แม้ว่าสีหน้าของเถาเฉิงจะดูย่ำแย่ แต่ก็ยังตอบรับเสียงเบา “ขอรับ” แล้วไปหาเงินตามคำสั่งของมารดาอย่างเชื่อฟัง
หลังจากนั้นสาวใช้น้อยก็เข้ามารายงาน “ป้าเถา พี่หู่พั่วมาเจ้าค่ะ บอกว่าฮูหยินต้องการพบท่าน”
เคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้เลยหรือ!
มุมปากของป้าเถายกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มดูหมิ่นอันเยือกเย็น
ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหลัวสืออีเหนียงจะทำอะไรข้าได้
หากเกิดเรื่องกับผู้ติดตามของสกุลหลัว ไม่ได้ขายหน้าเพียงแค่ผู้ติดตาม หย่งผิงโหวฮูหยินอย่างเจ้าที่เกิดในสกุลหลัวจะยังมีหน้ามีตาได้อย่างนั้นหรือ
นางทำผมใหม่ ปักดอกทับทิมสีแดงที่มวยผม เปลี่ยนเป็นเสื้อกั๊กยาวผ้าไหมหังโจวสีเขียวนกแก้ว จากนั้นก็ไปหาสืออีเหนียง
“ได้ยินว่าผู้ดูแลเถารีบกลับมาจากต้าซิ่ง คาดว่าท่านคงรู้เรื่องที่เขาแอบยักยอกเงินส่วนกลางสองพันตำลึงแล้วใช่หรือไม่”
ความตรงไปตรงมาของนางทำเอาป้าเถาประหลาดใจเป็นอย่างมาก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินไปได้ยินใครพูดมา ที่เถาเฉิงเข้าเมืองหลวงก็เพียงเพราะการไถพรวนดินในฤดูใบไม้ผลิได้สิ้นสุดลงแล้ว ยังไม่ได้เริ่มการเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน จึงมาเยี่ยมเยียนข้าและเยี่ยมสหายเก่าที่เคยเติบโตมาด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องการยักยอกเงินส่วนกลางสองพันตำลึงแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี!” สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “เดิมทีข้าคิดว่าหากมีเรื่องนี้จริง เพื่อหน้าตาของสกุลหลัวและเพื่อหน้าตาของจุนเกอแล้วคงจะต้องปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ในเมื่อไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” พูดจบก็ให้ป้าเถาออกไป
จบแล้วหรือ
ป้าเถารู้สึกงุนงง
ใช้ความพยายามตั้งมากมาย พูดเพียงไม่กี่ประโยคก็จบแล้วหรือ
ไม่ว่าใครก็ตาม เกรงว่าคงไม่ปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปแน่นอน!
แต่เมื่อเห็นว่าหู่พั่วพยุงสืออีเหนียงไปที่ห้องด้านในแล้ว ป้าเถาก็ถอยออกไป
กลับมาถึงห้องด้วยความไม่สบายใจ พึ่งจะนั่งลงผ้าม่านก็ถูกเปิดออก สาวใช้น้อยที่คอยปรนนิบัติรับใช้นางเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน
“ป้าเถา แย่แล้วเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของนางซีดเซียว “คนเฝ้าประตูข้างลอบมาบอกข้าว่าผู้ดูแลเถาถูกคนของทางการพาตัวไปแล้ว ให้ท่านรีบไปดู!”
ป้าเถาสีหน้าซีดเผือด สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด
หลัวสืออีเหนียงผู้นี้ แม้แต่ศักดิ์ศรีก็ไม่ต้องการแล้วกระมัง!
