ยืมชื่อของพ่อบ้านไป๋อย่างนั้นหรือ
สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘ผู้พิทักษ์ของขุนนางชั้นสูงเปรียบดั่งขุนนางชั้นเจ็ดในราชสำนัก’ พ่อบ้านไป๋เป็นพ่อบ้านใหญ่ของสกุลสวี ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่ประจำชายแดนก็ยังต้องไว้หน้าอยู่บ้าง จะเหมือนกับการใช้คนไม่เหมาะสมกับงานหรือไม่
สืออีเหนียงคิดจะปฏิเสธ แต่พอนึกถึงสีหน้าเมื่อครู่ของสวีลิ่งอี๋ นางกลับพูดออกมาว่า “การมีพ่อบ้านไป๋ออกหน้าให้ ย่อมเป็นออกแรงน้อยแต่ได้ผลประโยชน์มาก”
ทันทีที่นางพูดจบพ่อบ้านไป๋ก็มาพบ
สวีลิ่งอี๋ให้เขาเข้ามา สาวใช้นำเก้าอี้เล็กมาวางไว้ที่หน้าประตู พ่อบ้านไป๋นั่งลงบนเก้าอี้ สวีลิ่งอี๋บอกเหตุผลที่เรียกเขามา แต่กลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเงิน
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางไม่อยากให้สินเดิมของนางมาปะปนกับกิจการของจวนโหว เพื่อไม่ให้มีข่าวว่าร้านขายของมงคลสมรสเป็นสวีลิ่งอี๋ที่มอบให้นาง
เมื่อพ่อบ้านไป๋รู้จุดประสงค์ที่มา แม้ว่าสีหน้าของเขาจะเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจอย่างไม่อาจปกปิดได้ แต่ไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มอย่างจริงใจออกมา “ถือว่าท่านโหวและฮูหยินให้เกียรติข้า เมื่อร้านของฮูหยินมีกำหนดการเปิดแล้ว ข้าจะไปช่วยพูดกับคนของศาลว่าการและกองปัญจทิศรักษานครให้ เพื่อรับรองว่าจะไม่มีใครมาสร้างปัญหาขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จากนั้นพ่อบ้านไป๋ก็ถอยออกไป
เฉียวเหลียนฝังมาพบ
“สองวันมานี้อากาศค่อนข้างแห้ง ข้าเลยทำน้ำแกงลูกท้อมาให้ฮูหยินดื่มดับกระหายด้วยตัวเอง” นางพูดพลางหันไปนำเครื่องลายครามสีขาวจากถาดทองลายดอกเหมยที่ซิ่วหยวนถืออยู่มาวางตรงหน้าสืออีเหนียง “ข้าทำเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะถูกปากฮูหยินหรือไม่” จากนั้นก็เปิดฝาถ้วยออกแล้วใช้ช้อนยาวลายดอกซิ่งฮวาที่ทำจากเงินมาคนเบาๆ “ฮูหยินลองชิมดูสักหน่อยเถิด”
สืออีเหนียงมองสายตาที่กระตือรือร้นของนาง พลันพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่
เหตุใดจู่ๆ เฉียวเหลียนฝังถึงได้กลายเป็นคนกระตือรือร้นเช่นนี้
นางชำเลืองมองสวีลิ่งอี๋ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พบว่าแววตาของเขาฉายแววประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง
“เมื่อครู่พึ่งดื่มชากับอาจารย์เจี่ยนไปสองสามถ้วย แล้วก็ดื่มกับท่านโหวอีกหนึ่งถ้วย” สืออีเหนียงยิ้มพลางเรียกหู่พั่ว “นำไปเก็บที่ห้องครัวก่อน รออีกสักหน่อยค่อยนำมาให้ข้าดื่ม”
หู่พั่วตอบรับ รับถ้วยน้ำแกงมาแล้วเดินออกไป
เฉียวเหลียนฝังหย่อนกายนั่งลงพูดคุยกับสืออีเหนียง
“ฝีมือเย็บปักของฮูหยินดีขนาดนี้ก็ยังหาเวลามาเรียนเย็บปักกับอาจารย์เจี่ยนทุกวัน ฮูหยิน หากท่านไม่รังเกียจว่าข้าโง่ ตอนท่านไปช่วยพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ ข้าเองก็อยากจะถือโอกาสนี้เรียนงานเย็บปักจากอาจารย์เจี่ยนเช่นกัน”
“รออีกสักหน่อยเถิด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “หลายวันมานี้อาจารย์เจี่ยนอาจจะยุ่งอยู่เล็กน้อย”
และในภายภาคหน้านางก็จะยุ่งมากกว่าเดิม เดาว่าคงไม่มีเวลามาสอนเจ้าแล้ว!
