หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็พูดเรื่องการสอบบัณฑิตรุ่นเยาว์ของสวีซื่ออวี้กับสืออีเหนียง “…ไปสมัครแล้ว เริ่มสอบในวันที่ยี่สิบเดือนสอง ข้าจะบอกให้ผู้ดูแลจ้าวไปกับเขา ส่วนเรื่องอาหารและอุปกรณ์การสอบเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงตอนนั้นเจ้าแค่ไปส่งเขาก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงตอบรับ แต่ก็ทำถุงผ้าที่ปักคำว่า ‘เจริญก้าวหน้า’ มอบให้สวีซื่ออวี้
เมื่อสวีซื่ออวี้มาคารวะสืออีเหนียงเขาก็พูดขอบคุณนางด้วยความเคารพ ในวันสอบเขาก็ห้อยถุงผ้าถุงนั้นไปที่สนามสอบด้วย
เมื่อสอบเสร็จแล้ว เขารู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว ไปพูดกับฮูหยินสองที่เรือนเสาหวาตั้งนาน เมื่อฮูหยินสองมาคารวะไท่ฮูหยินนางก็บอกว่า “ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเจ้าค่ะ!”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ อยากทำเสื้อผ้ากับอาหารไปให้สวีซื่ออวี้ แต่กลับไม่มีเวลา นางทำรองเท้าถุงเท้าให้เจี้ยเกอเสร็จตามวันที่สืออีเหนียงกำหนดไว้ แต่สืออีเหนียงยังบอกให้นางทำเสื้อผ้าฤดูร้อนให้สวีซื่อเจี้ยอีก
ชุ่ยเอ๋อร์นึกถึงรอยยิ้มที่ขมขื่นของสวีซื่ออวี้ตอนที่นางนำอาหารไปให้เขา
“พี่ชุ่ยเอ๋อร์ ฝากบอกอี๋เหนียงว่า ต่อไปไม่ต้องส่งอะไรมาให้ข้าแล้ว แล้วก็ไม่ต้องสนใจข้า มีเวลาก็ไปรับใช้ฮูหยิน รับใช้ท่านโหวเสียเถิด ข้าจะตั้งใจอ่านหนังสือ บอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
แต่คำพูดเช่นนี้ นางจะกล้าพูดกับฉินอี๋เหนียงที่เห็นคุณชายน้อยสองเป็นดั่งดวงใจของตัวเองได้อย่างไร
เห็นฉินอี๋เหนียงเป็นกังวล นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดเกลี้ยกล่อม “ฉินอี๋เหนียงเจ้าคะ ช่วงก่อนหน้านี้คุณชายน้อยสองตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ที่เรือน ตอนนี้สอบเสร็จแล้วก็เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิพอดี เขาคงอยากจะออกไปเที่ยวสนุก ท่านปล่อยให้คุณชายน้อยสองพักผ่อนอย่างสบายใจเถิด เขาจะได้ไม่เอาแต่คิดว่าท่านจะส่งอะไรไปให้เมื่อไรอีก”
“เจ้าพูดถูก!” ฉินอี๋เหนียงรีบพูด “ควรจะปล่อยให้เขาพักผ่อนเสียบ้าง ช่วงนี้เขาลำบากเกินไปแล้ว”
ชุ่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เห็นฉินอี๋เหนียงทำสีหน้าลังเล กลัวว่านางจะพูดอะไรที่ทำให้ตัวเองลำบากใจ จึงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ถ่านไฟของเตารีดใกล้จะหมดแล้ว บ่าวจะไปขอมาเพิ่มอีกสักหน่อย ถือโอกาสไปดูว่าคุณชายน้อยสองอยู่ที่เรือนหรือไม่ด้วยเจ้าค่ะ!”
