“ไม่จำเป็นต้องใช้ของดีขนาดนั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้ายังมีผ้าทอซงเจียงอยู่ในหีบ ใช้ผ้านั้นทำถุงเท้าให้เจี้ยเกอเถิด!” จากนั้นก็บอกให้ลี่ว์อวิ๋นที่อยู่ข้างๆ เปิดหีบนำส่งให้ฉินอี๋เหนียง
ในเมื่อมอบให้ไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอากลับคืน
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เก็บไว้ใช้เองเถิด!”
สืออีเหนียงไม่อยากทำให้สวีลิ่งอี๋เสียหน้า จึงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ แต่กลับอดไม่ได้จะบ่นเขาตัวต่อตัว “เด็กๆ โตกันหมดแล้ว เรื่องบางเรื่องต้องคิดให้ดีเจ้าค่ะ เช่นเดียวกับเมื่อครู่ ในเมื่อท่านมอบให้เจี้ยเกอแล้ว ก็ต้องมอบให้อวี้เกอและจุนเกอด้วยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “เจี้ยเกอไม่เหมือนกัน เขายังเด็ก!”
เพราะว่าเป็นหลานชายของตัวเองใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงนึกถึงสาวใช้เหล่านั้น ยกย่องสวีซื่อเจี้ยต่อหน้านาง แต่ลับหลังกลับพากันนินทาพูดถึงมารดาแท้ๆ ของเขา
นางพูดอย่างคลุมเครือ “บนโลกใบนี้กำแพงมีหูประตูมีช่อง แทนที่ต่อไปเขาจะคิดว่าเราปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนคนอื่นแล้วเสียใจ ไม่สู้ปฏิบัติต่อเขาให้เหมือนกับลูกของตัวเอง เข้มงวดตอนที่ควรเข้มงวด ตามใจตอนที่ควรตามใจ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด สักพักก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้ารู้แล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ปีนี้พี่เขยห้าจะเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อ ข้าอยากจะสั่งชุดเครื่องเขียนที่ร้านตัวเป่าเก๋อไปให้เขา ท่านคิดเห็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะ “ตอนนี้ไม่นิยมมอบชุดเครื่องเขียนกันแล้ว นิยมมอบภาพจอหงวนมากกว่า ข้าคิดว่าสั่งภาพของหอชุนซีไปให้เขาจะดีกว่า”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ใต้เท้าหม่ามาขอรับ!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แอบตกใจ
หม่าจั่วเหวินทำงานอยู่ที่คณะราชทูต มาหาสวีลิ่งอี๋ดึกขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน!
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋พลันเคร่งขรึมขึ้นมา
สืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อให้เขา จากนั้นก็ไปส่งเขาที่หน้าประตูลานเงียบๆ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป สวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
เขายิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ทรงยกเลิกการคัดเลือกพระสนมฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เพราะว่าไทเฮาทรงพระประชวร จะประกาศพระราชโองการพรุ่งนี้เช้า”
อาการของไทเฮาไม่ดีขึ้นเลย วันสิ้นปีและเทศกาลโคมไฟในพระราชวังก็ไม่ได้จุดดอกไม้ไฟ โคมไฟของเทศกาลโคมไฟในวันขึ้นสิบห้าค่ำของเดือนหนึ่งก็ไม่สว่างไสวเหมือนปีก่อนๆ
แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างยกเลิกการคัดเลือกพระสนม
สืออีเหนียงแปลกใจ ยิ่งเห็นว่าสวีลิ่งอี๋เคร่งเครียดกับเรื่องนี้ จึงถามด้วยความสงสัย “มีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ อย่างน้อยไทเฮาก็รู้ว่าฮ่องเต้หมายความว่าอะไร นางจะได้ไม่หาข้ออ้างส่งคนมาให้ฮ่องเต้อีก!”