นางบ่นอยู่ในใจ
เฉียวเหลียนฝังมีสีหน้าผิดหวัง “ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้คำแนะนำจากอาจารย์เจี่ยน ข้ากะว่าจะทำเสื้อให้ฮูหยิน”
สืออีเหนียงได้ฟังก็เหงื่อแตกพลั่ก “อาจารย์เจี่ยนไม่ได้จะไปเร็วๆ นี้ ต่อไปถ้ามีโอกาสค่อยว่ากันอีกที”
ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน ฉินอี๋เหนียงก็เดินเข้ามา
นางเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของเฉียวเหลียนฝัง จากนั้นก็รีบก้มหน้าลง คำนับสืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋อย่างนอบน้อม นำห่อผ้าจากมือของชุ่ยเอ๋อร์ส่งให้ลี่ว์อวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังสืออีเหนียง “นี่คือรองเท้าหกคู่กับกระโปรงหนึ่งตัวที่ข้าทำให้ฮูหยินเมื่อหลายวันมานี้” สีหน้าเรียบเฉย เสียงเบาเหมือนกับยุง ดูอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณฉินอี๋เหนียงมาก” สืออีเหนียงส่งสัญญาณให้สาวใช้ยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้นาง
นางคำนับขอบคุณแล้วนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้อย่างระมัดระวัง
เหวินอี๋เหนียงเดินเข้ามา
เมื่อเห็นคนเต็มห้องก็ตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เรือนฮูหยินช่างครึกครื้นเสียจริง”
สืออีเหนียงเห็นสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเหวินอี๋เหนียงถือเตาผิงพกพาที่ทำจากไม้ไผ่เซียงเฟยอยู่ในมือ ให้คนยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้นางนั่งแล้วถามขึ้นว่า “เหตุใดถึงได้ถือเตาผิงพกพามาด้วย”
เหวินอี๋เหนียงรีบวางเตาลงบนโต๊ะบนเตียงเตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านดูสิว่างานฝีมือนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เป็นรูปไข่ ขนาดเล็กกว่าชามลายคราม มีการเคลือบเงา สามารถมองเห็นจุดสีม่วงได้อย่างชัดเจน ขนาดเล็กกะทัดรัด ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
“ไม่เลวเลย” สืออีเหนียงมองนางอย่างไม่เข้าใจ
การซื้อเตาผิงพกพาหรืออะไรทำนองนั้นล้วนเป็นความรับผิดชอบของผู้ดูแลเรือนนอก เรือนในเพียงแค่รายงานจำนวนที่ต้องการก็พอแล้ว ทางเรือนนอกจะนำเตาผิงพกพามาเติมเต็มให้ครบตามจำนวนก่อนและหลังฤดูหนาว
“นี่คือรูปแบบใหม่ของหลี่จี้ในปีนี้” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าอยากซื้อให้คุณหนูใหญ่หนึ่งคู่ แต่ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นบุตรเขยจะคิดว่าดูไม่สมฐานะ ดังนั้นข้าจึงนำมันมาให้ท่านดูก่อน ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“ถึงอย่างไรเตาผิงพกพาก็ต้องมีหลายเตา เจ้าช่วยเตรียมให้นางหลายๆ แบบก็พอแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไม้ไผ่หมายถึงสุภาพบุรุษที่รู้หนังสือ ไม่แน่บุตรเขยอาจจะรู้สึกว่าสง่างาม”
“ฮูหยินกล่าวเช่นนี้ข้าก็สบายใจแล้ว” เหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าจะซื้อสักห้าเตา แล้วให้หลี่จี้แกะสลักอักษร ‘ฝูลู่โซ่วฉี่กุ้ย’”
เหวินอี๋เหนียงไม่เคยลืมคำมงคลเลยแม้แต่นาทีเดียว!
