ป้าเถาแทบจะยืนไม่อยู่ หากไม่ใช่เพราะเถาเฉิงรีบมารับไว้ก็คงล้มหงายหลังไปแล้ว
“ใครกันถึงได้กล้าขนาดนี้!” นางโมโหจนเลือดขึ้นหน้า “กล้าดีอย่างไรถึงได้กล้าใช้แผนนางนกต่อมาต้มตุ๋นเจ้า!”
เถาเฉิงหดตัวลง “เป็นอิงต้าแห่งต้าซิ่ง”
ป้าเถาพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ที่ดินของหยวนเหนียงอยู่ในต้าซิ่ง อิงต้านั้นรับจ้างทำงานทั่วไปอยู่ในต้าซิ่ง มักจะช่วยขุนนางทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นทุกคนในต้าซิ่งจึงได้ไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
“ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ระวัง” เถาเฉิงหงุดหงิดเล็กน้อย “ตอนนั้นข้าเห็นว่าข้าวสาลีสามร้อยหมู่ขายในราคาสองร้อยตำลึง คิดเพียงว่าใต้เท้าเริ่นไปได้มาจากที่ไหนสักแห่งแล้วต้องการจะขายทิ้งเงียบๆ จึงต้องการขายออกไป ใครจะไปรู้ว่าหลังจากสร่างเมาแล้ว จากสองร้อยตำลึงกลับกลายเป็นสองพันตำลึง”
ป้าตู้สีหน้าแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย
ในเมื่ออิงต้าผู้นั้นสามารถช่วยเป็นธุระให้จวนขององค์หญิงฉังหนิงได้ ก็คงจะเคยเห็นโลกมาบ้าง จะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของ การที่เขาหลอกเอาเงินจำนวนมากมาด้วยมือเปล่าเช่นนี้ ไม่กลัวพวกตนทำให้เรื่องมันแย่ไปกันใหญ่จนถึงขั้นไปฟ้องร้องกับศาลว่าการ ทำให้เขาต้องมีปัญหากับศาลว่าการหรือ
นางเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า “เจ้าเห็นอิงต้าหรือไม่”
“ไม่เห็น”
เถาเฉิงพยุงป้าเถามานั่งลงหน้าโต๊ะกลม แล้วรินชาให้นาง “ภรรยาเขาบอกว่าเขาไม่ได้กลับบ้านเจ็ดแปดวันแล้ว” แล้วพูดต่ออีกว่า “ท่านแม่ หลังจากเกิดเรื่องข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” เถาเฉิงพูดเสียงเบาลง“ดังนั้นจึงได้รีบมาหาท่าน ข้าไปทำให้ใครขุ่นเคืองเข้าโดยไม่รู้ตัว? หรือว่า…” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นอย่างครุ่นคิดว่า “หรือว่าจะมีใครต้องการแก้แค้นพวกเรา”
“ยังจะต้องถามอีกหรือ!” ป้าเถาไม่ได้สนใจความคิดของบุตรชาย พูดพึมพำขึ้นว่า “สองพันตำลึง คนทั่วไปคงไม่ทำเช่นนี้” พูดพลางกำชับบุตรชาย “เจ้าไปดูว่าหลูหย่งกุ้ยอยู่ที่เรือนหรือไม่ เขามักจะออกเดินทางไปทั่ว ทำให้รู้เรื่องเยอะแยะมากมาย ไม่แน่อาจจะสืบได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
หากไม่ใช่คนนอก เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนในอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็กัดฟันกรอด
เถาเฉิงลังเลเล็กน้อย “หลูหย่งกุ้ยผู้นี้พูดด้วยยากนัก…”
“เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลที่ดินธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับมีคนใช้ความพยายามอย่างมากที่จะขอให้อิงต้าออกหน้ามาหลอกลวงเจ้า ไม่แน่อาจจะพุ่งเป้ามาที่ซื่อจื่อก็ได้” ป้าเถายิ้มอย่างเยือกเย็น “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัวเรา เขาไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้”
เถาเฉิงพยักหน้าแล้วไปที่เรือนทิศตะวันตกที่หลูหย่งกุ้ยอาศัยอยู่
บรรดาสตรีกำลังแกะเมล็ดแตงโมพลางพูดคุยกันอยู่ที่ลาน หนึ่งในนั้นใส่ต่างหูใบหลิ่วสีทองคู่หนึ่ง มองมาที่เถาเฉิงด้วยรอยยิ้มพลางเดินมาต้อนรับ “นี่คือท่านลุงสกุลเถาไม่ใช่หรือ ลมอะไรพัดท่านมาที่นี่วันนี้ได้”
เถาเฉิงจ้องมองดูก็พบว่าเป็นภรรยาของหยางฮุยจู่
เขายิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามาหาพ่อบ้านหลู ฮุยจู่อยู่ที่เรือนหรือไม่”
“อยู่ อยู่ อยู่” สะใภ้หยางฮุยจู่รีบตอบ “พึ่งจะกลับมาจากคลัง อยู่ที่เรือนพอดีเจ้าค่ะ” แล้วพูดต่ออีกว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง ท่านอาหลูออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ ท่านมานั่งที่เรือนของพวกเราก่อนดีหรือไม่” ขณะที่พูดก็เดินไปที่ห้องปีกเรือนตัวเองพลางพูดเสียงดังว่า “ท่านพี่ ท่านลุงสกุลเถาผู้ดูแลที่ดินมา!”
