อาจารย์จ้าวรับตำรามา เปิดไปยังหน้าที่ถูกพับมุมไว้ หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานานเขาก็ยิ้มแล้วพูดกับหู่พั่วว่า “เจ้ากลับไปบอกฮูหยินว่า ผ่านไปอีกสักหน่อยข้าจะพูดเรื่องของมนุษย์ในตำราปฐมวัยให้ซื่อจื่อฟัง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘สิ่งเท็จจะกลายเป็นจริงทำให้ผู้คนเชื่อว่ามีเสืออยู่ในเมือง ผู้คนชั่วร้ายจะปลุกระดมกันจนกลายเป็นพลัง ก็เปรียบดั่งฝูงยุงที่มารวมตัวกันก่อให้เกิดเสียงดังพอๆ กับฟ้าร้อง การใช้คำพูดกล่าวเท็จใส่ร้ายผู้อื่นคือคนที่คอยพูดจาใส่สีตีไข่ในความผิดพลาดเล็กน้อยของผู้อื่น เพื่อให้กลายเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่ การวางแผนให้ร้ายผู้อื่นนั้นเป็นเครื่องมือที่คนชั่วลอบใช้โจมตีหรือใส่ร้ายผู้อื่น’”
หู่พั่วกลับไปรายงานสืออีเหนียง
นางฟังแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยอยู่ที่สวนหลังจวน กำลังเล่นว่าวอยู่โดยมีบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้กลุ่มใหญ่รายล้อม
ป้าเถาพาสาวใช้น้อยทั้งสองนำชากับขนมมาส่ง
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็วิ่งมาพร้อมกับเหงื่อออกท่วมหัว
“ป้าเถา ป้าเถา ท่านเอาอะไรมาส่งให้ข้า!”
ป้าเถารีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้จุนเกอ
“บ่าวทำขนมฝูหลิงที่คุณชายน้อยสี่ชอบทาน แล้วยังมีขนมเปี๊ยะกุหลาบที่คุณชายน้อยห้าชอบทานเจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างหลังสวีซื่อจุนได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ “มีของข้าด้วยหรือ”
“มีของคุณชายน้อยสี่ก็ย่อมมีของคุณชายน้อยห้าของพวกเราด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ!” ป้าเถาปิดปากหัวเราะ
สวีซื่อจุนพาสวีซื่อเจี้ยไปที่ศาลา นั่งลงบนโต๊ะหินที่ปูเบาะรองสีแดงพลางดื่มชาและทานขนมอย่างเพลิดเพลินใจ
จู่ๆ บ่าวรับใช้ที่ช่วยทั้งสองคนถือว่าวร้องด้วยความตกใจ เมื่อหันไปเห็นว่าวผีเสื้อของสวีซื่อจุนกำลังพันอยู่กับว่าวตะขาบร้อยขาของสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยเป็นกังวล รีบลุกขึ้นวิ่งออกไป บรรดาสาวใช้และหญิงเฒ่าที่คอยรับใช้สวีซื่อเจี้ยเห็นดังนั้นก็วิ่งตามไปด้วย
สวีซื่อจุนกลับถูกป้าเถาดึงเอาไว้ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อที่เสื้อกั๊กของเขาพลางพูดอย่างเอ็นดูว่า “นายน้อยของบ่าว ท่านพักผ่อนก่อนเถิด มีบ่าวรับใช้คอยดูว่าวให้อยู่ ไม่เป็นอะไรแน่นอนเจ้าค่ะ” แล้วถามเขาเสียงเบาว่า “คุณชายน้อย เรื่องที่ฮูหยินสี่มอบดอกไม้ ป้าตู้ได้เอาไปพูดกับไท่ฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าเด็กๆ สวีซื่อจุนจึงคิดว่าไท่ฮูหยินไม่รู้เรื่องนี้
“ไม่ได้บอก” สวีซื่อจุนส่ายหน้า พลันนึกได้ว่าป้าเถายืนยันว่าป้าตู้รู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอย่างที่ป้าเถาพูด ท่านย่าก็ไม่ได้พูดอะไร ท่านแม่เรียกข้าไปคุยด้วย ซ้ำยังชมข้าบอกว่าข้าเป็นซื่อจื่อที่ดี...”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” เขาอยากจะเล่าทุกคำพูดของสืออีเหนียงให้ป้าเถาฟัง ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ก็ถูกเสียงหัวเราะของป้าเถาตัดบทสนทนาแล้วพูดขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยสี่ยังเด็ก ยังมีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ ตอนนี้เรื่องในเรือนมีฮูหยินสี่เป็นผู้ควบคุม จะป้าตู้ก็ดีหรือจะเป็นฉาเซียงที่ไท่ฮูหยินมอบให้ก็ดี ต่างก็ต้องไปแบมือขออาหารจากนาง แต่บ่าวไม่เหมือนกัน บ่าวเป็นผู้ติดตามมารดาของท่าน ของกินของใช้ก็เป็นสินเดิมและรางวัลที่มารดาของท่านมอบให้ มีบางคำที่มีเพียงบ่าวเท่านั้นที่สามารถพูดได้ ถ้าหากบ่าวกล้าพูดนะเจ้าคะ”
หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและคลุมเครือ สวีซื่อจุนชะงักไปครู่หนึ่ง
ป้าเถาเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยต้องจำเอาไว้ว่าป้าเถาเป็นคนกล้าหาญและซื่อสัตย์ จะพูดแต่ความจริงกับคุณชายน้อยเท่านั้นนะเจ้าคะ”
สวีซื่อจุนนึกถึงคำสั่งเสียของมารดาที่จากไป ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าด้วยความสับสน
ป้าเถายิ้มแล้วลุกขึ้น พูดขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยไปเล่นเถิด บ่าวต้องกลับแล้ว ได้เวลาจุดธูปบูชาคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
สวีซื่อจุนพยักหน้า ในใจพลันสับสนอลหม่าน ไม่มีกระจิตกระใจมาเล่นอย่างสนุกสนานแล้ว
ฉาเซียงที่ยืนอยู่ข้างนอกศาลามองดูป้าเถาที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป แล้วหันกลับไปมองจุนเกอ
******
วันรุ่งขึ้นไปเข้าเรียน สวีซื่อเจี่ยนมีสีหน้าเบิกบานใจเล่าเรื่องที่เขากับลูกพี่ลูกน้องชายของเขาไปเที่ยวด้านนอกแล้วได้พบกับบัณฑิตหันแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนกำลังเกี้ยวพาราสีคณิกาหญิง อาจารย์จ้าวยิ้มแล้วบอกว่าเขาเป็นคนพูดจาเถรตรง จากนั้นก็สอนสวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุน และสวีซื่อเจี้ย เกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ในตำราปฐมวัย
สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ส่วนสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยกลับฟังด้วยความสับสน
อาจารย์จ้าวถอนหายใจอยู่ในใจ
ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือความเป็นคน หากขัดแย้งกัน ต้นกล้าที่เติบโตเช่นนี้ ผลลัพธ์จะต้องไม่ดีอย่างแน่นอน
หลังจากคิดทบทวนเรื่องนี้แล้วก็ให้บ่าวรับใช้ไปบอกกับหู่พั่วว่า “หลายวันมานี้กำลังสอนตำราปฐมวัย เพียงแต่ว่าคุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้าอายุยังน้อยเกินไป เกรงว่ายากที่จะเข้าใจสาระสำคัญได้”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าสวีซื่อจุนจะเลิกเรียนแล้ว จึงเรียกบรรดาสาวใช้น้อยที่พึ่งเข้าจวนมาทำงานเพื่อมาเล่นเกมหนึ่ง โดยให้พวกนางยืนห่างกันสามถึงสี่ไม้บรรทัดเป็นแถวหน้ากระดาษ หู่พั่วเริ่มกระซิบบางอย่างกับสาวใช้น้อยที่ยืนอยู่คนแรกทางซ้ายมือ จากนั้นก็ให้สาวใช้น้อยกระซิบบอกต่อกับสาวใช้น้อยที่อยู่ถัดจากนาง เมื่อส่งต่อไปจนถึงคนแรกทางขวามือก็ให้นางพูดออกมาเสียงดังว่าได้ยินประโยคอะไร จากนั้นค่อยให้สาวใช้คนแรกทางซ้ายมือพูดออกมาว่าหู่พั่วบอกกับนางว่าอะไร
คำพูดของหู่พั่วถูกบิดเบือนไปจนหมด
บรรดาสาวใช้น้อยรู้สึกไม่สบายใจ แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเลิกเรียนแล้ว
เห็นดังนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้
หู่พั่วยิ้มพลางเล่าให้พวกเขาฟัง
สวีซื่อจุนเบิกตากว้าง “เหตุใดคำพูดถึงได้เปลี่ยนไปเล่า”
สืออีเหนียงกำลังรอคำพูดนี้ของเขาอยู่พอดี ยิ้มแล้วดึงสวีซื่อเจี้ยมากอด “หากไม่เชื่อ จุนเกอก็ลองดูสิ”
สวีซื่อจุนอาสาที่จะยืนอยู่คนแรกทางด้านซ้ายมือ
ผลสุดท้ายเป็นอย่างไรไม่ต้องบอกก็รู้
เขาหัวเราะจนตัวงอ พูดขึ้นมาว่า “เป็นเพราะสาวใช้น้อยเหล่านี้ไม่รู้จักพูด”
สืออีเหนียงยิ้มพลางเรียกหู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นๆ มา ให้ทุกคนเล่นเกมนี้ด้วยกันใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายแล้วคำพูดก็ถูกบิดเบือนเช่นเดิม
หู่พั่วกับลี่ว์อวิ๋นก็ไม่ต่างอะไรกับสาวใช้น้อย พากันหัวเราะจนตัวงอ
สวีซื่อจุนเอามือกุมท้องหัวเราะพลางทิ้งตัวล้มลงในอ้อมแขนของสืออีเหนียง ทำเอาหู่พั่วและคนอื่นๆ ตกใจ รีบไปช่วยพยุงเขาลุกขึ้น “นายน้อยของบ่าว ระวังร่างกายของฮูหยินด้วย เกรงว่าจะรับแรงกระแทกของท่านไม่ไหวเจ้าค่ะ”
เขาเช็ดน้ำตาที่ออกมาเพราะความขบขัน
สืออีเหนียงสอนบรรดาสาวใช้น้อยว่าอย่ายั่วยุให้เกิดการทะเลาะวิวาท อย่าบิดเบือนคำพูดหรือเผยแพร่คำเท็จ
จุนเกอได้ยินเช่นนี้ก็สะดุ้งขึ้นมา รอจนสืออีเหนียงพูดจบ ให้บรรดาสาวใช้น้อยถอยออกไปจดหมด ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้ารู้แล้วว่าที่อาจารย์จ้าวพูดนั้นหมายถึงอะไร คำพูดมักจะถูกบิดเบือน ข่าวลือไม่เคยผ่านการวิเคราะห์”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดังนั้นคนฉลาดจึงไม่รีบเร่งที่จะสรุปในสิ่งที่เขาได้ยิน”
จุนเกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ต่อมาอาจารย์จ้าวได้สอนเรื่องคนสามคนกลายเป็นเสือและเรื่องการให้ร้ายลับหลังผู้อื่น คำพูดของป้าเถาจึงได้ค่อยๆ ถูกลืมไปอย่างช้าๆ
แต่สืออีเหนียงกลับไม่ลืม
เดิมคิดว่าหากนางทำเพราะเรื่องพิธีครบรอบวันจากไปของหยวนเหนียง ตัวเองนั้นก็จะไม่ถือสา แต่นางกลับยั่วยุจุนเกออีก เรื่องนี้จึงทำให้สืออีเหนียงเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
สืออีเหนียงอาศัยโอกาสนี้เรียกหลูหย่งกุ้ยมาในขณะที่สวีลิ่งอี๋ถูกอวี๋อี๋ชิงเชิญไปปรึกษาเรื่องการหมั้นหมายของอวี๋เฉิง
“แม้ว่าเถาเฉิงบุตรชายของป้าเถาจะเป็นผู้ดูแลที่ดินในหมู่บ้าน แต่ว่าก็เป็นผู้ติดตามของพี่หญิงใหญ่เหมือนกับเจ้า พวกเจ้าทั้งสามคนก็คงจะคุ้นเคยและเข้าใจซึ่งกันและกันอยู่บ้างใช่หรือไม่”
ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่สืออีเหนียงได้ให้บ่าวรับใช้คอยติดตามเขาทุกวัน ในใจเขาก็เข้าใจมากขึ้น สืออีเหนียงกำลังบอกใบ้เขาว่าหากชีวิตนี้เขาทำผิดแม้แต่นิดเดียวสืออีเหนียงก็สามารถทำให้เขาเสียชื่อเสียงได้ตลอดเวลา
เขาก้มหน้าเล็กน้อย พูดอย่างนอบน้อมว่า “ข้าน้อยกับเขาไปมาหาสู่กันอยู่บ้างขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาเป็นคนแบบใด”
หลูหย่งกุ้ยไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนที่จะตอบว่า “ที่ดินหมู่บ้านของคุณหนูใหญ่อยู่ในมือเขา ทุกๆ สองสามปีจะมีการทยอยซื้อที่ดินเพิ่ม หลายปีมานี้มีที่ดินเพิ่มจากเดิมประมาณหนึ่งร้อยกว่าหมู่แล้ว บางครั้งในกรณีที่ปีนั้นเกิดภัยพิบัติก็ยังสามารถทำให้คนในหมู่บ้านทานอิ่มได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์ได้ขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “แสดงว่าเขาก็เป็นคนที่มีความสามารถ”
หลูหย่งกุ้ยตอบกลับ “ขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างไม่เร่งรีบ เอ่ยถามเขาอีกว่า “ไม่รู้ว่าเขาชอบทำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
หลูหย่งกุ้ยประหลาดใจ เงยหน้ามองสืออีเหนียง ใครจะไปรู้ว่าจะสบตากับสืออีเหนียงที่กำลังมองมาพอดี เขารีบก้มหัวลงด้วยความตื่นตระหนก “สิ่งที่ชอบทำเป็นพิเศษ…ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งที่ชอบทำเป็นพิเศษขอรับ!”
“คนเราจะไม่มีสิ่งที่ชอบทำเป็นพิเศษได้อย่างไรกัน” สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบปากถ้วยชาวนไปมา “อย่างเช่นพ่อบ้านหลูที่ชอบสะสมเหรียญทองแดง อย่างเช่นข้าที่ชอบชื่นชมดอกไม้ เจ้าไม่ได้บอกว่าทุกๆ สองสามปีเถาเฉิงก็จะซื้อที่ดินเพิ่มไม่ใช่หรือ ไม่แน่สิ่งที่เถาเฉิงชอบทำเป็นพิเศษคือการซื้อที่ดินก็ได้!”