สืออีเหนียงพยายามกลั้นหัวเราะ “ข้าว่าแบบนี้ก็ดีมากแล้ว…”
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบในห้องก็มีคนหลุดขำออกมา
ทุกคนมองไปตามเสียงก็เห็นเฉียวเหลียนฝังเอามือปิดปากด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ข้า ข้า…” นางใบหน้าแดงก่ำ เมื่อเห็นสายตาของทุกคน ก็
มองสวีลิ่งอี๋อย่างทำอะไรไม่ถูก แต่กลับเห็นสวีลิ่งอี๋กำลังถือเตาผิงพกพาไม้ไผ่เซียงเฟยขึ้นมาดู
“นี่เป็นรูปแบบใหม่ของหลี่จี้ในปีนี้หรือ” เขาเงยหน้ามองสืออีเหนียง “พวกเราก็สั่งสักสองสามเตาเถิด” เขาไม่ได้ใส่ใจคนอื่นๆ มากนัก
สืออีเหนียงรับคำ
สวีลิ่งอี๋พูดกับเหวินอี๋เหนียงว่า “ไม้ไผ่ดีๆ จะไปแกะสลักตัวอักษรทำไม แค่นี้ก็พอแล้ว”
เหวินอี๋เหนียงเห็นว่าแม้คำพูดของเขาจะดูไม่พอใจ แต่น้ำเสียงดูเรียบเฉย และเป็นการตัดสินใจเรื่องสินสอดทองหมั้นของเจินเจี่ยเอ๋อร์จึงรีบตอบรับด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าค่ะ” ทิ้งเตานั้นไว้ที่เรือนสืออีเหนียง “เตานี้ฮูหยินเก็บไว้ใช้เถิด ในเมื่อท่านโหวบอกว่าจวนเราก็ต้องซื้อมาไว้หลายๆ เตา เตานี้ก็ถือเสียว่าเอาไปให้ลองใช้ดูก่อนว่าจะใช้ดีหรือไม่”
ถึงอย่างไรก็เป็นเงินของส่วนกลาง ไม่ได้ลดราคา แต่คนที่ไปสั่งของจะได้ของแถมมาหนึ่งอัน
ไม่เสียแรงที่ทำกิจการ นับว่าเข้าใจกลอุบายที่คนทำกิจการใช้กันเป็นประจำ
สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้
สวีลิ่งอี๋กลับกำชับสืออีเหนียงว่า “เมื่อถึงเวลาอย่าลืมนำเงินค่าเตาหลอมนี้ไปคำนวณรวมให้หลี่จี้ด้วย”
รอยยิ้มของเหวินอี๋เหนียงแข็งทื่อ บรรยากาศในห้องก็หยุดชะงักไปเช่นกัน
ตีคนไม่ตบหน้า สวีลิ่งอี๋ไม่ไว้หน้าเหวินอี๋เหนียงเลยสักนิด
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจในใจ พูดแก้ต่างขึ้นมาว่า “ข้ารู้ว่าท่านโหวไม่อยากแสวงหาผลประโยชน์จากประชาชน แต่ว่าพวกเราอยากจะสั่งของให้เจินเจี่ยเอ๋อร์จากหลี่จี้ หากหลี่จี้รู้เข้าก็ต้องแถมให้หนึ่งชิ้นอยู่ดี พวกเราไม่ตอบตกลงได้อย่างไร พวกเขาเองก็มอบให้ด้วยความจริงใจ ดังนั้นเหวินอี๋เหนียงจึงต้องอาศัยสถานการณ์นี้เพื่อเติมเต็มมิตรภาพของพวกเขา แต่ในเมื่อท่านโหวพูดเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะคำนวณเงินค่าเตาผิงพกพานี้ให้หลี่จี้อย่างชัดเจนเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงพึ่งได้สติกลับมา ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะท่านโหว เมื่อถึงเวลานั้นเราจะคำนวณเงินค่าเตาผิงพกพานี้ให้หลี่จี้อย่างชัดเจน” แต่สายตากลับมองสืออีเหนียงด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกำชับลี่ว์อวิ๋นว่า “เจ้าไปดูกับอี๋เหนียงว่าพวกเราต้องสั่งเตาพกพากันกี่เตา ถึงเวลานั้นจะได้ไปบอกกับผู้ดูแลเรือนนอก”
