กานไท่ฮูหยินไม่มีอะไรทำจึงพูดเรื่องนี้กับสืออีเหนียง “…ต้องชื่นชมในความสามารถของสกุลหลี่จริงๆ บุตรชายที่เป็นขุนนางแค่ระดับห้า แต่กลับสามารถหมั้นหมายกับสกุลขององค์หญิงอานเฉิง!”
ตอนนี้ร้านมงคลสมรสเปิดกิจการแล้ว กำลังอยู่ในช่วง ‘มีเงินหรือไม่มีเงิน ก็ต้องแต่งภรรยากลับไปขึ้นปีใหม่’ งานปักที่รูปแบบแปลกใหม่ คุณภาพดีแล้วยังราคาเหมาะสม ร้านของพวกนางจึงดึงดูดผู้คนมากมาย ผ่านไปไม่นานก็มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง ไม่ว่าจะเป็นสืออีเหนียง อาจารย์เจี่ยน หรือว่ากานไท่ฮูหยิน พวกนางล้วนพึงพอใจกับการเริ่มต้นเช่นนี้เป็นอย่างมาก
ครั้งนี้สืออีเหนียงมาเยี่ยมกานไท่ฮูหยิน ก็เพื่อนำบัญชีในร้านมาให้กานไท่ฮูหยินดู
“คนหนุ่มสาวคือพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น อนาคตไม่มีขีดจำกัด” นางพูด “ไม่แปลกใจที่องค์หญิงอานเฉิงจะถูกใจ”
กานไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “แต่จะว่าไปแล้ว สองสกุลนี้ก็ถือว่าเหมาะสมกันดี”
กานไท่ฮูหยินหมายถึงราชบุตรเขยขององค์หญิงอานเฉิงก็ไม่ใช่คนที่ชอบอยู่นิ่งๆ กระมัง
ช่วงปีก่อนเขาถูกตุลาการเฆี่ยนสี่สิบกว่าทีจนขาพิการไปข้างหนึ่ง เพราะว่าลักลอบนำเข้าเกลือ สองสามปีนี้ได้ยินมาว่าเลี้ยงพวกขุนนางว่างงาน ตอนนี้เปิดการคมนาคมทางท้องทะเล ฝูเจี้ยนกำลังตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีของทุกคน เกรงว่าท่านราชบุตรเขยคนนี้ก็คงจะมีแผนของตัวเอง
แต่ว่านี่เป็นเรื่องของสกุลอื่น สืออีเหนียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นลับหลัง ไม่ใช่พฤติกรรมของคนดี กานไท่ฮูหยินเพียงแค่พูดเป็นนัย พูดถึงแค่ตรงนี้ จากนั้นก็พูดเรื่องกิจการของร้านมงคลสมรสกับสืออีเหนียงแทน “เช่นนั้นก็หมายความว่าปีนี้เราทำเงินได้หกตำลึงเงินเช่นนั้นหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “หากไม่นับค่าเช่าร้านของท่าน ก็ทำเงินได้หกตำลึงเงิน แต่หากจะนับเงินเช่าร้านของท่าน เช่นนั้นก็ขาดทุนไปหกสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
กานไท่ฮูหยินไม่เข้าใจ
สืออีเหนียงอ่านบัญชีให้นางฟัง “ค่าเช่าร้านของท่านแปดร้อยตำลึงต่อปี แบ่งเป็นสิบสองเดือน หนึ่งเดือนประมาณหกสิบหกตำลึงเงิน ตอนนี้เราหาเงินได้หกตำลึงเงิน หากรวมค่าเช่าแล้ว เราก็ขาดทุนไปหกสิบตำลึงเจ้าค่ะ!”