นางรีบไปที่ประตูหลัง
คนที่เฝ้าประตูเป็นหญิงเฒ่าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางมานานแล้ว เมื่อเห็นนางก็รีบเข้ามาจับมือ “เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จะจับคนก็ต้องมาจับประตูข้างเรือนเรา เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้แต่คนคุ้มกันในเรือนก็ไม่กล้าขวางไว้”
“ได้บอกหรือไม่ว่าพาตัวไปที่ใด” ป้าเถาไม่สนใจท่าทางตกใจของนาง รีบถามด้วยความกังวลใจ
“บอกว่าเป็นศาลว่าการ”
ป้าเถาเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็เร่งรุดไปหาพ่อบ้านไป๋
“ท่านมาได้เวลาพอดีเลย” นางยังไม่ทันได้พูดอะไร พ่อบ้านไป๋ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “คนของศาลว่าการนำจดหมายทางการมา บอกว่าเถาเฉิงถูกฟ้องร้องเรื่องยักยอกเงินของเจ้านาย ต้องพาตัวไปที่ศาลว่าการชั่วคราว” ขณะที่กำลังพูด ใบหน้าของเขานั้นแฝงไว้ด้วยความโกรธเล็กน้อย “จะจับคนก็มาจับถึงหน้าประตูจวนของพวกเรา แต่ไหนแต่ไรมาก็ยังไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ ได้ยินมาว่าเขามาพบป้าเถานานแล้ว ป้าเถาเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ในจวน เรื่องเช่นนี้คงไม่อยากจะปรึกษากับข้า แต่ก็ต้องบอกกับฮูหยินบ้าง ให้พวกเราได้เตรียมพร้อม แต่ท่านกลับไม่พูดอะไรเลย ให้คนที่ศาลว่าการมาเหยียบจมูกพวกเราถึงหน้าจวน ป้าเถา ข้าว่าท่านรีบบอกกับฮูหยินเถิด ให้ฮูหยินเขียนข้อความส่งไปให้ฝ่ายรายงาน ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก พอเป็นเรื่องเล็กแล้วก็จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยเถิด!” พูดจบก็ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนฟ้อง บอกแต่ว่าตัวเองจะต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานกับท่านโหวแล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที
นังคนสถุลต่ำทรามผู้นี้ ถึงขนาดวางแผนยืมมือท่านโหวเข้ามาเกี่ยว
ช่างหน้าเนื้อใจเสือยิ่งนัก!
ป้าเถาด่าทอสืออีเหนียงอยู่ในใจพลางมุ่งหน้าไปยังเรือนในด้วยความลนลาน
นายท่านใหญ่ก็อยู่ที่อวี๋หัง คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที จะไปขอร้องใครดีเล่า
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดหาวิธี ระหว่างทางก็ได้พบกับหยางฮุยจู่
“ป้าเถา ข้ากำลังตามหาท่านอยู่พอดี” เขาพาป้าเถามาคุยอยู่ใต้ต้นการบูรในซอกหลืบ “ข้าได้ยินมาว่าพี่ใหญ่เถายักยอกเงินส่วนกลางสองพันตำลึงจึงถูกศาลว่าการเอาตัวไป หากเป็นคนอื่นข้าไม่กล้าถาม ทำไมถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้กับพี่ใหญ่เถากัน”
ตั้งแต่ที่หยางฮุยจู่ไปทำงานที่เรือนนอก ป้าเถาก็ไม่รู้การเคลื่อนไหวและเส้นสายของเขา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ป้าเถาจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ฮูยจู่ เจ้ารีบไปสืบให้ข้าทีว่าใครเป็นคนฟ้องร้องเถาเฉิง”
หยางฮุยจู่รับคำแล้วจากไป
ป้าเถากลับมาที่เรือนแล้วจ้องมองไปที่เรือนหลักของหยวนเหนียง สีหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว
หากสืออีเหนียงไม่ได้กังวลเรื่องนี้ก็คงส่งคนมาไล่ตนนานแล้ว แต่ที่นางอ้อมค้อมเช่นนี้ก็เพียงอยากจะให้ตัวเองเป็นคนขอลาออกเอง ตอนนี้ก็เหมือนคนสองคนกำลังดึงเชือก เจ้าดึงไปทางตะวันออก ข้าดึงไปทางตะวันตก ส่วนเถาเฉิงคือคนที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ขอเพียงแค่ตนดึงเชือกไว้แน่น สืออีเหนียงก็ไม่มีทางปล่อยมือ เถาเฉิงก็จะไม่ตกน้ำแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็กัดฟัน กลับไปที่ห้องแล้วเริ่มเก็บของใส่หีบ เก็บของที่หยวนเหนียงมอบให้ในตอนนั้นจนหมด ในใจลองคำนวณดู คาดว่าคงจะได้ครึ่งหนึ่งของราคาเดิมและเพียงพอสำหรับเงินสองพันตำลึง ในใจจึงได้สงบลงเล็กน้อย