“แต่ข้ากลับอยากให้นางส่งคนมาให้ฮ่องเต้” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างอ้อมค้อม “ในพระราชวังมีฮองเฮา มีหวงกุ้ยเฟย เร็วๆ นี้ยังมีสวี่เหม่ยเหรินที่เป็นที่โปรดปราน… “
เป็นเรื่องจริง ฮ่องเต้และฮองเฮาคือสามีภรรยากัน สกุลโอวสามารถเลื่อนเป็นหวงกุ้ยเฟยได้ภายในเวลาแค่สองปี และสกุลสวี่ที่มาทีหลังแต่กลับเป็นที่โปรดปรานได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่าไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย หากสกุลหยางคนนั้นเข้ามาแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นที่โปรดปราน
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา สืออีเหนียงพลันตกใจ
สกุลหยางไม่ค่อยมีอำนาจในราชสำนัก หากไทเฮาอยากจะรักษาความร่ำรวยของสกุลหยางเอาไว้หลังจากที่ตัวเองสิ้นพระชนม์แล้ว วิธีเดียวก็คือแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์อีกครั้ง เรื่องนี้ ไทเฮาไม่มีทางยอมแพ้ และฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็แต่งงานออกเรือนไปสามเดือนกว่าแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวดีอะไร ว่ากันว่าเพราะเรื่องนี้ องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงถึงกับไปจุดธูปขอลูกให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่วัดฉือหยวนด้วยตัวเอง
นางอดไม่ได้ที่จะลังเล “ท่านเป็นห่วงองค์ชายใหญ่หรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “องค์ชายใหญ่ยังเด็ก หากไทเฮาทำสำเร็จ ข้าเกรงว่าเขาจะใจอ่อน ปล่อยให้สกุลหยางตั้งครรภ์ เช่นนั้นคงจะวุ่นวาย!”
ความรักนั้นมีทั้งรักแรกพบ และความรักที่ก่อเกิดจากการอยู่ด้วยกันมานาน เรื่องแบบนี้ พูดยากจริงๆ
สืออีเหนียงเองก็คิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างวุ่นวาย
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงไม่สบายใจเพราะคำพูดของตัวเอง ก็ยิ้มแล้วพูดปลอบนาง “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าส่งคนไปบอกซื่อเจิงแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ เพื่ออนาคตของสกุล เขาจะต้องมีแผนการรับมือแน่นอน”
ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด!
สืออีเหนียงไม่มีความคิดเห็นอะไร นางถอนหายใจแล้วเตรียมที่จะพักผ่อนกับสวีลิ่งอี๋
แต่กลับมีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหวขอรับ ใต้เท้าโจวมาขอรับ!”
พวกเขาสองคนต่างก็ตกใจ
ทันใดนั้นข้างนอกก็มีเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเข้ามา จากนั้นก็มีคนเรียกชื่อของสวีลิ่งอี๋ “ลิ่งอี๋ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า!”
เขาคือโจวซื่อเจิง
สวีลิ่งอี๋สวมเสื้อคลุมแล้วออกไปที่ห้องโถง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมา
“เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ” สืออีเหนียงเดินเข้าไปต้อนรับเขา
สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าเคร่งขรึม “ซื่อเจิงบอกว่า แทนที่จะปล่อยให้สกุลหยางรับใช้องค์ชายใหญ่ ไม่สู้เลือกคนที่โดดเด่นและมีนิสัยอ่อนโยนของสกุลโจวไปรับใช้องค์ชายใหญ่เสียดีกว่า”
สืออีเหนียงตกใจ “เช่นนั้นท่านคิดว่า…”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เล่าเจตนาของสกุลโจวให้ฮองเฮาได้ฟัง”
เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์พึ่งจะแต่งงานได้สามเดือนกว่าเอง…
วันต่อมาสวีลิ่งอี๋ไปพระราชวัง สืออีเหนียงนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตา
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ มีจดหมายมาจากอวี๋หังเจ้าค่ะ”