“ไอ๊หยา!” กานไท่ฮูหยินหัวเราะ “ซับซ้อนจริงๆ ไม่แปลกใจที่ผู้คนบอกว่าการทำกิจการใช่ว่าทุกคนจะทำได้” แล้วก็พูดอีกว่า “แต่ว่า ทำเงินได้หกตำลึงก็ไม่เลวแล้ว! เราทำกิจการครั้งแรก ยังโชคดีที่ไม่ขาดทุน!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจะปรึกษาท่านสองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องเวลาปิดร้าน อาจารย์เจี่ยนบอกว่าอยากปิดในวันที่เจ็ดเดือนสิบสอง แล้วค่อยเปิดอีกทีวันที่สิบแปดเดือนหนึ่งเจ้าค่ะ สองคือเรื่องซองแดงปีใหม่ ปีนี้ถึงแม้ว่าเราจะหาเงินได้ไม่มาก หนึ่งคือเราพึ่งจะเปิดกิจการได้ไม่นาน สองคือเรากำลังทำการตลาดเพิ่มชื่อเสียงของร้าน จึงได้กำไรน้อย แต่ก็จะหักเงินคนในร้านไม่ได้ กะว่าจะให้เถ้าแก่ใหญ่แปดตำลึงเงิน ผู้ช่วยเถ้าแก่หกตำลึงเงิน บรรดาบ่าวรับใช้คนละสองตำลึงเงิน บรรดาช่างปักคนละห้าตำลึงเงิน ท่านคิดว่าเช่นไรบ้าง”
“ร้านส่วนใหญ่บนถนนตงต้าก็ปิดในวันที่เจ็ดเดือนสิบสอง แล้วเปิดในวันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง เราก็ควรทำเหมือนพวกเขา” กานไท่ฮูหยินพูดเบาๆ “แต่ว่า ซองแดงของเถ้าแก่ใหญ่น้อยไปหรือไม่ ผู้ดูแลระดับหนึ่งของจวนเราขึ้นปีใหม่ยังได้สิบสองตำลึงเงิน ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางมาก็เพราะว่าอาจารย์เจี่ยน หากเราช่วยกันออกก็ไม่ขาดแคลนเงินพวกนี้ ข้าคิดว่าให้พวกนางเยอะอีกสักหน่อยเถิด!”
เถ้าแก่ใหญ่และผู้ช่วยเถ้าแก่ของที่ร้านล้วนแต่เป็นคนรู้จักของอาจารย์เจี่ยน ที่เคยทำกิจการงานปักมาก่อน
“ข้าตกลงกับอาจารย์เจี่ยนแล้วเจ้าค่ะ ปีนี้เป็นกรณีพิเศษ” สืออีเหนียงพูด “ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป นอกจากค่าจ้างแล้ว กำไรหนึ่งในสิบของร้านจะนำไปเป็นเงินบำเหน็จรางวัลให้เถ้าแก่ใหญ่ ผู้ช่วยเถ้าแก่และบรรดาบ่าวรับใช้ และอีกหนึ่งในสิบจะแบ่งให้ช่างปัก แทนที่จะให้ซองแดงเยอะๆ ไม่สู้ให้พวกเขาคิดหาวิธีทำกิจการดีกว่า”
“ข้ากลัวว่าเถ้าแก่สองคนจะคิดว่าเรางก” กานไท่ฮูหยินยิ้ม “เรื่องพวกนี้ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร แต่ในเมื่อเจ้ากับอาจารย์เจี่ยนตกลงกันแล้ว เช่นนั้นก็ทำตามที่พวกเจ้าบอกเถิด! ยิ่งไปว่านั้นข้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าข้าจะไม่ยุ่งเรื่องในร้าน”
ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ว่ามันคือกิจการของคนสามคน เรื่องบางเรื่องก็ต้องมาปรึกษากับกานไท่ฮูหยิน!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดคุยกับนางอยู่นาน เมื่อเห็นว่ามันสายแล้วก็ลุกขึ้นขอตัวลา
ทันทีที่เดินเข้ามา ลี่ว์อวิ๋นก็บอกนางว่า “คุณชายสามส่งคนนำของขวัญปีใหม่มาจากซานหยางเจ้าค่ะ!”
“ส่งกานสะใภ้เหล่าเฉวียนมาหรือ” สืออีเหนียงถอดเสื้อคลุมสีเกาลัดออก ยิ้มแล้วถามนาง
“ส่งกานสะใภ้เหล่าเฉวียนมาเจ้าค่ะ” ลี่ว์อวิ๋นรับเสื้อคลุมที่นางถอดออกมาให้สาวใช้ข้างๆ รับใช้สืออีเหนียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องชำระ “สะใภ้กานเหล่าเฉวียนเห็นว่าท่านไม่อยู่ จึงไปก้มหัวคารวะไท่ฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังบอกให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียนไปทานข้าวที่ห้องปีกทิศตะวันออก ได้ยินว่าสืออีเหนียงมาแล้ว นางก็รีบออกมาก้มหัวคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงมอบเงินสองตำลึงให้นาง จากนั้นก็เข้าไปในห้องของไท่ฮูหยิน
“เป็นเช่นไรบ้าง คิดบัญชีเสร็จแล้วหรือ” ไท่ฮูหยินนั่งอยู่บนเตียงเตา กำลังจัดตุ๊กตาเสือและรองเท้าเล็กๆ กับป้าตู นางหัวเราะแล้วเรียกสืออีเหนียงเข้าไปนั่ง
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน “กานไท่ฮูหยินเป็นม่าย อาจารย์เจี่ยนเป็นช่างฝีมือ ข้าจึงต้องวิ่งทั้งสองฝั่งเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วมอไปยังตุ๊กตาเสือที่อยู่ในมือของไท่ฮูหยิน “มอบให้องค์หญิงใหญ่หรือเจ้าคะ”
เมื่อวานเป็นพิธีครบเดือนขององค์หญิงใหญ่ นางยังต้องไว้ทุกข์จึงไปร่วมงานฉลองไม่ได้ แต่ดอกไม้ไฟที่ส่องสว่างครึ่งหนึ่งของเมืองเยี่ยนจิงก็สามารถบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของงานเมื่อคืนนี้ได้
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว เลยหาของเล่นสองสามชิ้นมอบให้นาง” จากนั้นก็ผลักตุ๊กตาเสือและรองเท้าเล็กๆ ไปข้างหน้านาง “ข้าตาไม่ค่อยดี เจ้าช่วยข้าดูสักหน่อยเถิด!”
