่น้ำ ไปทานอาหารที่โรงเตี๊ยม ฟังดนตรีและเที่ยวเล่นกันอย่างมีความสุข
“เจ้าถามหาฮูหยินห้ามีธุระอะไรหรือ” สืออีเหนียงถามนาง
“คราวที่แล้วบอกว่าจะแนะนำหมอหญิงให้นางไม่ใช่หรือ” ชีเหนียงพูดต่อว่า “ตอนนี้หมอมาแล้ว ข้าจะพาไปพบนางสักหน่อย!”
สืออีเหนียงเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก “หมอหญิงผู้นั้นจะทำได้หรือ อาการป่วยของซินเจี่ยเอ๋อร์ แม้แต่หมอหลวงของสำนักหมอหลวงก็ยังรักษาไม่หาย!”
“ไอ๊หยา” ชีเหนียงไม่สนใจความระมัดระวังของสืออีเหนียง “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว ซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของตานหยาง”
สืออีเหนียงหมดคำพูด
กลับไปพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ว่า “…อย่าให้เกิดความผิดพลาดจะดีที่สุด”
“ตานหยางก็ไม่ใช่คนประมาทเช่นนั้น!” สวีลิ่งอี๋หันมาปลอบใจสืออีเหนียง “อาจเป็นสิ่งพิเศษที่ยังไม่ถูกค้นพบ ไม่แน่ชีเหนียงอาจจะเป็นวาสนาของซินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้!”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น!”
สวีลิ่งอี๋ถามถึงเรื่องที่นางกลับสกุลเดิม “ได้มอบของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วหรือยัง พิธีสรงสามของน้องเจ็ดครึกครื้นหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ญาติทุกคนล้วนมากันหมด” นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “แม้แต่พี่หญิงสี่ก็มาด้วย”
ในบรรดาพี่น้อง ทั้งสองได้แต่งงานในสกุลที่ดี เวลานั่ง ทั้งสองคนก็จะนั่งที่หัวโต๊ะ ซื่อเหนียงเคยบอกกับนางอย่างสบายๆ ว่า ถัดจากจวนนางมีผู้รู้หนังสือเช่าอาศัยอยู่ ภรรยาเอกไม่เคยให้กำเนิดบุตร จนตอนนี้อายุห้าสิบกว่าแล้วก็ยังไม่มีทายาท คิดอยากจะรับอนุมาตลอด แต่ก็ไม่มีเงินสักแดงเดียว ซื่อเหนียงจึงตัดสินใจ ไม่เอาเงินสักแดงเดียว แต่กลับให้เงินสินเดิมยี่สิบตำลึงพร้อมกับยกเซียงอวิ๋นให้เป็นอนุภรรยาของผู้รู้หนังสือผู้นั้น ผู้รู้หนังสือผู้นั้นคำนับนางด้วยความดีใจ แต่ภรรยาของเขากลับทำหน้าเคร่งขรึมไม่พูดอะไรสักคำ
“นางหายดีแล้วหรือ” สวีลิ่งอี๋นั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้แล้วพูดคุยกับสืออีเหนียง “ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะย้ายคณะราชทูต เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เพราะว่าต้องกลับสกุลเดิมเพื่อไปกินเลี้ยงพิธีสรงสามของน้องชาย สืออีเหนียงจึงตั้งใจมวยผมขึ้น เส้นผมสีดำขลับถูกม้วนไว้ที่จอนผม ทำให้ใบหน้าเล็กๆ ของนางดูกระจ่างใสเป็นพิเศษ
“อย่าพึ่งพูดเรื่องของท่านโหวเลย ข้าเองก็ไม่ได้ถามมา”
หงซิ่วช่วยนางดึงหวีคาดผมกับดอกไม้ออก
“วันนี้คุณนายใหญ่สกุลเหลียงมาหา ไม่พบเจ้าจึงฝากข้อความไว้กับป้าซ่ง!”
“หลานถิง?” สืออีเหนียงประหลาดใจ “นางมาหาข้าโดยเฉพาะหรือ” ให้หงซิ่วไปเรียกป้าซ่งมา ส่วนตัวเองสางผมต่อก่อนจะม้วนขึ้นอีกครั้ง
หลายวันมานี้สกุลกานเรียกหลานถิงกลับไปปรึกษาเรื่องแบ่งทรัพย์สินอยู่บ่อยๆ เพราะอยากจะให้สกุลเหลียงช่วยพูดให้ คนนี้เป็นพี่ชาย คนนั้นก็เป็นพี่ชาย ทำเอาหลานถิงลำบากใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ยุ่งไม่ได้ นางเคยมาบ่นกับสืออีเหนียงอยู่ครั้งหนึ่ง
“นางมาตอนบ่ายยามเซิน ข้าเจอที่หน้าประตูฉุยฮวา” สวีลิ่งอี๋พูดต่อว่า “ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนว่าตั้งใจมา!”
หรือว่านางจะมาบ่นกับตนเรื่องของสกุลกานอีก
