สวีลิ่งอี๋รู้เช่นนี้ก็พูดอย่างนิ่งเฉย “ไม่จำเป็นต้องย้ายเรือนให้สกุลหยาง ไม่ว่าเช่นไร สกุลเหวินก็แต่งเข้าจวนมาก่อน”
“แต่ว่าข้าบอกไปแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงมักจะกันไว้ดีกว่าแก้เสมอ นางคิดว่าหากสกุลหยางไม่พอใจ ถึงตอนนั้นนางก็จะได้ใช้เรื่องนี้ตอบโต้สกุลหยาง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก ไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนจะพูดว่า “สองวันก่อนพระราชวังมอบชุดเครื่องลายครามมาให้ มีชุดสีชมพูชุดหนึ่ง ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าบอกให้พ่อบ้านไป๋นำไปมอบให้สกุลเหวินเสียเถิด!”
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
มีรางวัลจากสวีลิ่งอี๋ สาวใช้และท่านป้าในจวนจะได้ไม่คิดว่าเหวินอี๋เหนียงตกกระป๋อง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ
สวีลิ่งอี๋ก็ถามเรื่องงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามที่นางไปปรึกษากับไท่ฮูหยินเมื่อยามบ่าย “…เรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “นำรายการไปให้ฝ่ายรายงานแล้ว ถึงตอนนั้นจะจัดงานเลี้ยงที่โถงบุปผา เชิญคณะฉังเซิงปานมาร้องงิ้วทั้งวัน น้องสะใภ้ห้าต้อนรับแขกกับไท่ฮูหยิน ส่วนข้าจัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่มในงานเลี้ยง”
ตนยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกที่จะร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ แต่หากไม่สนใจอะไรเลย ก็กลัวว่าไท่ฮูหยินจะทำงานหนักจนทำร้ายร่างกาย
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “มีเรื่องอันใดก็บอกป้าตู้และป้าซ่งเถิด พวกนางเคยจัดงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิวันที่สามเดือนสามกับไท่ฮูหยินมาตั้งนานแล้ว”
แต่สืออีเหนียงกลับเสนอให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ช่วยจัดการ “…สกุลเซ่าเป็นสกุลใหญ่สกุลโต แล้วยังมีลูกหลานมากมาย เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานเข้าไปเป็นลูกสะใภ้คนโต นอกจากจะต้องดูแลเรื่องในจวนแล้ว ยังมีเรื่องของญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่นางต้องไปมาหาสู่ ข้าอยากให้นางเรียนรู้ประสบการณ์เรื่องพวกนี้กับข้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากแต่งออกไปแล้ว เจอกับเรื่องอันใดนางจะได้ไม่ตื่นตระหนก ไม่รู้วิธีรับมือ ทำให้แม่สามีดูถูกเจ้าค่ะ”
“ได้สิ!” สวีลิ่งอี๋ก็คิดว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ควรจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้แล้ว “เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเถิด!”
ถึงวันที่สามเดือนสาม เจินเจี่ยเอ๋อร์พาเสี่ยวหลีมาตั้งแต่เช้า มองดูสืออีเหนียงสั่งงานท่านป้าผู้ดูแลอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ป้าสือพาซินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เรือนลี่จิ่งเซวียน ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าต้อนรับแขกอยู่ที่โถงบุปผา เชิญแค่หย่งชังโหว เวยเป่ยโหว จงฉินปั๋วที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ และเจียงฮูหยิน
แขกบางคนที่รู้ว่าสวีซื่ออวี้สอบผ่านระดับมณฑลแล้วก็มอบปากกา หมึก กระดาษ และหนังสือให้เขา บางคนที่ไม่รู้ ได้ยินเช่นนี้ก็พากันแสดงความยินดี จากนั้นก็มอบกล่องใส่ปากกาและจานฝนหมึกให้เขา
สองวันต่อมา เรือนเก่าของสวีซื่ออวี้ซ่อมแซมเสร็จแล้ว เหวินอี๋เหนียงได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น
บรรดาสาวใช้และท่านป้าล้อมรอบสืออีเหนียงไปดูเรือนใหม่ของเหวินอี๋เหนียง มอบรางวัลของสวีลิ่งอี๋ให้เหวินอี๋เหนียงต่อหน้าทุกคน “…บอกว่าเจ้าย้ายเรือน จึงให้ของตกแต่งเรือนกับเจ้า”
เหวินอี๋เหนียงก็เป็นคนรู้ความ นางนำแจกันเครื่องเคลือบดินและแจกันลายครามวางไว้บนโต๊ะยาวในห้องโถงทันที
แจกันสีชมพูทำให้เรือนของนางดูมีสีสันขึ้นไม่น้อย
บรรดาสาวใช้และท่านป้าสายตาเป็นประกาย พากันเข้ามาแสดงความยินดีกับเหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงยิ้มหน้าบาน เชิญสืออีเหนียงดื่มชาอย่างกระตือรือร้น
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็กัดฟันแล้วพูดว่า “ฉลาดเสียจริง!”
ฉินอี๋เหนียงกลับวิ่งตรงไปหาเหวินอี๋เหนียง “ทำไมเจ้าทำเช่นนี้ หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าคงแลกเรือนกับเจ้าตั้งนานแล้ว”
“ท่านอยากแลกกับข้า แต่ข้าไม่อยากแลกกับท่าน” เหวินอี๋เหนียงแสร้งหัวเราะ “เรือนของข้าตอนนี้พึ่งจะซ่อมแซมเสร็จ แล้วยังเปลี่ยนม่านหน้าต่างและผ้าม่านใหม่ทั้งหมด สวยกว่าเรือนของพี่หญิงเป็นร้อยเท่า”
ฉินอี๋เหนียงจับมือเหวินอี๋เหนียงแล้วร่ำไห้ “ยังไม่ได้แต่งเข้ามา เจ้ายังต้องย้ายเรือนให้นาง หากแต่งเข้ามาแล้ว เรายังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ! เราต้องคิดหาวิธี!”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็มุมปากกระตุก อดไม่ได้ที่จะพูดแทงใจดำฉินอี๋เหนียง “หรือว่าหยางอี๋เหนียงที่กำลังจะแต่งเข้ามาคนนี้สวยกว่าเฉียวอี๋เหนียงของเราเช่นนั้นหรือ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง พูดคุยสองสามประโยคจากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงไปดูเรือนที่เตรียมไว้ให้สกุลหยาง
ผนังสีขาวที่ทาสีใหม่ ห้อยม่านสีชมพู ในห้องโถงกลางมีรูปดอกไม้ห้อยอยู่ บนโต๊ะยาวมีแจกันกระเบื้องลายคราม มองดูแล้วให้ความรู้สึกน่ายินดีปรีดา
หลังจากผ่านไปอีกสองวัน พ่อบ้านไป๋ก็นำผ้าห่ม หมอนอิงและอื่นๆ มาเตรียมไว้ สืออีเหนียงเลือกท่านป้าสองคนไปรับใช้ที่นั่น ในที่สุดก็เตรียมทุกอย่างที่ควรเตรียมเรียบร้อยแล้ว
แต่สวีซื่ออวี้กลับบอกว่าจะกลับเล่ออานตอนนี้
สวีลิ่งอี๋ตอบตกลงด้วยความพอใจ บอกให้สืออีเหนียงเตรียมของขวัญให้สวีซื่ออวี้นำไปที่เล่ออาน กำหนดวันออกเดินทางในวันที่สิบเดือนสาม
สุดท้ายวันต่อมา ฉินอี๋เหนียงก็ไม่สบาย
สวีซื่ออวี้ไปเยี่ยมมารดาของตัวเอง
ฉินอี๋เหนียงนอนอยู่บนเตียงอย่างหมดแรง เมื่อเห็นสวีซื่ออวี้เข้ามาก็น้ำตาไหลทันที
สวีซื่ออวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คุกเข่าลงหน้าเตียงของฉินอี๋เหนียง
ชุ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็หน้าซีด นางรีบเดินเข้าไปประคองสวีซื่ออวี้ ฉินอี๋เหนียงเองก็พยายามจะลุกขึ้นมา
“ลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็วเข้า”
แต่สวีซื่ออวี้ยังคงคุกเข่าอยู่ที่นั่นแล้วพูดเบาๆ ว่า “อี๋เหนียงขอรับ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ตราบใดที่ข้าสอบบัณฑิตชั้นสูงผ่าน ท่านพ่อก็จะไม่มีวันลืมข้าขอรับ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“แต่บัณฑิตชั้นสูงมันสอบง่ายขนาดนั้นเลยหรือ อี้อี๋เหนียงบอกว่า บิดาของฮูหยินสามสอบมาทั้งชีวิตยังเป็นได้แค่จู่เหริน!”
“ข้ารู้ขอรับ!” สวีซื่ออวี้พูดเบาลง “แต่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นนี้ ข้าเห็นว่าสกุลของท่านลุง บิดาของเขาเป็นถึงบัณฑิตชั้นสูง ท่านลุงสองคนก็เป็นบัณฑิตชั้นสูง ท่านลุงใหญ่ก็เป็นบัณฑิตชั้นสูง แล้วยังมีท่านลุงสี่ ไม่เพียงแต่เป็นบัณฑิตชั้นสูง แล้วยังเป็นทั่นฮวาหลัง…อี๋เหนียง ข้าต้องสอบได้แน่นอนขอรับ!” เขาพูดด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ถึงตอนนั้นข้าก็จะเหมือนกับอาจารย์เจียง ถึงแม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่กลับไม่มีใครกล้าดูถูก… “ พูดถึงตรงนี้ เขาก็เห็นฉินอี๋เหนียงเบิกตากว้าง ทำท่าทีตกใจราวกับเห็นผี เขาอดไม่ได้ที่จะทำสีหน้ามืดมนแล้วลุกขึ้นยืน “อี๋เหนียงพักผ่อนเถิด ข้าขอตัวก่อน!”
“คุณชายน้อยสอง…” ฉินอี๋เหนียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
แต่สวีซื่ออวี้กลับเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย
ข้างนอกแสงอาทิตย์สดใสส่องกระทบแผ่นอิฐปูพื้นสีฟ้าพลอยทำให้รู้สึกสงบ
สาวใช้สองสามคนเดินหัวเราะออกมาจากซอกข้างๆ เมื่อเดินมาเจอกับสวีซื่ออวี้ทุกคนก็เงียบแล้วย่อเข่าคำนับด้วยความเคารพ “คุณชายน้อยสอง!”
สวีซ่ออวี้ทำท่าทีอกผ่ายไหล่ผึ่ง พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันหลังเดินขึ้นบันไดทางเดินไป
มีเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ดังตามมาจากข้างหลัง
เขารู้ว่า พวกนางกำลังพูดถึงตัวเอง แล้วเขาก็รู้ด้วยว่า บรรดาสาวใช้พวกนี้ไปทำความสะอาดเรือนให้อนุภรรยาคนใหม่ของท่านพ่อที่กำลังจะแต่งเข้ามา
เดินออกมาจากห้องโถง เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าถูกกำแพงลานแบ่งออกเป็นสี่เหลี่ยม ไม่เหมือนที่เล่ออาน ท้องฟ้ากว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด ก้อนเมฆประเดี๋ยวก็กลายเป็นรูปดอกโบตั๋น ประเดี๋ยวก็กลายเป็นรูปม้า
‘หากเจอกันบนถนนคับแคบ มีแค่ผู้กล้าเท่านั้นที่เป็นฝ่ายชนะ ใช้ได้กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แล้วก็ใช้ได้กับโชคชะตาของคน’ คำพูดของอาจารย์เจียงผุดเข้ามาในหัวของเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ‘เจ้ารากฐานอ่อนแอ แต่โชคดีที่เจ้ามีความพยายาม กลับมาครั้งนี้ สอบผ่านระดับมณฑลแล้ว ปีหน้าก็ไปสอบระดับเมืองหลวง อีกสามปี ก็ไปสอบระดับราชสำนัก’
คิดดูแล้ว อาจารย์เจียงคิดว่าเขาจะต้องสอบผ่านระดับมณฑล แต่กลับสอบระดับเมืองหลวงไม่ผ่านเช่นนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ เขายิ่งอยากเจออาจารย์เจียงให้เร็วที่สุด
*****
หลังจากส่งสวีซื่ออวี้ออกไปแล้ว ที่จวนก็เริ่มเตรียมการเรื่องงานแต่งสกุลหยาง
บอกว่าเตรียมการ แต่ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรต้องเตรียม
ไม่จำเป็นต้องปูพรมแดง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉลอง แค่มีเสลี่ยงสีฟ้าในยามซวีของวันนั้น แบกนางเข้ามาพร้อมกับโคมไฟสีเขียวสีดวง จากนั้นก็จัดโต๊ะงานเลี้ยงสี่โต๊ะที่ลานข้างนอก และในวันที่สิบสอง สวีลิ่งอี๋ก็ยังไปจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ลานข้างนอกก่อนเหมือนเดิม จากนั้นก็ไปลาดตระเวนที่จวนหวังลี่ของใต้เท้าหวังที่พึ่งกลับมาจากฝูเจี้ยน
เขาอยู่ทานข้าวกลางวันที่จวนสกุลหวัง แล้วกลับมายามยามเว่ย
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ซุ่นอ๋อง หม่าจั่วเหวิน ใต้เท้าเจียงและอวี๋อี๋ชิงก็มาพอดี พวกเขาเอะอะโวยวายว่ายังไม่ได้ทานข้าว ขออาหารและเหล้าทานจากนั้นก็นั่งลง เฉียนหมิง หลัวเจิ้นต๋าและคนอื่นๆ ก็มาถึงทีละคน ทุกคนทักทายกัน พูดเรื่องสถานการณ์ช่วงนี้ในฝูเจี้ยน บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมาก
เมื่อเทียบกันแล้ว ลานข้างในช่างเงียบสงัด
ตอนเช้าฮูหยินสองมาสักการะพระพุทธเจ้ากับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินให้นางอยู่ทานข้าวกลางวัน จากนั้นพวกนางสองคนก็ไปพูดเรื่องอาจารย์จ้าวบนเตียงเตา “…เจ้าก็เห็นแล้ว ตอนนี้จุนเกอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ได้ยินมาว่ากำลังเขียนหนังสืออะไรบางอย่าง ข้าบอกคุณชายสี่แล้ว หากอาจารย์จ้าวเขียนหนังสือเล่นนั้นเสร็จ เราจะช่วยเขาพิมพ์สักสองพันเล่ม จากนั้นก็ส่งไปให้ญาติพี่น้องคนละเล่ม”
“ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์จ้าวเป็นจู่เหริน” ฮูหยินสองพูด “เหตุใดถึงไม่สอบบัณฑิตชั้นสูงต่อเล่าเจ้าคะ”
“บอกว่าสอบสองครั้งก็สอบไม่ผ่าน” ไท่ฮูหยินพูด “เสียสินเดิมของภรรยาไปแล้วไม่น้อย บอกว่าผ่านไปสักสองสามปีแล้วค่อยว่ากัน ข้าคิดว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงตอนนั้นจุนเกอของเราก็คงโตแล้ว”
“ให้ความช่วยเหลือในยามคับขันคือความจริงใจเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองพูดเบาๆ “เช่นนั้น เรารับครอบครัวของอาจารย์จ้าวมาที่นี่? ก็แค่ต้องเพิ่มเสบียงอาหาร!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ความคิดนี้ไม่เลว!”
ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกัน ป้าตู้ก็เปิดม่านเข้ามา
“ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้แค่ไอนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ฮูหยินห้าพานางออกไปอาบแดดที่สวนหลังจวนแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดว่า “บ่าวเจอกับซื่อสี่ สาวใช้คนใหม่ของฮูหยิน กำลังบอกให้ป้ารับใช้ย้ายดอกไม้ต้นไม้ บอกว่าจะนำไปให้ไท่ฮูหยินสกุลกาน ดูท่าทีแล้วเป็นคนมีความรู้”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงกับฝูเจินจะสนิทสนมกันเช่นนี้” จากนั้นก็ถามถึงซื่อสี่ “สาวใช้ผู้ติดตามของสืออีเหนียง?”
ป้าตู้พยักหน้า “ย้ายซิ่วหลานไปรับใช้ในห้องของคุณหนูใหญ่ รับซิ่วเอ๋อร์เข้ามา จากนั้นก็รับซื่อสี่เข้ามาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองพูดเตือนไท่ฮูหยินอย่างคลุมเครือ “เรือนของท่านก็ต้องรับเพิ่มสักคนสองคนนะเจ้าคะ” พูดจบนางก็กวาดตามองเว่ยจื่อและเหยาหวง
พวกนางสองคนก้มหน้าก้มตาด้วยความหวาดกลัว หน้าแดงราวกับแสงอาทิตย์
ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าสืออีเหนียงเป็นคนมองคนออก แต่น่าเสียดายที่นางกำลังยุ่ง ไม่เช่นนั้น จะได้เรียกนางมาปรึกษา”
“ไม่รีบเจ้าค่ะ” ฮูหยินสองยิ้ม “รอให้นางจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน”
และสืออีเหนียงในตอนนี้ กำลังนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง
“…ข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ กลัวว่าจะชนกับเรื่องน่ายินดี ข้าจะอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก ถึงตอนนั้นมาคารวะข้าก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ให้เหวินอี๋เหนียงจัดการเถิด!”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วตอบว่า “เจ้าค่ะ”
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ พ่อบ้านไป๋บอกให้บ่าวมาบอกท่านว่า อีกหนึ่งเค่อก็จะยกเสลี่ยงแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มให้เหวินอี๋เหนียงที่อยู่ด้านหน้า ป้าซ่งและคนอื่นๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ยามซวีเป็นฤกษ์ดี พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถิด!”
เหวินอี๋เหนียงและคนอื่นๆ ก็ยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