“แค่ซื้อให้ท่านแม่ เจ้า แล้วก็น้องสะใภ้ห้าก็พอแล้ว” สวีลิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบว่า “เตาผิงพกพาแบบนี้พอใช้แก้ขัดได้อยู่ แต่หากพูดเรื่องความอบอุ่น เป็นเตากระเบื้องเคลือบจะดีกว่า”
ฉินอี๋เหนียงที่นั่งอยู่เงียบๆ เหมือนคนล่องลอย เมื่อได้ฟังดังนั้นก็เงยหน้ามองสืออีเหนียงด้วยความหวาดกลัว แล้วรีบก้มหน้าลง
ไม่มีใครในห้องสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง
สืออีเหนียงกำลังสับสนกับการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของสวีลิ่งอี๋
วันนี้เป็นอะไรไป ตอนแรกก็หักหน้าเหวินอี๋เหนียง จากนั้นก็หักหน้าตน…
แต่นางกลับยิ้มแล้วตอบรับว่า “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้น “ข้ายังมีธุระ ต้องออกไปข้างนอก”
สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ได้ฟังดังนั้นก็ย่อเข่าคำนับส่งเขาออกไป
สวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องหนังสือเล็กๆ หลังห้องหนังสือเรือนนอก ให้บ่าวรับใช้ในห้องออกไป จากนั้นก็หยิบกล่องไม้จันทน์สีแดงออกมาจากช่องลับแล้วหยิบตั๋วเงินออกมาสิบใบ
ทันใดนั้นในสมองของเขาก็ปรากฏให้เห็นดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวในยามพลบค่ำ
อะไรที่หมายความว่าอย่างไรเสียหลี่จี้ก็ต้องแถมของให้หนึ่งชิ้น อะไรคือการที่อาศัยโอกาสเพื่อเติมเต็มมิตรภาพของพวกเขา นี่มันเหลวไหลชัดๆ!
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพอเขานึกถึงตอนที่นางพูดจาเหลวไหลอย่างจริงจัง มุมปากก็ยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัว
สวีลิ่งอี๋นำตั๋วเงินออกมาอีกสิบใบ จากนั้นก็นำกล่องวางกลับไปที่เดิม หาถุงเงินมาใส่ตั๋วเงิน แล้วหยิบหนังสือมานอนอ่านบนเก้าอี้จุ้ยเวิง
นอนอ่านหนังสือบนเก้าอี้จุ้ยเวิงจะทำให้ตาลาย…เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้จะอ่านหนังสือแต่กำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ
หลินปัวที่เข้ามาปรนนิบัติเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วไปยกชาต้าหงเผามาให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นมาดื่มชา
หลินปัวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “ท่านโหว ฮูหยินจะเปิดร้านหรือขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียงว่า “อืม!”