หยางฮุยจู่รีบวิ่งเหยียบส้นรองเท้าออกมา “นานๆ ทีท่านจะมา!” แล้วพาเขาเข้ามานั่งในห้อง “เข้ามาดื่มชาก่อนเถิด”
เถาเฉิงอยากจะสอบถามว่าหลูหย่งกุ้ยไปไหนอยู่พอดี จึงยิ้มพลางเดินเข้าไปในห้อง
สะใภ้หยางฮุยจู่ยกชามาวาง
น้ำชาสีเขียว ใบชาคลี่ตัวออก กลิ่นชาหอมตลบอบอวลไปทั่ว ที่แท้ก็เป็นชาปี้หลัวชุนชั้นดี
เถาเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กน้อย ใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลย!”
สะใภ้หยางฮุยจู่ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มตาหยี พูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจเล็กน้อยว่า “สู้ท่านลุงเถาได้ที่ไหนกัน…”
หยางฮุยจู่รู้ว่าภรรยาของตัวเองเป็นคนไม่รู้จักการเข้าสังคม จึงขมวดคิ้วพลางบอกให้นางออกไป “…ยังไม่รีบไปทำอาหารอีก แล้วก็เอาสุรามาให้ข้ากับพี่ใหญ่เถาด้วย”
สะใภ้หยางฮุยจู่ยิ้มพลางไปที่ห้องครัว
เถาเฉิงพูดถึงจุดประสงค์ที่มา “…รู้หรือไม่ว่าไปไหน แล้วจะกลับมาเมื่อไร”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ” หยางฮุยจู่ยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ดูเหมือนว่าฮูหยินสี่จะมอบหมายงานบางอย่างให้เขาทำ ทุกวันเขาออกไปแต่เช้า กระทั่งดึกดื่นถึงจะกลับมา” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ส่งเสียงร้องเหมือนนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้ก็ยังไปที่ต้าซิ่งด้วย ทำไมหรือ เขาไม่ได้ไปหาพี่ใหญ่เถาหรือ”
เถาเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นแรง นึกถึงตอนที่ตัวเองไปหาอิงต้าแล้วภรรยาของเขาบอกว่า ‘ผู้ดูแลเถา เดิมทีท่านกับสามีข้าก็คุ้นเคยกันดี สามีข้าเป็นคนอย่างไรท่านก็รู้ดีที่สุด ตอนนี้เขาได้รับเงินก้อนใหญ่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปมีความสุขอยู่ที่ไหนแล้ว ต่อให้หาคนเจอ แต่เกรงว่าคงจะเอาเงินกลับคืนมาไม่ได้แล้ว ข้าว่าท่านกลับเมืองหลวงไปคิดหาวิธีดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นผู้ดูแลของซื่อจื่อ มารดาของท่านก็เป็นถึงแม่นมของมารดาของซื่อจื่อ ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าการมาตามหาคนอย่างไม่มีทิศทางเช่นนี้’
ตอนนั้นเขาคิดว่าภรรยาของอิงต้าให้เขาไปหาที่พึ่ง ตอนนี้ดูแล้วบางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดไปเอง
เถาเฉิงไหนเลยจะยังนั่งเฉยอยู่ได้ พูดคุยเพียงสองสามประโยคก่อนจะลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
หยางฮุยจู่ไปเคาะประตูเรือนของหลูหย่งกุ้ย
คนที่มาเปิดประตูก็คือหลูหย่งกุ้ยเอง
“หากเป็นอย่างที่เจ้าบอก” ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้อง หยางฮุยจู่พูดขึ้นมาว่า “แล้วถ้าหากเถาเฉิงอาละวาดขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า” ท่าทางกังวลเป็นอย่างมาก “เขายิ่งไม่ใช่คนอดทนอดกลั้นอยู่ด้วย”