สืออีเหนียงใช้มือจับผ้ารองเท้า ฐานรองเท้าและเชือกรองเท้าเพื่อตรวจสอบความนุ่มของรองเท้า
“เด็กคนนั้นช่างหน้าตางดงามเสียจริง” ไท่ฮูหยินถือโอกาสพูดถึงองค์หญิงใหญ่ “หน้าตาเหมือนฮองเฮาราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน แต่ฮ่องเต้กลับบอกว่าหน้าเหมือนเขา” พูดจบนางก็หัวเราะ “บรรดาขันทีและสาวใช้ในวังเห็นก็บอกว่าเหมือนฮ่องเต้ ทำเอาฮ่องเต้ชอบอกชอบใจ หากไม่ใช่เพราะไทเฮาไม่ค่อยสบาย พิธีครบหนึ่งร้อยวันก็จะจัดอย่างยิ่งใหญ่กว่านี้”
หลังจากทำพิธีสรงสามขององค์หญิงใหญ่ไปได้ไม่นาน ไทเฮาก็ไม่สบาย ไท่ฮูหยินและคนอื่นก็เข้าไปเยี่ยมในพระราชวัง นับดูแล้วก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
“ไทเฮายังไม่หายอีกหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
“บอกว่ายังไม่หายดี!” ไท่ฮูหยินพูดอย่างมีเลศนัย “ตอนนั้นข้าไปเยี่ยมนาง ถึงแม้ว่าจะยังทานยาอยู่ แต่พูดจาดูมีเรี่ยวแรง คิดว่าคงจะไม่เป็นอะไรมาก”
สืออีเหนียงหัวเราะ
เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินไม่อยากพูดเรื่องนี้ นางจึงเปลี่ยนเรื่องทันที ถามถึงเรื่องที่สวีซื่ออวี้จะกลับมาช่วงปีใหม่ “…บอกว่าจะถึงทงโจวในวันที่สิบหกเดือนสิบสอง ทำความสะอาดเรือนแล้วหรือยัง”
“ความสะอาดแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงก็ไม่พูดเรื่องนั้นอีก นางคล้อยตามคำพูดของไท่ฮูหยิน “ให้สะใภ้จี้ถิงย้ายต้นไม้ดอกไม้บางต้น เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่หมด ชิ่นเซียงและคนอื่นๆ ก็ไปที่นั่นกันแล้ว พรุ่งนี้ท่านไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”
“เจ้าจัดการเถิด” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ข้าไม่ไปดูดีกว่า”
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเขยใหญ่ที่ซังโจวส่งของขวัญปีใหม่มาเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางเร่งสืออีเหนียง “เจ้ารีบไปดูเถิด!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง
ลี่ว์อวิ๋นเดินเข้ามากับท่านป้าที่ท่าทางเฉลียวฉลาดและมีความสามารถสองคน
คารวะสืออีเหนียงเสร็จแล้ว เอ่ยประโยคมงคลสองสามประโยค ก็มีท่านป้าคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดว่า “พวกบ่าวยังนำนกขุนทองคู่หนึ่งมาให้คุณชายน้อยสอง นกกระเต็นน้อยคู่หนึ่งมาให้ท่านซื่อจื่อ นกขมิ้นท้ายทอยดำคู่หนึ่งมาให้คุณชายน้อยห้า แล้วนกแก้วคู่หนึ่งมาให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
“ลำบากแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดตามมารยาทสองสามประโยค จากนั้นก็มอบเงินให้พวกนางคนละสิบตำลึงเงิน บอกให้ลี่ว์อวิ๋นพาพวกนางไปทานข้าว บอกเยี่ยนหรงไปที่ลานข้างนอกนำของที่สกุลเซ่าส่งมาส่งไปให้แต่ละเรือน
เยี่ยนหรงกลับมารายงาน แต่กลับพูดกับสืออีเหนียงเบาๆ “บ่าวได้ยินบ่าวรับใช้ลานข้างนอกบอกว่า สิ่งของที่คุณชายสามส่งมา ถึงแม้ว่าจะเยอะเหมือนตอนเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างและเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่คุณภาพกลับต่างกันมากเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแอบตกใจ
เยี่ยนหรงรีบพูดว่า “จริงเจ้าค่ะ บ่าวไปดูมาแล้ว เป็ดที่คุณชายสามส่งมาเมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์แต่ละตัวอ้วนท้วมสมบูรณ์ แต่ครั้งนี้กลับผอมแห้งแรงน้อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงหัวเราะ
รายการของขวัญปีใหม่จะถูกส่งไปที่มือของสวีลิ่งอี๋ แต่ผู้ดูเเลฝานที่เป็นคนดูแลของขวัญกลับเป็นคนรับผิดชอบนำสิ่งของเข้าห้องเก็บของ เรื่องเช่นนี้ เกรงว่าผู้ดูเเลฝานก็คงจะไม่กล้าพูดอะไร!