หลูหย่งกุ้ยได้ฟังดังนั้นก็ใจเต้นแรง
สืออีเหนียงยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย เสียงกระทบกันของเครื่องเคลือบดินเผาดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบเป็นครั้งคราว เพิ่มความตึงเครียดให้กับบรรยากาศที่เดิมทีก็ค่อนข้างกดดันอยู่แล้ว
หลูหย่งกุ้ยเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าหากไม่ได้ตามจุดประสงค์สืออีเหนียงไม่ยอมปล่อยไปแน่ สมองของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว
เถาเฉิงก็เป็นเพียงผู้ดูแลตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น การที่สืออีเหนียงสามารถจดจำชื่อเขาได้ ต้องเป็นเพราะป้าเถาแน่นอน
เรื่องในเรือนไม่เคยมีถูกหรือผิด
หลูหย่งกุ้ยนั้นไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
เขาจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องมากนัก ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เถาเฉิงผู้นี้กระทำการอย่างระมัดระวัง หากจะพูดถึงสิ่งที่ชอบทำเป็นพิเศษก็คงจะเป็นนิสัยที่ชอบดื่มสุราอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นคนคออ่อน ดื่มสิบครั้งก็เมาไปแล้วเก้าครั้ง”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อพ่อบ้านหลูเข้าใจเถาเฉิงเช่นนี้ ข้าว่าเรื่องนี้คงต้องขอให้พ่อบ้านหลูช่วยออกหน้าให้ดีกว่า”
หลูหย่งกุ้ยแอบร้องด้วยความขมขื่นอยู่ในใจแต่ก็ไม่มีวิธีปฏิเสธ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีฮูหยินสี่ก็เป็นคุณหนูของสกุลหลัว เดิมทีบ่าวก็เป็นบ่าวรับใช้ของสกุลหลัว พู่กันด้ามเดียวไม่สามารถเขียนอักษรหลัวพร้อมกันสองตัวได้ หากฮูหยินมีเรื่องอันใด บ่าวย่อมช่วยอย่างสุดกำลัง เพียงแต่ว่าบ่าวเป็นคนโง่เขลา มีบางครั้งที่ไม่รอบคอบ ขอให้ฮูหยินสี่โปรดอภัยด้วยขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้นั้นง่ายมาก ในเมื่อเถาเฉิงผู้นั้นชอบสุราแล้วก็ไม่ใช่คนคอแข็ง ข้ากำลังคิดว่าถ้าหากเขาดื่มสุราแล้วไปพูดคุยกับคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องซื้อที่ดิน เขาจะถูกหลอกหรือไม่!” พูดจบนางก็ยิ้มพลางมองหลูหย่งกุ้ย “เรื่องนี้ต้องขอให้พ่อบ้านหลูช่วยสืบให้สักหน่อย เช่นนี้จะได้ไม่ถูกคนอื่นค้นพบ ทำให้ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงสกุลหลัวของพวกเรา”
หลูหย่งกุ้ยสูดลมหายใจเข้าลึก เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮูหยิน บ่าวจะทำให้ดีที่สุดขอรับ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วส่งแขกออกไป
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งเดือน เถาเฉิงก็เข้าจวนมาพบมารดาด้วยความตื่นตระหนก
ป้าเถาดึงไม้ขนไก่ในกระถางมาตีอย่างไม่หยุดมือ
เถาเฉิงเอามือกุมหัวไว้ “ทุ่งข้าวสาลีในที่ดินสามร้อยหมู่เติบโตอย่างดี มีใครบ้างที่ฟังแล้วจะไม่อยากได้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าไอ้หมอนั่นไม่ใช่เจ้าของที่ดิน!”
“เจ้ายังกล้าแก้ตัวอีก!” ตัวเองเลี้ยงมากับมือย่อมรู้ดี “เจ้าดื่มสุราแล้วไปลงนามสัญญาที่ดินใช่หรือไม่”
เถาเฉิงไหนเลยจะกล้ายอมรับ กัดฟัดพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่มีทาง”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตีไปด่าไปก็เปล่าประโยชน์
เมื่อป้าเถาระบายความโกรธแล้ว ก็เดินเข้าไปที่ห้องด้านในพลางถามเถาเฉิงว่า “ขาดเงินอีกเท่าไร” คิดจะช่วยบุตรชายชดใช้ความผิด
เถาเฉิงพูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “สอง…สองพันตำลึง!”