“วางใจเถิด” หลูหย่งกุ้ยสีหน้าเรียบเฉย “ป้าเถาเป็นคนฉลาด ไม่ปล่อยให้เขาอาละวาดแน่นอน อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐาน ต่อให้มีหลักฐาน ท่านโหวก็จะเห็นแก่หน้าฮูหยิน ไม่มีทางให้ป้าเถาอาละวาดได้ เรื่องนี้ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าป้าเถาแล้ว ต่อให้นางรู้ก็คงทำได้เพียงกัดฟันแล้วกลืนเลือดลงคอ”
“เช่นนี้ก็ดี” หยางฮุยจู่ถอนหายใจเบาๆ “รีบหามีดมาตัดปัญหาวุ่นวายนี้ ให้เรื่องนี้จบลงเร็วๆ พวกเขาจะได้ไม่ต้องตอบโต้กันไปมา จนต้องลากทุกคนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
หลูหย่งกุ้ยนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของสืออีเหนียง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตัวถึงเริ่มสั่นเทาเบาๆ
******
เถาเฉิงรอป้าเถาอยู่ที่ห้องปีกอยู่ครู่หนึ่งกว่าป้าเถาจะมา
เห็นมารดาของตนเดินมาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง จึงถามด้วยความตกใจ “ท่านแม่เป็นอะไรไปขอรับ”
ป้าเถาไม่ตอบ เพียงถามเขากลับว่า “เป็นอย่างไรบ้าง หลูหย่งกุ้ยอยู่ที่เรือนหรือไม่” จากนั้นก็ไม่ได้รอให้เถาเฉิงตอบ พูดอย่างเย็นชาว่า “เมื่อครู่ข้าไปสืบมา ครึ่งเดือนมานี้หลูหย่งกุ้ยเข้าจวนมาพบฮูหยินสี่ทุกๆ สองถึงสามวัน” ขณะที่พูดดวงตาของนางก็ยิ่งเย็นยะเยือก “เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน!”
เถาเฉิงคิดไม่ถึงว่ามารดาจะสืบข่าวได้เร็วขนาดนี้ จึงรีบเล่าเรื่องที่ตัวเองไปที่เรือนฝั่งตะวันตกเมื่อครู่ให้ฟัง
เรื่องราวต่างๆ ล้วนชัดเจนแล้ว
“เช่นนั้น เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี” เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสืออีเหนียง เขารู้สึกว่ามันยุ่งยากเป็นอย่างมาก “นางกับท่านโหวสองสามีภรรยา พออยู่ด้วยกันแล้วเรื่องบุญคุณความแค้นทั้งหมดก็จางหายไป มิเช่นนั้นแล้วตอนนั้นคุณหนูใหญ่จะกลัวภรรยาเอกคนถัดไปได้อย่างไร!
ป้าเถาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไป ไปพบหลูหย่งกุ้ยกัน!”
“หยางฮุยจู่บอกว่าหลูหย่งกุ้ยไม่อยู่เรือน” ขณะที่เถาเฉิงกำลังพูด ป้าเถาก็เปิดม่านเดินออกไปแล้ว
เขาจึงทำได้เพียงรีบตามไปที่เรือนซีฉวิ๋นที่หลูหย่งกุ้ยกับหยางฮุยจู่พักอาศัยอยู่
******
ป้าเถาออกแรงผลักจนประตูเปิดออก
นางประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหลูหย่งกุ้ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะ
แสงอาทิตย์ส่องกระทบลงบนใบหน้าของเขา สีหน้าดูคลุมเครือ
ป้าเถายืนอยู่หน้าประตู
“เจ้าได้ผลประโยชน์อะไร” นางจ้องมองหลูหย่งกุ้ย ท่าทางดุดันเล็กน้อย “เจ้าอย่าลืมไปว่าหากไม่มีซื่อจื่อแล้วเจ้าก็ไม่มีวันได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“ใช่ ไม่มีซื่อจื่อแล้วข้าก็เป็นอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” น้ำเสียงของหลูหย่งกุ้ยสงบนิ่ง “ดังนั้นข้าจึงอยากเกลี้ยกล่อมให้ท่านกับพี่ใหญ่เถากลับไปอยู่ที่หมู่บ้าน เช่นนี้ก็จะดีทั้งกับท่านและดีกับซื่อจื่อเช่นกัน!”