“เรื่องนี้เจ้าอย่าเอะอะโวยวายไป” สืออีเหนียงบอกเยี่ยนหรง “ประเดี๋ยวท่านโหวจะเสียหน้า”
“บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะ!” เยี่ยนหรงพูดด้วยความกังวล “เรื่องนี้บ่าวจะไม่บอกใครเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงถามถึงเรื่องงานของนาง “ของที่ท่านเขยใหญ่ส่งมาให้นำไปส่งหมดแล้วหรือ”
“ของคุณชายน้อยสองนำไปฝากไว้กับชิ่นเซียง ของท่านซื่อจื่อนำไปให้ป้าตู้ ของคุณชายน้อยห้านำไปให้สะใภ้หนานหย่ง ของคุณหนูใหญ่นำไปให้เสี่ยวหลีเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ไท่ฮูหยินอ้างว่าอากาศร้อนแล้วให้สวีซื่อจุนอยู่ที่เรือนของตัวเอง นางก็ไม่พูดถึงเรื่องสร้างเรือนส่วนตัวให้สวีซื่อจุนอีกเลย สืออีเหนียงคิดว่าสวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ก็ออกไปอยู่ที่เรือนของตัวเองตอนโตแล้ว นางจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ เรื่องนี้จึงล่าช้าเช่นนี้ ของขวัญของคนอื่นล้วนแต่ส่งไปให้สาวใช้ของพวกเขา มีแค่ของสวีซื่อจุน เยี่ยนหรงส่งไปให้ป้าตู้แทน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าทำอะไรได้ละเอียดรอบคอบมาก!”
เยี่ยนหรงได้รับคำชื่นชม ก็พลันหน้าแดงขึ้นมา นางย่อเข่าคำนับแล้วพูดว่า “บ่าวก็แค่ไม่ทำให้ฮูหยินผิดหวังเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้นางออกไป
หลังจากนั้น สวีซื่อเจี้ยก็ลากกรงนกวิ่งเข้ามา “ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ท่านดูสิ นกที่พี่เขยใหญ่ส่งมาให้!” สะใภ้หนานหย่งเดินตามเข้ามาด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด “ฮูหยิน คุณชายน้อยห้าจะมาหาท่านให้ได้เจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงบอกให้สะใภ้หนานหย่งไม่ต้องกังวล นางยิ้มแล้วหยิบกรงนกยื่นให้สะใภ้หนานหย่ง “นกต้องเลี้ยงไว้ใต้ชายคา จะลากมันเช่นนี้ไม่ได้”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดว่า “ห้อยมันไว้ใต้ชายคาของท่านแม่ ให้มันร้องเพลงให้ท่านแม่ฟัง!”
“นี่คือนกที่พี่เขยใหญ่มอบให้เจี้ยเกอ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มสวีซื่อเจี้ย “ห้อยมันไว้ที่ใต้ชายคาของเจ้า ให้มันร้องเพลงให้เจ้าฟังดีกว่า”
เขาบิดตัว “ให้มันร้องเพลงให้ท่านแม่ฟัง!”
เขาอยากจะมอบมันให้นางใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงหอมแก้มเขา “ท่านแม่ไม่ชอบเสียงดัง ห้อยมันไว้ที่ใต้ชายคาของเจี้ยเกอเถิด”
สวีซื่อเจี้ยยอมเงียบลง
เมื่อนางจัดการให้สวีซื่อเจี้ยกลับห้องไปได้ ก็เห็นสาวใช้และท่านป้ายืนอยู่ใต้ชายคาไกลๆ ยังเห็นสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนกำลังยืนคุยอะไรกันอยู่ในลาน
เมื่อได้ยินเสียง พวกเขาสองพี่น้องก็หยุดพูด
“ดึกขนาดนี้แล้ว อากาศก็หนาว เหตุใดถึงไม่เข้าไปข้างในเล่าเจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยทักทายพวกเขา
