หลังจากที่กลับไปถึงเหอฮวาหลี่แล้ว สืออีเหนียงก็ได้ไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน
ไท่ฮูหยินกำลังเอนตัวอยู่บนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ดูสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยนำผลผิงกั่วหยอกล้อสวีซื่อซินที่กำลังฝึกเดิน บรรยากาศในเรือนจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
ที่ผ่านมาฮูหยินห้าไม่ชอบให้สวีซื่อซินเล่นกับสวีซื่อเจี้ยมาโดยตลอด วันนี้ทำไมถึง…
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว สวีซื่อเจี้ยก็วิ่งพรวดเข้ามาหาสืออีเหนียงทันที “ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ!”
สืออีเหนียงจึงรีบสลัดความคิดนี้ออกไป นางยิ้มพลางลูบศีรษะเขาเบาๆ จากนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับหันไปกล่าวทักทายไท่ฮูหยินว่า “ท่านแม่”
“กลับมาแล้วหรือ!” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นนั่งตัวตรง
สวีซื่อจุนเองก็ได้ทิ้งสวีซื่อซินไว้พร้อมกับวิ่งมาหานาง “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงได้กลับมาดึกเช่นนี้” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความออดอ้อน “วันนี้ท่านแม่ไม่ได้อยู่ฟังข้าเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ พวกข้าฝึกบทเพลงใหม่กับอาจารย์จ้าวด้วยขอรับ”
“จริงหรือ” สืออีเหนียงโน้มตัวลงมา จากนั้นก็จ้องมองสวีซื่อจุนด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอโทษเจ้าก็แล้วกัน วันนี้ข้าไปเยี่ยมกานไท่ฮูหยินมา ก็เลยไม่ได้ฟังเจ้าเป่าบทเพลงใหม่ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้ามาเป่าให้ข้าฟังอีกรอบ”
สวีซื่อจุนอยากที่จะเป่าให้สืออีเหนียงฟังตอนนี้เลย เมื่อได้ยินแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สวีซื่อเจี้ยนั้นเห็นดีเห็นงามกับสืออีเหนียงเสียทุกเรื่อง เขารีบปรบมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดีขอรับ!” สวีซื่อจุนจึงไม่ได้ดันทุรังต่อแต่อย่างใด ฝืนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
ส่วนสวีซื่อซินที่เมื่อครู่นี้ถูกรายล้อมเต็มไปหมด แต่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบเชียบขึ้นมา นางจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เริ่มเอียงคอหันมามองสืออีเหนียงและไท่ฮูหยินด้วยรอยยิ้มก่อน จากนั้นก็หันกลับไปมองแม่นมที่กำลังยืนอย่างนอบน้อม สุดท้ายสายตาของนางก็มาหยุดลงตรงสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยที่กำลังล้อมรอบสืออีเหนียงอยู่ แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้เสียงดังออกมาด้วยความเสียใจ
ทุกคนต่างพากันอึ้งไปชั่วขณะ
แม่นมของซินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบสาวเท้าเข้ามาอุ้มนางทันที “เจี่ยเอ๋อร์ เจี่ยเอ๋อร์…” แม่นมโอ๋นางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
สืออีเหนียงจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าฮูหยินห้าและป้าสือต่างก็ไม่อยู่ทั้งคู่
ซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นบุตรคนแรกของฮูหยินห้า บวกกับสุขภาพร่างกายของซินเจี่ยเอ๋อร์ที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรนัก ฮูหยินห้าจึงดูแลนางอย่างเคร่งครัด ปกติจะดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ห่างเลยแม้แต่ก้าวเดียว หากมีธุระที่ไม่สามารถดูแลข้างกายซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ ก็จะให้ป้าสืออยู่ปรนนิบัติรับใช้และดูแลแทนเสมอ…
มิน่าเล่าเด็กสามคนนี้ถึงได้เล่นด้วยกันได้
ว่าแต่ฮูหยินห้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรกัน
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้ตะโกนขึ้นว่า “พี่ชาย” พร้อมกับแสดงสีหน้าท่าทีต้องการจะให้เล่นด้วยอย่างไรอย่างนั้น
สวีซื่อจุนเห็นแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปจูงมือของซินเจี่ยเอ๋อร์ทันที
ซินเจี่ยเอ๋อร์จึงค่อยๆ หยุดร้องไป จากนั้นนางก็ซบลงบนไหล่ของแม่นม เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ แทน
“ที่แท้แล้วซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราก็ชอบคุณชายน้อยสี่ที่สุดนี่เอง!” แม่นมพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความประจบประแจง
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ก้มหน้าลงด้วยความเก้อเขิน
ทุกคนจึงพากันหัวเราะเสียงดังออกมา
สืออีเหนียงจึงเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับชี้ไปยังที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามเชื้อเชิญให้นางนั่ง “ฝูเจินยังสบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลง จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยยกน้ำชาเข้ามาให้ “แม้ว่าจะดูเศร้าอยู่บ้าง แต่สีหน้าดีขึ้นมากแล้ว”
“นางอายุยังน้อย หนทางของวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ไท่ฮูหยินเองก็เป็นหญิงม่าย ย่อมเข้าใจความรู้สึกดีอยู่แล้ว
สืออีเหนียงไม่อยากจะให้ไท่ฮูหยินเสียใจ จึงยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย “เหตุใดถึงไม่เห็นน้องสะใภ้ห้าหรือเจ้าคะ”
“นางเป็นไข้นิดหน่อย” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “กลัวว่าไข้จะไปติดเด็กเข้า ก็เลยส่งซินเจี่ยเอ๋อร์มาอยู่ที่เรือนข้าสักสองสามวัน”
มิน่าเล่าเด็กๆ ถึงเล่นด้วยกันได้
การแพทย์ในสมัยโบราณค่อนข้างล้าหลัง อาการไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถคร่าชีวิตคนได้
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “หมอว่าอย่างไรบ้าง ร้ายแรงหรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านหมอหลิวบอกว่าทานยาสักสองสามชุดก็ดีขึ้น” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดตอบไปว่า “ข้าให้ป้าตู้ไปดูอาการ เห็นว่าทานยาเสร็จก็เหงื่อออกทั้งตัว เพิ่งจะหลับไป”
“เช่นนั้นข้าไปดูนางเสียหน่อยดีกว่า!”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นราวกับเสียงกระดิ่ง
สืออีเหนียงและไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะหันไปดู ก็เห็นศีรษะน้อยๆ ทั้งสามศีรษะกำลังมุงดูของเล่นที่เป็นลูกไก่กำลังจิกกินเมล็ดข้าวอย่างสนุกสนาน
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กๆ ทั้งคู่จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
ไท่ฮูหยินหันมากุมมือของสืออีเหนียงเอาไว้ “ตอนนี้ข้าอายุมากแล้ว ข้าเพียงแค่อยากจะเล่นกับหลานๆ ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข วันข้างหน้าหากที่เรือนมีแขกมาเยือน นอกจากพี่น้องเก่าแก่เช่นหวงฮูหยินแล้ว คนอื่นๆ เจ้าช่วยข้ารับหน้าไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องพามาหาข้าถึงที่นี่”
สืออีเหนียงค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก
นางรู้ว่าไท่ฮูหยินไม่อยากพบหน้าคนสกุลหยาง แต่อย่างไรเสียไทเฮาก็ยังทรงครองตำแหน่งอยู่ จวนสกุลหยางและจวนสกุลสวียังอยู่ในแวดวงเดียวกัน วันนี้ไม่เจอ วันหน้าก็ยังต้องเจออยู่ดี ส่วนหน้าตาก็ยังต้องรักษาไว้ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางหลบเลี่ยงการเจอหน้ากับเจี้ยนหนิงโหวฮูหยิน นางต้องการจะใช้วิธีนี้เพื่อบอกเป็นนัยกับทางจวนสกุลหยาง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าไท่ฮูหยินจะมอบหมายอำนาจตัดสินใจเรื่องต้อนรับขับสู้แขกที่มาเยือนทั้งหมดให้กับนางในเวลาเช่นนี้ นี่ไม่ใช่แค่การไว้วางใจเท่านั้น แต่ถือเป็นการสนับสนุนอย่างหนึ่ง
“ท่านแม่!” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกุมมือของไท่ฮูหยินตอบ
ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับตบมือของสืออีเหนียงเบาๆ “พอแล้ว พอแล้ว เราไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้าไปอยู่ที่เรือนของฝูเจินครึ่งค่อนวัน คุยอะไรกันบ้าง ตอนนี้สถานการณ์ของทางจวนสกุลกานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นายท่านและนายหญิงสกุลเดิมให้คนมาส่งเทียบเชิญให้ข้าแต่เช้าตรู่ เชิญข้าไปดูการแสดงงิ้วเนื่องในโอกาสขึ้นบ้านใหม่ด้วย!”
สืออีเหนียงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นางเก็บเจตนาดีของไท่ฮูหยินเอาไว้ในใจ จากนั้นก็เลือกเอาเรื่องที่ค่อนข้างสนุกมาเล่าให้ไท่ฮูหยินฟัง
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินว่ากานฮูหยินต้องการที่จะมาคารวะกานไท่ฮูหยินทุกเช้าค่ำ จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เวลาที่เรากตัญญูกับผู้อาวุโสของตน ก็ไม่ควรลืมผู้อาวุโสที่ไม่ได้เป็นสายเลือดของตน เวลาที่เราอบรมสอนสั่งลูกหลานของตนก็ไม่ควรลืมลูกหลานที่ไม่ใช่สายเลือดของตน หากว่านางสามารถผลักดันตนเองและผู้อื่นได้ พูดได้ก็จะควรจะทำได้เช่นกัน ใช่ว่าจวนสกุลกานจะพ่ายแพ้และล้มเหลวจนไม่หลงเหลืออะไรเลยเสียหน่อย” และตอนที่ได้ฟังเรื่องที่ว่ามีคนตามมาให้ช่วยปักเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้าถึงที่ร้าน ก็พลอยรู้สึกดีใจยิ่งกว่าสืออีเหนียงและคนอื่นๆ เสียอีก “…ต้องขอบคุณซุ่นอ๋องดีๆ ถึงจะถูก จากนั้นค่อยฝากฝังกับเขา ว่ายังมีการค้าขายเช่นนี้อีกหรือไม่ ภายภาคหน้าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ช่วงเวลาที่ยากที่สุดสำหรับการค้าขายก็คือช่วงสองปีแรก หากผ่านพ้นสองปีนี้ได้ ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับขานรับเบาๆ หันไปมองซินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังหัวเราะพลางหาวไปพร้อมๆ กัน กลัวว่าเด็กๆ จะเล่นจนสนุกสนานเกินไป เวลานอนจะสะดุ้งตื่นหรือละเมอเอาได้ จึงยิ้มแล้วลุกขึ้นเอ่ยขอตัวลา
ไท่ฮูหยินพลันนึกขึ้นได้ว่านางไปเป็นแขกของเรือนคนอื่นอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็เลยไม่รั้งให้นางอยู่ต่อ จากนั้นก็ได้ให้ป้าตู้ออกไปส่งสืออีเหนียงและสวีซื่อเจี้ย
เมื่อกลับไปถึงเรือน สวีลิ่งอี๋ก็ได้อาบน้ำและเตรียมตัวพักผ่อนแล้ว ตอนนี้เขากำลังเอนตัวนอนตะแคงอ่านหนังสือตำราอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่านางกลับมาแล้ว จึงยิ้มพร้อมกับถามนางว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ไปคุยกับกานไท่ฮูหยินทั้งวัน อารมณ์จิตใจดีขึ้นบ้างหรือไม่”
ทำอย่างกับว่านางไปด้วยอารมณ์จิตใจที่คับแค้นใจอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมา แต่นางกลับยิ้มพร้อมกับหันไปมองสวีลิ่งอี๋ “มิตรสหายคือหนึ่งในความสัมพันธ์ทั้งห้า ขงจื๊อเคยกล่าวไว้ว่า มิตรที่ดีมีอยู่สามประเภท และมิตรที่เลวก็มีอยู่สามประเภทเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ของชั่วชีวิต ไม่ควรละเลยและมองข้าม ข้าก็แค่ทำตามคำสอนของนักปราชญ์ ก็เลยไปหามิตรสหายที่นิสัยใจคอซื่อตรงและสนิทสนมกัน ย่อมอารมณ์ดีขึ้นเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
สืออีเหนียงออกไปล้างหน้าล้างตัวไม่สนใจเขา