ตอนกลางคืนหยางฮุยจู่ก็มาหา
สีหน้าเขาดูย่ำแย่ “ป้าเถา คนของศาลว่าการบอกว่าอิงต้าที่อยู่ต้าซิ่งฆ่าคนตาย เมื่อค้นตัวก็พบทองคำก้อนใหญ่ สงสัยว่าจะเป็นการจ้างวานให้ฆ่า แล้วยังพบเงินที่ได้รับจากพี่ใหญ่เถา…”
ไม่รอให้หยางฮุยจู่พูดจบ ป้าเถาก็อ่อนแรงล้มลงบนเก้าอี้ไท่ซือ
วางแผนมาซะดิบดี สืออีเหนียงไม่เพียงต้องการให้ตัวเองหมดหนทาง ซ้ำยังต้องการทำให้บุตรชายของตนต้องแบกรับข้อหานี้ด้วย
“ป้าเถา ข้าว่าเรื่องนี้มีปริศนาอยู่เต็มไปหมด” หยางฮุยจู่ถามนางว่า “ท่านลองคิดดูสิว่าพี่ใหญ่เถาไปทำให้ใครขุ่นเคืองหรือไม่”
ป้าเถาส่ายหน้า ไม่อยากคุยเรื่องนี้กับหยางฮุยจู่
ตอนนี้เขาเป็นผู้ดูแลของจวนสกุลสวี ของกินของใช้ก็เป็นของจวนสกุลสวี ต่อให้รู้เรื่องนี้ เกรงว่าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
“ฮุยจู่ ขอบใจเจ้ามาก” นางพูดอย่างหมดแรงว่า “เจ้าทำให้ข้าคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูว่าพี่ใหญ่เถาของเจ้าไปทำให้ใครขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่!” พูดพลางเดินไปส่งหยางฮุยจู่ด้วยตัวเอง
“ป้าเถา เรื่องนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ ท่านต้องรีบคิดหาวิธีจึงจะถูก!” เขาทั้งถอนหายใจทั้งเป็นกังวล มุ่งหน้าเดินออกไปพลางพูดกับป้าเถา “ถ้าหากมีคนตำหนิว่าท่านสอนบุตรได้ไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าจะส่งผลกระทบถึงท่านด้วย!” ใช่แล้ว เพียงแค่เถาเฉิงถูกฟ้องร้อง สืออีเหนียงก็จะสามารถอาศัยเหตุผลที่ว่านางสอนบุตรได้ไม่ดี ขาดคุณธรรมเพื่อไล่นางกับเถาเฉิงออกจากจวน…นี่จึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของสืออีเหนียง ที่เรียกนางไปคุยด้วยก็เป็นเพียงการทำให้นางไขว้เขว
หยดเหงื่อเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองผุดขึ้นเต็มหน้าผากของนาง
“ป้าเถา ท่านเป็นอะไรไป!” แววตาของหยางฮุยจู่เผยให้เห็นความเห็นอกเห็นใจ รีบพยุงป้าเถาที่กำลังโซเซไร้เรี่ยวแรง “เวลานี้ท่านจะล้มลงไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นเรื่องของพี่เถาก็จะจัดการไม่ทันแล้ว”
คำพูดของหยางฮุยจู่เหมือนกับน้ำเย็นในฤดูหนาวที่ทำให้ป้าเถาตื่นขึ้นด้วยความหนาวเหน็บ
ใช่แล้ว เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหยุดเรื่องต่างๆ
นางบอกหยางฮุยจู่ว่า “ข้าไม่เป็นอะไร” ให้หยางฮุยจู่ออกไป เดินวนอยู่ในห้องคนเดียวด้วยความไม่สบายใจอยู่นาน จนกระทั่งมีสาวใช้น้อยเข้ามาบอกให้นางรีบไปพักผ่อน นางจึงได้สงบลง
หรือว่าจะต้องจากไปเช่นนี้จริงๆ
ป้าเถามองไปที่ห้องที่ตัวเองอาศัยอยู่มาสิบกว่าปี นึกถึงรอยยิ้มไร้เดียงสาของจุนเกอ ทันใดนั้นน้ำตาก็รินไหลออกมาราวกับสายฝน ไม่รู้ว่าควรจะด่าที่บุตรชายไม่เอาไหน หรือจะด่าตัวเองที่ดูถูกสืออีเหนียงเกินไปจนทำให้ประมาท…
หลังจากที่ร้องไห้ออกมา อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง
ไม่ไปก็คงไม่ได้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะไปด้วยวิธีใด
นางนั่งลงบนเตียงเงียบๆ มองดูแสงไฟในห้องที่สว่างไสว จากนั้นก็เรียกสาวใช้น้อยเข้ามาช่วยตัวเองทำผมแต่งตัว แล้วไปยืนรอตรงทางเดินไปเรียนของสวีซื่อจุน