กลางเดือนสิบสองหลัวเจิ้นซิ่งส่งจดหมายมา บอกว่าพวกเขาถึงอวี๋หังอย่างปลอดภัยแล้ว นายท่านใหญ่ตั้งชื่อให้คุณชายเจ็ดว่า ‘เจิ้นหง’
สืออีเหนียงกวาดล้างอารมณ์หดหู่ตั้งแต่เมื่อคืนออกไป นางรีบเปิดจดหมายดู
ครั้งนี้เป็นจดหมายของหลัวเจิ้นเซิง เขาบอกสืออีเหนียงว่า คุณนายสี่สกุลหลัวคลอดบุตรสาวในวันขึ้นสิบค่ำเดือนสิบสอง นายท่านใหญ่ดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งชื่อให้นางด้วยตัวเองว่า ‘อิงเหนียง’ แล้วยังบอกว่าคนในครอบครัวสบายดี บอกนางไม่ต้องเป็นห่วง
เป็นบุตรสาว! บุตรสาวคนโตของสกุลหลัวรุ่นนี้
สืออีเหนียงนับวันดู อิงเหนียงคงจะครบเดือนแล้ว
นางเรียกหู่พั่วเข้ามา เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าส่งคนไปทำสร้อยคอทองคำ ’ขอให้สมปรารถนา’ แล้วก็ทำกำไลข้อเท้าหนึ่งคู่ส่งไปที่อวี๋หัง เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้อิงเหนียง แล้วก็ไปเปิดหีบ นำผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดที่พระราชวังมอบให้เมื่อฤดูร้อนปีก่อนส่งไปด้วยสักสองสามผืน นำไปตัดเสื้อผ้าให้ท่านพ่อและคุณชายทั้งสองคน”
หู่พั่วยิ้มรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เมื่อรู้ว่าคุณนายสี่สกุลหลัวคลอดบุตรสาว ไท่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ออกดอกก่อนแล้วค่อยออกผล เด็กคนนี้มาได้เวลาพอดี!” จากนั้นก็บอกให้ป้าตู้นำเงินยี่สิบสองตำลึงเงินออกมามอบเป็นของขวัญ “ถึงตอนนั้นก็นำไปที่อวี๋หังให้ข้าด้วย” จากนั้นก็บอกป้าตู้ “ไปบอกสะใภ้ห้าด้วย” บอกให้นางมอบของขวัญด้วยเช่นกัน
นี่คือการเป็นหน้าเป็นตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ ทานข้าวกลางวันที่เรือนของไท่ฮูหยิน รับใช้ไท่ฮูหยินพักผ่อนจากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
ยามบ่าย สวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
สืออีเหนียงเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านทานข้าวหรือยังเจ้าคะ”
หากทานในพระราชวัง ต้องทานไม่อิ่มแน่นอน
“ทานแล้ว” สวีลิ่งอี๋ถอดเสื้อคลุมออก “ทานกับซื่อเจิง”
“ฮองเฮาว่าเช่นไรบ้างเจ้าคะ” สืออีเหนียงรับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตา
“ฮองเฮาทรงบอกกับซื่อเจิงว่าไม่ต้องเป็นห่วง” เขาเช็ดหน้า “บอกว่าฮ่องเต้รู้อยู่แล้ว”
ฮ่องเต้รู้อยู่แล้ว? รู้อะไร
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ
แต่สวีลิ่งอี๋กลับแตะจมูกนางเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง มันคือเรื่องดี” เขาดูไม่เครียดเหมือนเมื่อวาน แต่กลับดูมีความสุข เอ่ยถามสืออีเหนียง “ทำไมวันนี้ถึงเงียบเช่นนี้ เจี้ยเกอและจุนเกอเล่า”
“อาจารย์จ้าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “จุนเกอจึงพาเจี้ยเกอไปหาอาจารย์จ้าว”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิด “เช่นนั้น ก็ให้เจี้ยเกอไปเรียนที่เรือนซวงฝูเถิด! เช่นนี้พวกเขาจะได้มีเพื่อน”
“มันจะเร็วเกินไปหรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยปีนี้พึ่งจะสี่ขวบ
“ไม่ได้คาดหวังให้เขาเรียนรู้อะไร” สวีลิ่งอี๋พูด “เรียนไปก่อนสองปีแล้วค่อยเริ่มเรียนจริงจัง”
เขาเห็นว่าสืออีเหนียงมักจะอุ้มสวีซื่อเจี้ยในช่วงเทศกาลตรุษจีนบ่อยๆ แล้วยังหอมเขาเป็นครั้งคราว ไม่เคยเห็นนางตะโกนเสียงดังใส่ลูก จึงคิดว่านางตามใจลูกเกินไป กลัวเจี้ยเกอจะกลายเป็นจุนเกอคนที่สอง