ตอนเดินออกมาจากห้องชำระ สวีลิ่งอี๋ก็ยิ้มให้นางแต่นางกลับแกล้งทำเป็นไม่เห็น หันไปเป่าตะเกียงไฟแล้วก็เอนตัวลงนอน แต่แล้วก็ถูกสวีลิ่งอี๋คว้าตัวเข้ามากอดในอ้อมแขนทันที
“มั่วเหยียน” เขาถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “เด็กโง่เอ๋ย คราวหน้าคราวหลังก็อย่าไปหาเรื่องใส่ตัวอีก”
ตนก็แค่ถือโอกาสนี้เจอสหายไปในตัว จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวได้อย่างไรกัน
สืออีเหนียงไม่เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ
ผ่านไปสองวัน โจวฮูหยินก็ได้มาหาแบบไม่ทันตั้งตัว
“เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินมาขอพบข้า” ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มที่เย้ยหยัน “ข้าอ้างว่าวันนี้ได้นัดแนะกับเจ้าไปดูของที่ร้าน เพื่อเลือกของให้กับองค์หญิง”
สืออีเหนียงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
หากเจี้ยนหนิงโหวฮูหยินมาหาตน ตนก็คงจะอ้างว่าไปหาโจวฮูหยินเหมือนกัน
เมื่อโจวฮูหยินเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยของสืออีเหนียงแล้ว ก็เข้าใจได้ในทันที “นางก็มาหาเจ้าด้วยหรือ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเองก็ทำเช่นท่าน หลบหน้าไป!”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็สบถออกมาด้วยความฉุนเฉียว “นางนึกว่าตนเป็นใครกัน! วิ่งวุ่นไปทั่ว ข้าจะคอยดูว่านางจะทำไปได้สักกี่น้ำ”
ฟังจากน้ำเสียงคำพูดคำจาแล้ว ราวกับอยากจะพูดให้องค์หญิงฟังอย่างไรอย่างนั้น
แต่อย่างไรเสียนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว สืออีเหนียงไม่อยากจะก้าวก่ายจนเกินไป จึงถามโจวฮูหยินว่า “เช่นนั้นท่านจะยังไปดูของที่ร้านขายของมงคลสมรสหรือไม่”
“ข้าตั้งใจจะมาชวนเจ้าไปซื้อของจริงๆ” โจวฮูหยินและสืออีเหนียงก็ได้พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบทสนทนาก็เบาลง “ข้ามีสาวใช้ข้างกายคนสนิทอยู่สองคน ถูกใจข้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ทั้งสองจะแต่งงานออกเรือนแล้ว ข้าก็เลยตั้งใจจะเตรียมสินเดิมให้พวกนางสักชุด อย่างน้อยพวกนางก็ได้ปรนนิบัติรับใช้ข้าอย่างตั้งใจมาช่วงเวลาหนึ่ง”
คำพูดของนางพลอยทำให้หัวใจของสืออีเหนียงรู้สึกสั่นไหวขึ้นมา แล้วจึงค่อยๆ มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว
หากสาวใช้ของแต่ละจวนที่จะแต่งงานออกเรือนสามารถสั่งทำสินเดิมที่ร้านขายของมงคลสมรสคนละหนึ่งชุดเพื่อเป็นเกียรติให้กับตน เช่นนั้นร้านขายของมงคลสมรสของพวกนางก็จะเป็นที่เลื่องชื่อและสามารถสร้างจุดขายของตัวเองได้
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าสามารถทำได้ จึงคิดวางแผนหาเวลาไปเจอกับอาจารย์เจี่ยนเพื่อที่จะปรึกษาหารือกัน พลางล้างหน้าล้างตาแต่งตัวไปคารวะไท่ฮูหยินกับโจวฮูหยิน แล้วก็พากันไปที่ร้านขายของมงคลสมรส