“รีบไปเถิด รีบไปเถิด” ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างอุ่นใจ “หากออกไปข้างนอกก็ถามเขาว่าออกไปที่ใด จะกลับมาเมื่อไร ช่วงนี้ทำอะไรอยู่”
ชุ่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ออกไปลานข้างนอก
สวีซื่ออวี้ไม่ได้ออกไปไหน แต่ไปที่เรือนของฮูหยินสอง เหวินจู๋และคนอื่นๆ กำลังเก็บข้าวของ
ชุ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
“…คุณชายน้อยสองบอกว่า ไม่ว่าผลสอบจะออกมาเป็นเช่นไร เมื่อผลสอบออกมาแล้วก็จะกลับเล่ออานทันที” เหวินจู๋ยิ้มแล้วเชิญชุ่ยเอ๋อร์เข้ามาดื่มชาข้างใน “คุณชายน้อยสองกับคุณชายอวี้ตกลงกันว่าจะไปจุดธูปที่วัดต้าฝูที่เล่ออานในวันที่แปดเดือนสี่ หากไม่ออกเดินทางต้นเดือนสามก็จะกลับไปไม่ทัน”
ชุ่ยเอ๋อร์เงียบอยู่ครู่หนึ่ง นางก้มหน้าดื่มชาไม่ปริปากอะไร เหลือบตามองชิ่นเซียงและคนอื่นๆ ที่กำลังเก็บข้าวของใส่ลงหีบ แต่กลับเห็นว่าชิ่นเซียงวางชุดคลุมผ้าไหมซานซัวสีฟ้าลงไปในหีบ
“นี่ นี่คืออะไร…” นางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ชี้ไปที่ชุดคลุมผ้าไหมซานซัวแล้วเอ่ยถาม
“นี่คือเสื้อผ้าที่คุณชายน้อยสองสวมใส่ที่เล่ออานเจ้าค่ะ” ชิ่นเซียงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยมีความสุข
ชุ่ยเอ๋อร์มองไปที่เหวินจู๋ “เจ้า พวกเจ้าให้คุณชายน้อยสองใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ได้อย่างไร” นางพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ทำไมถึงจะใส่ไม่ได้!” เหวินจู๋มองชุ่ยเอ๋อร์ด้วยดวงตาที่สดใส “คุณชายน้อยสองบอกว่า คนอื่นใส่ได้เขาก็ใส่ได้”
“คุณชายน้อยสองยังเด็ก พวกเจ้าจะตามใจเขาได้เช่นไร ต้องรู้ว่า ที่ฮูหยินให้เจ้ามาอยู่กับคุณชายน้อยสอง ก็เพื่อรับใช้คุณชายน้อยสอง…”
“พี่ชุ่ยเอ๋อร์!” เหวินจู๋ขัดจังหวะชุ่ยเอ๋อร์ “พวกเราอยู่ที่เล่ออานอย่างสุขสบาย อาจารย์เจียงบอกแค่ว่าคุณชายน้อยสองคือสหายของเขา และคุณชายน้อยสองก็ไม่เคยเย่อหยิ่งต่อหน้าคนอื่น สวมเสื้อผ้า ทานอาหารแบบเดียวกันกับเพื่อนร่วมชั้น ถึงเวรของตัวเองยังต้องทำความสะอาดสำนักศึกษาและห้องน้ำ เขาไม่เคยบ่นเลยสักคำ บวกกับความตั้งใจเรียน ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างมีมารยาท ตั้งแต่คนเฝ้าประตูหอตำราจิ่นสีไปจนถึงอาจารย์เจียง ล้วนมีแต่คนชอบเขา คุณชายน้อยสองอยู่ที่นั่นมีความสุขมาก พี่ชุ่ยเอ๋อร์เจ้าคะ อย่าพูดอะไรให้อี๋เหนียงฟังเลยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะเกิดความวุ่นวาย”
ชุ่ยเอ๋อร์เงียบ
ถึงแม้ว่านางจะบอกฉินอี๋เหนียง แต่นอกจากแอบร้องไห้ ฉินอี๋เหนียงยังจะทำอะไรได้
แต่เมื่อคิดว่าคุณชายน้อยสองสวมชุดคลุมผ้าไหมซานซัว นางก็รู้สึกไม่สบายใจจนน้ำตาคลอเบ้า
“พี่ชุ่ยเอ๋อร์” เหวินจู๋จับมือชุ่ยเอ๋อร์ “คุณชายน้อยสองบอกวว่า ต้องอดทนต่อความยากลำบาก ถึงจะกลายเป็นคนที่คนอื่นเคารพ คุณชายน้อยสองมีความคิดเช่นนี้ เราควรที่จะดีใจกับเขา ไม่ควรพูดจาเหลวไหล ทำให้คุณชายน้อยสองลำบากใจ หากท่านซื่อจื่อได้ยินเข้าเขาคงจะไม่สบายใจ” พูดจบ นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ชุ่ยเอ๋อร์เช็ดน้ำตา
ชุ่ยเอ๋อร์จะไม่เข้าใจได้เช่นไร นางพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น!”
เหวินจู๋ยิ้มแล้วรินชาให้ชุ่ยเอ๋อร์อีกครั้ง
ชุ่ยเอ๋อร์ครุ่นคิด แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ฮูหยินสองรู้หรือไม่”
“รู้เจ้าค่ะ” เหวินจู๋ไม่ได้ปิดบังชุ่ยเอ๋อร์ “วันที่สองหลังจากที่คุณชายน้อยสองกลับมา ฮูหยินสองมาหาคุณชายน้อยสอง รู้ว่าคุณชายน้อยสองกินนอนกับเพื่อนร่วมชั้น นางยังเอ่ยชมว่าคุณชายน้อยสองเก่งอยู่เลย!”