หลินปัวเห็นสีหน้าของสวีลิ่งอี๋ดูอ่อนโยนและสบายๆ ใจของเขาก็เต้นระรัว ยิ้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “ท่านโหวไม่ช่วยฮูหยินหรือขอรับ ตอนคุณชายเฉียนหมิง ผู้บัญชาการฟั่นก็มาถามท่าน หากไม่ใช่เพราะท่านบอกว่าคุณชายเฉียนหมิงมีทรัพย์สินน้อย ขอเพียงแค่ไม่คิดทำกิจการก็พอแล้ว มิเช่นนั้นผู้บัญชาการฟั่นจะช่วยยกเงินค่าภาษีให้คุณชายเฉียนหมิงได้อย่างไร ตอนนี้ฮูหยินจะเปิดร้านแล้ว แล้วยังเป็นเพียงร้านขายของมงคลสมรสเล็กๆ เท่านั้น เหตุใดท่านโหวไม่…”
“พูดจาเหลวไหลอะไร!” สายตาของสวีลิ่งอี๋แหลมคมราวกับลูกธนู หลินปัวหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว “ฮูหยินดูแลสินเดิมของตัวเอง ข้าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้อย่างไร”
หน้าผากของหลินปัวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ รีบคุกเข่าลงเสียงดังตรงหน้าสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว เป็นบ่าวที่คิดไม่รอบคอบไปชั่วขณะ ต่อไปไม่กล้าแล้วขอรับ!”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋หม่นหมองลงเล็กน้อย “เจ้าออกไปเถิด”
หลินปัวเดินถอยออกไปด้วยความสั่นกลัว
สวีลิ่งอี๋นอนโยกเก้าอี้จุ้ยเวิงอยู่นาน เห็นว่าล่วงเลยเวลามามากแล้วจึงค่อยๆ เดินกลับเรือนหลัก
สืออีเหนียงนั่งปักงานเย็บปักที่ปักมาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่เสร็จอยู่บนเตียงเตา
“ทุกคนไปแล้วหรือ” เขาพูดพลางนั่งลงบนเตียงนั่ง
สืออีเหนียงวางเข็มกับด้ายลง ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ” จากนั้นก็ให้สาวใช้น้อยมาเก็บอุปกรณ์เย็บปักไปไว้ที่ชั้นวางของ รินน้ำชาให้เขา เมื่อเด็กๆ พากันมาคารวะแล้วก็ไปทานอาหารเย็นที่เรือนไท่ฮูหยินด้วยกัน เขายัดถุงเงินที่ใส่ตั๋วเงินไว้ใต้หมอนตอนที่สืออีเหนียงไปล้างหน้าล้างตา
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อตื่นมาเขาก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าวางถุงเงินไว้ใต้หมอนของเจ้า” แล้วก็ไปที่เรือนนอกทันที
สืออีเหนียงเปิดถุงเงินดู ข้างในมีตั๋วเงินมูลค่าสองหมื่นตำลึง
นางเหงื่อแตกพลั่ก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงหยุดความคิดแล้วลุกขึ้นไปที่ห้องปีกทิศตะวันตก เมื่อบอกถึงจุดประสงค์ที่เรียกนางมา สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยก็ดีใจเป็นอย่างมาก
“ฮูหยิน คนในครอบครัวเราล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ ให้เขาช่วยขับรถม้าให้ดีหรือไม่เจ้าคะ เมื่อถึงเวลาก็จะได้ช่วยทำงานที่ต้องใช้แรงงานได้ สำหรับเรือนที่อยู่ทางด้านลั่วเย่ว์ก็สามารถให้เซิ่งชุนบุตรชายคนรองของเราช่วยดูให้ได้ เขาเป็นเด็กซื่อสัตย์ ไม่เดินไปทั่วแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลังจากปีใหม่ เจียงปิ่งเจิ้งก็มาลาสืออีเหนียง บอกว่าอยากกลับไปเยี่ยมอวี๋หัง แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะสืออีเหนียงให้เงินน้อย และมักจะกำชับให้เขาทำโน่นทำนี่อยู่บ่อยๆ เขาคิดไปคิดมาจึงตัดสินใจลาออกจากงานของสืออีเหนียง แล้วตั้งใจไปเป็นเถ้าแก่ร้านผ้าไหม
สืออีเหนียงทำเป็นไม่รู้ ให้เงินเขายี่สิบตำลึง บอกว่าเป็นค่าเดินทาง เขานึกขึ้นได้ว่าเรือนที่นั่นอยู่ค่อนข้างไกล จึงให้หลิวหยวนรุ่ยช่วยดูเรือนที่นั่นให้