โจวฮูหยินอยู่ที่นั่นราวสองชั่วยาม นางไม่เพียงแต่เลือกซื้อสินเดิมไปสองชุดเท่านั้น ยังได้ซื้อผ้าเช็ดหน้าให้ตัวเองอีกหลายผืนด้วย ดูออกว่านางชอบและถูกใจสินค้าที่ร้านขายของมงคลสมรสเป็นอย่างมาก
หลังจากออกจากประตูไปแล้ว สืออีเหนียงนึกว่านางจะกลับไปที่จวนองค์หญิงเลย แต่แล้วจู่ๆ นางก็กอดแขนของสืออีเหนียงเอาไว้ “อย่างไรเสียก็ยืมชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าแล้ว ก็ถือโอกาสนี้ไปรบกวนเจ้าหน่อยก็แล้วกัน ไปทานอาหารค่ำที่เรือนเจ้า!”
ซื้อของ บ่นเรื่อยเปื่อยตามประสาหรือปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่สามารถลดความเครียดและความกังวลใจในจิตใจลงได้
สืออีเหนียงเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกของนางได้เป็นอย่างดี จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านไม่ต้องพูดข้าก็ตั้งใจจะลากท่านกลับไปทานอาหารค่ำกับข้าอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว!” โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็พากันกลับไปยังเหอฮวาหลี่พร้อมกับสืออีเหนียง
ทั้งสองลงรถม้าตรงหน้าประตูฉุยฮวา สืออีเหนียงก็เห็นบ่าวรับใช้ชายที่ติดตามโจวฮูหยินเดินปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ฮูหยิน เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินกลับไปแล้วขอรับ!” เขาหายใจฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ “องค์หญิงต้อนรับญาติพี่น้องตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ให้เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินยืนรออยู่ที่ลานสวนของตำหนักกลาง” บ่าวรับใช้ชายเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สะใจ “เจี้ยนหนิงโหวฮูหยินโกรธจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด…อาหญิงที่อยู่ข้างกายขององค์หญิงก็ได้พูดขึ้นว่า ญาติพี่น้องในบ้านล้วนปฏิบัติเช่นนี้มาช้านาน องค์หญิงคงจะไม่ทำลายกฎเกณฑ์เพียงเพื่อคนๆ เดียวหรอกกระมังขอรับ!”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมาทันที
นางยิ้มพร้อมกับจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ “เรือนข้าเป็นถึงจวนองค์หญิง การต้อนรับขับสู้โหวฮูหยินก็มีกฎระเบียบที่ต้องทำตามตามความเหมาะสม วิธีการต้อนรับญาติพี่น้องก็มีกฎระเบียบต่างหาก นางไม่ยอมเป็นโหวฮูหยิน แต่เลือกที่จะเป็นญาติขององค์หญิงแทน แน่นอนว่าจะต้องใช้การต้อนรับขับสู้แบบญาติอยู่แล้ว”
เวลานี้สืออีเหนียงจึงเพิ่งเข้าใจถึงเจตนาขององค์หญิงฝูเฉิง
องค์หญิงดุจกิ่งทองใบหยก เป็นเชื้อพระวงศ์ที่สูงส่ง แม้แต่ท่านราชบุตรเขยยังต้องก้มกราบ นับประสาอะไรกับญาติเล่า!