ชุ่ยเอ๋อร์พูดไม่ออก นางนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขอตัวลา
เหวินจู๋มองแผ่นหลังนางแล้วส่ายหน้าเบาๆ
ชิ่นเซียงเห็นเช่นนี้ก็พูดด้วยความเป็นห่วง “พี่เหวินจู๋กลัวว่าพี่ชุ่ยเอ๋อร์จะไปเล่าเรื่องนี้ให้อี๋เหนียงฟังหรือ”
“พี่ชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนฉลาด” เหวินจู๋ส่ายหน้าเบาๆ “นางไม่มีทางบอกอี๋เหนียงเป็นแน่ ข้าแค่คิดว่า…” นางหยุดพูด หันหน้าไปมองเถาหลิ่วและเหลียนเจียว พวกนางสองคนเบิกตากว้างมองนางด้วยท่าทีที่ราวกับเด็กน้อย นางอดหัวเราะไม่ได้ “ข้าแค่คิดว่า โชคดีที่ข้าไปเล่ออานกับคุณชายน้อยสอง ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะไม่รู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่แค่ไหน มีคนที่น่าสนใจและเรื่องสนุกอีกตั้งมากมาย”
เมื่อชิ่นเซียงและคนอื่นๆ ได้ฟังก็ยิ้มแล้วเข้ามาทั้งกอดนาง ทั้งผลักนาง “พี่หญิงไปเล่ออานคนเดียว ไม่พาพวกเราไปด้วย แล้วยังมาพูดเช่นนี้ที่นี่อีก”
เหวินจู๋เพียงแค่ยิ้ม
แต่ในหัวกลับนึกถึงคำพูดที่อาจารย์เจียงพูดกับคุณชายน้อยสองตอนที่ไปถึงเล่ออานครั้งแรก ‘‘…ข้าจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขาไท่ซันแล้วมองลงมา ภูเขาลูกอื่นก็จะดูเล็กลง’ เมื่อใดที่เจ้าเข้าใจบทกวีนี้ เจ้าก็จะเข้าใจว่าทำไมท่านพ่อของเจ้าถึงส่งเจ้ามาเล่าเรียนหนังสือที่นี่’
นางไม่รู้ว่าบทกวีนี้เกี่ยวอะไรกับการส่งคุณชายน้อยสองมาเรียนหนังสือที่หอตำราจิ่นสี นางรู้แค่ว่าวันนี้ในจวนมีท่านซื่อจื่อแล้ว ต่อไปคุณชายน้อยสองคงจะลำบาก นางเสียใจแทนคุณชายน้อยสอง แต่หลังจากกลับมาจากเล่ออานครั้งนี้ นางเริ่มเข้าใจคำพูดของอาจารย์เจียงแล้ว ถึงแม้ว่าจวนหย่งผิงโหวจะดีแค่ไหน แต่ด้วยสถานะของพวกเขา เจอกับใครก็ต้องคอยระมัดระวัง คอยหวาดกลัว ไม่สู้อยู่ที่เล่ออาน ถึงแม้ว่าจะไม่สุขสบาย แต่กลับสามารถพูดเสียงดัง หัวเราะเสียงดังได้…
คิดได้เช่นนี้ เหวินจู๋ก็ยิ้มขึ้นมา
พวกเขาจะกลับเล่ออานแล้ว!
*****
แต่เรือนหลักในตอนนี้กลับเงียบสงบ มีเพียงเสียงนาฬิกาไขลานดังมาจากห้องปีกทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสวีซื่อเจี้ยยืนอยู่ใต้ชายคา
เขาสวมเสื้อสีแดง สะใภ้หนานหย่งมองดูเขาด้วยสายตาเมตตา พาบรรดาสาวใช้ยืนล้อมรอบตัวเขา เขาถือขลุ่ยไม้ไผ่เล็กๆ ไว้ในมือ แล้วยังหยิบมันขึ้นมาเป่าเป็นครั้งคราว จากนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังอยู่นาน แล้วหยิบขึ้นมาเป่าอีกครั้ง จากนั้นก็มีสีหน้าที่ผิดหวังมากกว่าเดิม
สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก
สวีซื่อจุนกำลังเรียนเป่าขลุ่ยไม้ไผ่กับอาจารย์จ้าว สวีซื่อเจี้ยเห็นเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย ตอนที่สวีซื่อจุนฝึกเป่าเขาก็วางศอกเท้าคางตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ อาจารย์จ้าวเห็นเช่นนี้จึงทำขลุ่ยไม้ไผ่เล็กๆ ให้สวีซื่อเจี้ย แล้วยังสอนเขาเป่าจังหวะง่ายๆ สวีซื่อเจี้ยก็ราวกับได้รับของเล่นที่สนุกที่สุดในโลกก็ไม่ปาน ตั้งใจเรียนเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขายังเด็ก เป่าให้มีเสียงได้แค่บางครั้ง แต่ส่วนมากเป่าจนหน้าแดงก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ทำให้เขาผิดหวัง แต่กลับไม่ยอมแพ้ หลังจากเลิกเรียนกลับมาทุกวัน เขาก็มักจะทำเหมือนสวีซื่อจุน ยืนฝึกเป่าขลุ่ยไม้ไผ่อยู่ใต้ชายคา
สะใภ้หนานหย่งไม่กล้าว่าอะไรสวีซื่อเจี้ย นางจึงยืนอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนทุกวัน
สืออีเหนียงเห็นเขายิ้มหน้าบาน ก็รู้ว่าเขาเป่ามีเสียงออกมาแล้ว นางจึงก้มหน้าลง แทงเข็มลงไปในสะดึงเย็บปัก เข็มค่อยๆ แทงทะลุผ้าลงไป…
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงบอย่างฉับพลัน
เงาสีแดงเล็กๆ โผล่เข้ามาจากข้างนอก
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านฟังดูนะขอรับ!”