ในตอนเช้ามีหมอกบางๆ นกพากันร้องส่งเสียงราวกับร้องเพลงก็ไม่ปาน สวีซื่อจุนสวมชุดผ้าไหมหังโจวสีฟ้า ถือกระเป๋าใส่หนังสือสีแดง เดินมาพลางพูดคุยหยอกล้อกับสวีซื่อเจี้ย
“ป้าเถา!” เมื่อเห็นนาง รอยยิ้มของสวีซื่อจุนก็ร่าเริงสดใสยิ่งกว่าเดิม เขารีบเดินเข้ามาหา มองมาที่นางด้วยใบหน้าที่สง่างามเหมือนหยวนเหนียง “มาทำอะไรที่นี่หรือ”
ภาพเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ปรากฏขึ้นในหัวของป้าเถา ฉับพลันนางก็น้ำตาไหล
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” ป้าเถากอดสวีซื่อจุนไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวังราวกับสมบัติล้ำค่า พูดเสียงเบาว่า “ป้าเถาแค่อยากมาดูหน้าท่านเจ้าค่ะ” หางตากวาดไปเห็นรองเท้าสีเขียวปักลายดอกบ๊วย
นี่คือสีที่สืออีเหนียงมักจะชอบใช้
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสาวใช้น้อยที่ชื่อว่าสี่เอ๋อร์ กำลังมองมาที่นางด้วยความระแวดระวัง
ไม่รู้ว่าเหตุใดป้าเถาจึงได้รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกว่าจุนเกอกำลังผลักตัวเองออกเบาๆ
“ป้าเถา วันนี้ข้าทานโจ๊กไปหนึ่งถ้วย ท่านแม่บอกว่าวันนี้ข้าทานได้ดี ตอนกลางวันเลยจะทำน้ำแกงหน่อไม้ที่ข้าชอบทานให้” สวีซื่อจุนหัวเราะแล้วพูดว่า “ป้าเถาไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าสบายดี!” แล้วพูดต่อว่า “ท่านรีบกลับไปเถิด ข้าต้องไปเรียนแล้ว หากไปสายอาจารย์จ้าวจะไม่พอใจได้”
ป้าเถาพยักหน้าทั้งน้ำตา ยืนมองสวีซื่อจุนค่อยๆ เดินห่างออกไป ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ว่า หากสืออีเหนียงคิดจะทำร้ายจุนเกอก็มีโอกาสเยอะแยะไป…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว หัวใจแข็งกระด้างของนางก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับใยแมงมุมก็ไม่ปาน
นางไปหาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพึ่งจะอาเจียนออกมา มีหู่พั่วคอยป้อนนางทานผลอิงเถา
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางทานติดต่อกันได้ถึงเจ็ดแปดลูกก็ยิ้มพลางกำชับลี่ว์อวิ๋นว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้านไป๋ นับวันดูแล้ว ลูกท้อขาวที่เป็นเครื่องราชบรรณาการควรจะมาถึงกระทรวงแล้ว ให้เขาไปนำมาหนึ่งเข่ง” จากนั้นก็จับจ้องไปยังสืออีเหนียง “เจ้าจะได้ทานตอนสดใหม่”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรีบดึงแขนเสื้อสวีลิ่งอี๋ “อาการครรภ์ของข้าไม่ดีคงไม่อาจทานลูกท้อได้”
สวีลิ่งอี๋ไม่เชื่อนาง “เจ้ากลัวข้าจะยุ่งยากใช่หรือไม่”
“จริงๆ นะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดเสียงออดอ้อนว่า “ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองถามป้าเถียนกับป้าวั่นดูสิ”
ป้าเถียนกำลังสั่งให้บรรดาสาวใช้น้อยจัดวางต้นไม้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันไปย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋ ยิ้มแล้วพูดว่า “คนมีครรภ์อย่าทานลูกท้อจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋จึงไม่ได้เซ้าซี้ต่อ ยิ้มพลางดันจานผลอิงเถาที่อยู่บนโต๊ะไปทางสืออีเหนียง
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ท่านโหว ฮูหยิน ป้าเถาขอพบเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงนั่งตัวตรงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เชิญนางเข้ามา!”