ป้าเถามองหลูหย่งกุ้ยแล้วสบถออกมา “ถุย! พวกคนชั้นต่ำ! เจ้าอย่าลืมว่าตอนนั้นหากไม่มีคุณหนูใหญ่ จะมีเจ้าในวันนี้ได้อย่างไร…”
หลูหย่งกุ้ยมองป้าเถาที่เต็มไปด้วยความโกรธ แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย “ป้าเถา ตอนนั้นคุณหนูใหญ่บอกข้าว่าให้ข้าจัดการกิจการของซื่อจื่อให้ดี พอซื่อจื่อโตขึ้นแล้วก็ให้ส่งมอบให้เขาทั้งหมด ข้าไม่เคยลืม คุณหนูใหญ่กำชับให้ท่านดูแลซื่อจื่อให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคอยอยู่ข้างๆ เขา ไม่รู้ว่าท่านจะยังจำได้หรือไม่”
ป้าเถาชะงักไป
หลูหย่งกุ้ยค่อยๆ ปิดประตูเบาๆ “ป้าเถา พวกเราเลือกเดินเส้นทางไม่เหมือนกัน ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้”
มองไปยังประตูที่ถูกปิด ผ่านไปสักพักใหญ่ป้าเถาก็ยังไม่ได้สติกลับมา
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เถาเฉิงที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนก่อปัญหาใหญ่ครั้งนี้จึงพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านแม่ จะทำอย่างไรดี สองพันตำลึง พวกเราจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ฮูหยินสี่จับตาดูอยู่ตลอด ไม่มีทางให้เวลาพวกเราไปหาเงินอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นหากไม่สามารถอธิบายได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่ศักดิ์ศรีที่ท่านแม่สะสมมาทั้งชีวิตจะถูกทำลายนั้นเป็นเรื่องใหญ่…”
ขณะที่ป้าเถากำลังฟังก็นึกถึงสืออีเหนียงขึ้นมา
เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้เอาไว้ชัดๆหากไม่ใช่นาง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้อย่างไร
ป้าเถาพลันรู้สึกเมื่อยล้าไปหมดทั้งตัว อดบ่นบุตรชายไม่ได้ “เจ้าพึ่งมาระวังอะไรตอนนี้ ทำไมตอนนั้นถึงไม่หัดใช้สมองให้มากหน่อย วันๆ เอาแต่ไปสำมะเลเทเมากับคนพวกนั้น!”
เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ ไม่เพียงตัวเองที่กลายเป็นปลาที่ถูกแล่ แม้แต่จุนเกอที่ดูแลอยู่ก็…ในใจนางรู้สึกเหมือนกำลังโดนมีดกรีดแทงก็ไม่ปาน
เถาเฉิงเห็นมารดาของตัวเองน้ำตาคลอ คิดว่านางกำลังเป็นห่วงตัวเองจึงรีบเอ่ยปลอบใจป้าเถา “ท่านแม่ พวกเราไปบอกกับนายท่านใหญ่โดยตรงดีหรือไม่ จะฆ่าจะแกงข้าก็ยอมรับทั้งสิ้น ไม่แน่ว่านายท่านใหญ่อาจจะเห็นแก่ความขยันหมั่นเพียรของพวกเราในหลายปีมานี้แล้วคิดเพียงแค่ไล่พวกเราออกไปก็จบเรื่อง!”
“ไล่ออกไป!” นัยน์ตาป้าเถามืดมน “เช่นนั้นก็ต้องรอให้นายท่านใหญ่ออกเดินทางจากอวี๋หังมาถึงเยี่ยนจิงเสียก่อน!”
นี่ก็ไม่ได้! นั่นก็ไม่ได้! สรุปแล้วต้องทำอย่างไรกันแน่
ความรับผิดชอบนี้ใครก็หลีกเลี่ยงได้ แต่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว เถาเฉิงก็นึกถึงข้าวของเครื่องใช้ในเรือนของหยวนเหนียง สายตาอดมองไปที่เรือนที่หยวนเหนียงเคยอาศัยอยู่ไม่ได้
“ท่านแม่” เขาดึงชายเสื้อของมารดา “ท่านให้ข้ายืมสิ่งของเครื่องใช้ในเรือนของคุณหนูใหญ่ก่อนดีหรือไม่…”
“เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!” ป้าเถาพูดขัดความคิดอันโง่เขลาของบุตรชาย “สิ่งของเหล่านั้นเป็นของซื่อจื่อ ล้วนถูกจดบันทึกเอาไว้ในสมุดบัญชีสามารถตรวจสอบได้”
เถาเฉิงเบะปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรอีก
ตนรู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าท่านแม่จะเจอเรื่องอันใดก็จะนึกถึงจุนเกอเป็นคนแรก…
ป้าเถามองดูเงาคนที่กำลังแอบดูอยู่ด้านหลังหน้าต่างไม้แกะสลัก สีหน้าก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้นกว่าเดิม “พวกเรากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่ามายืนเป็นตัวตลกให้คนอื่นเขาหัวเราะเอา”
เถาเฉิงตอบเพียง “ขอรับ” แล้วรีบพยุงมารดากลับห้อง
ป้าเถากำชับบุตรชายเสียงเบาว่า “เจ้ากลับไปก่อน ของในเรือนอันไหนขายได้ก็ขายไป หาได้เท่าไรก็เท่านั้น พวกเราต้องคิดหาวิธีปิดรอยรั่วก่อนที่นางจะลงมือโจมตี เท่านี้นางก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