สวีซื่อเจี้ยยืนอยู่หน้าเตียงเตา หายใจเข้าอย่างแรงแล้วเป่าขลุ่ยไม้ไผ่
“ปี่ ปี่…” มีเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ออกมาสองสามเสียง
“ไอ๊หยา!” สืออีเหนียงรีบวางเข็มในมือลง เอนตัวไปหอมแก้มสวีซื่อเจี้ย “เจี้ยเกอของเราเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ดังแล้ว!”
สวีซื่อเจี้ยดีใจจนหน้าแดง หยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นมาเป่าอีกสองที “เป่าได้ตลอดเลยขอรับ”
สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยขึ้นมาบนเตียงเตา สะใภ้หนานหย่งที่วิ่งตามเข้ามาก็ช่วยถอดรองเท้าให้สวีซื่อเจี้ย สืออีเหนียงอุ้มสวีซื่อเจี้ยไว้ในอ้อมแขน “เจี้ยเกอของเราเก่งมากเลย!”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้าซ้ำๆ พยายามลุกขึ้นยืน ยืดตัวตรงแล้วก็เป่าอีกสองที
สืออีเหนียงปรบมือ
สวีซื่อเจี้ยหัวเราะอย่างพอใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ
หู่พั่วย่างเท้าก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวสวีซื่อเจี้ย เอ่ยถามหู่พั่ว “เกิดอะไรขึ้น”
“ผู้ดูแลลานข้างนอกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าสั่งทำภาพของหอชุนซีเรียบร้อยแล้ว” นางยิ้ม “บอกว่าจะส่งไปถึงตรอกซื่ื่อเซี่ยงในวันที่สิบเจ็ดเดือนสามยามโหย่วเจ้าค่ะ”
ตอนนี้อู่เหนียงอาศัยอยู่ที่ตรอกซื่ื่อเซี่ยง งานเลี้ยงย้ายเรือนที่มีกำหนดว่าจะจัดขึ้นก็ถูกยกเลิกเพราะว่านายหญิงใหญ่เสียชีวิต แต่ซื่อเหนียง ชีเหนียง สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ยังส่งของขวัญไปให้นาง อู่เหนียงส่งคนนำกล่องของขวัญสี่สีมาขอบคุณ บอกว่าหลังจากครบรอบปีแรกของการไว้ทุกข์แล้วจะเชิญทุกคนไปนั่งที่เรือน
สืออีเหนียงนึกถึงสวีซื่ออวี้ขึ้นมา “…พรุ่งนี้ประกาศรายชื่อแล้วใช่หรือไม่!”
“พรุ่งนี้ประกาศรายชื่อแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วยิ้ม “พรุ่งนี้บ่าวจะไปฟังรายงานที่ฝ่ายรายงานแต่เช้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า เกลี้ยกล่อมให้สวีซื่อเจี้ยวางขลุ่ยไม้ไผ่ในมือลง จากนั้นก็พาเขาไปทานข้าวเย็นที่เรือนของไท่ฮูหยิน
หู่พั่วออกไปที่ลานข้างนอกตั้งแต่เช้ามืดของวันต่อมา นางรีบเข้ามารายงานตั้งแต่ยามซื่อ “ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายน้อยสองสอบผ่านแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงกำลังจัดการงานบ้านในห้องโถงลานข้างหน้า ท่านป้าผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็หันหน้ามองกัน แต่ไม่มีใครปริปากพูดแสดงความยินดีเลยสักคน
นางเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตลก พูดกับป้าหลีที่ดูแลโรงครัวว่า “วันนี้เพิ่มอาหาร” จากนั้นก็บอกหู่พั่ว “ไปนำเหรียญที่ห้องเก็บของออกมามอบเป็นรางวัล!”
บรรดาท่านป้าผู้ดูแลจึงรีบเดินมาเอ่ยแสดงความยินดีกับสืออีเหนียง