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร ตัดสินใจรอให้สวีซื่อเจี้ยกลับมาแล้วค่อยถามเขา ดูว่าเขาอยากไปเรียนที่เรือนของอาจาย์จ้าวกับจุนเกอหรือไม่ แต่ว่า นางมีความรู้สึกว่าสวีซื่อเจี้ยน่าจะชอบการมีเพื่อน จากนั้นนางก็เล่าเรื่องที่คุณนายสี่สกุลหลัวคลอดบุตรสาวให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
“เช่นนั้นเราก็ส่งของขวัญไปให้เยอะหน่อย” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เจิ้นเซิงไม่ได้มีมากเท่าเจิ้นซิ่ง”
หมายความว่าหลัวเจิ้นเซิงไม่ได้มีกิจการในมือมากนักใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงพยักหน้า นางแอบนำเงินสองร้อยตำลึงส่งไปให้เขา
เมื่อสวีซื่อเจี้ยกลับมาจากเรือนซวงฝูยามบ่าย สืออีเหนียงก็ถามเขาว่าอยากจะไปเรียนที่เรือนของอาจารย์จ้าวกับสวีซื่อจุนหรือไม่ เขาก็พูดเสียงดังทันทีว่า “ท่านแม่ขอรับ เรือนของอาจารย์จ้าวมีชิงช้า ม้าไม้ แล้วยังมีขลุ่ยไม้ไผ่อีกด้วย…”
สืออีเหนียงหลุดหัวเราะ “รู้จักแต่เล่น!” นางกลั้นหัวเราะแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นเจ้าต้องตื่นเช้าทุกวัน ลมแรง ฝนตก อากาศหนาวแค่ไหนก็ต้องไป เจ้าทำได้หรือไม่!”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าฟังท่านแม่ขอรับ!”
“ก็ได้!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจะบอกท่านพ่อของเจ้า”
สวีซื่อเจี้ยก็จะไปหาสวีซื่อจุน “ข้าจะไปบอกพี่สี่!” เขาพูดด้วยท่าทีใจร้อน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ จากนั้นก็ไปส่งเขาที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เมื่อไท่ฮูหยินรู้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่น้องรักสามัคคีกันเป็นเรื่องที่ดี” สวีซื่อจุนนั้นอุ้มสวีซื่อเจี้ยแกว่งไปมาด้วยความดีใจ แล้วยังพูดว่า “ข้าจะมอบกระเป๋าสลักสีแดงสดนั่นให้เจ้า” แล้วยังพูดอีกว่า “ดีกว่าของข้าเสียอีก”
สวีซื่อเจี้ยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ได้เลย ได้เลย!”
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ
เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้
ดังนั้นสวีลิ่งอี๋จึงให้ค่าตอบแทนอาจารย์จ้าวเป็นสองเท่า และอาจารย์จ้าวก็ไม่ได้ปฏิเสธ
สวีซื่อจุนมาเรียกสวีซื่อเจี้ยไปเรียนด้วยกันทุกเช้า จากนั้นก็เดินไปที่เรือนซวงฝูท่ามกลางสาวใช้และท่านป้าอย่างช้าๆ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็อยากจะหัวเราะออกมา
นึกถึงความตื่นเต้นของตัวเองตอนเด็ก
นางคิดว่าพวกเขาไม่ได้ไปเรียน แต่แค่ไปฆ่าเวลา
ผ่านไปไม่นาน ฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการ
แต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อ และแต่งตั้งพระชายาสกุลโจวขององค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อเฟย
สืออีเหนียงเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง นางถามสวีลิ่งอี๋ “ตอนนั้นฮ่องเต้ทรงวางแผนที่จะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาทอยู่แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เคยพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮองเฮา” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ข้าก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหล” จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจึงบอกเจ้าว่าไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมรับสกุลหยาง ยิ่งไม่มีทางรับสกุลหยางให้องค์ชายใหญ่ ต้องรู้ว่า องค์ชายใหญ่คือทายาทของประเทศชาติ องค์รัชทายาทคนต่อไป”
ใช่ ไม่ว่าไทเฮาจะวางแผนเช่นไร แต่หากฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีทางสำเร็จ
สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
