ฮูหยินสองคิดได้รอบคอบจริงๆ แต่สืออีเหนียงยังคงกังวลปฏิกิริยาหลังจากที่สวีซื่ออวี้รู้เรื่อง
ไม่ว่าอย่างไร สวีซื่ออวี้ก็เป็นแค่เด็กอายุสิบสี่ปี ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมารดาแท้ๆ ของเขา
นางตอบอย่างคลุมเครือ “รอท่านโหวกลับมา ข้าค่อยบอกท่านโหวดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองเห็นนางพูดจาส่งๆ ก็ยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ก็จริง ปรึกษากับท่านโหวไม่ผิดพลาดแน่นอน!”
ในขณะที่นางกำลังพูด ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินสี่เจ้าคะ คุณหนูใหญ่ คุณชายน้อยใหญ่ คุณชายน้อยสามและคุณชายน้อยห้ามาเยี่ยมคุณชายน้อยสี่เจ้าค่ะ!”
ตอนเช้าบอกพวกเด็กๆ ว่าสวีซื่อจุนไม่สบาย สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนรู้ความรออยู่ที่ลานข้างนอก ถึงแม้ว่าสวีซื่อเจี้ยจะอยู่ที่ลานข้างใน แต่เขายังเด็กยังไม่รู้ความ บวกกับการที่สวีซื่อจุนร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาสามคนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ว่าสวีซื่อจุนสนิทสนมกับสวีซื่อเจี้ยมาตลอด ปกติอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้สวีซื่อจุนไม่สบาย เขาถึงได้รู้สึกเหงา
“ท่านแม่ เมื่อไรพี่สี่จะหายขอรับ!”
สืออีเหนียงกลัวว่าพวกเขาจะจับได้จึงพาพวกเขาไปดูสวีซื่อจุนครู่หนึ่งจากนั้นก็พาพวกเขาออกมา เห็นว่าสายตาของสวีซื่อเจี้ยมีความเป็นห่วงเป็นใย ก็ยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ “ท่านย่า ท่านป้าสอง แล้วยังมีท่านแม่ดูแลจุนเกออยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวจุนเกอก็ดีขึ้น!”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า พูดอย่างรู้ความ “ท่านแม่ ข้าไม่รบกวนท่านแม่ดีกว่า ข้าจะไปนอนกับป้าหนานอย่างรู้ความขอรับ”
สืออีเหนียงกอดเขา
สวีซื่อเจี้ยหัวเราะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข
ฮูหยินสองอดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่ปริปากพูดจา แต่ตอนกลับไปนางกลับจับมือสวีซื่อเจี้ยแน่น
สืออีเหนียงส่งพวกเขาออกไป “อีกสักสองสามวันหากจุนเกอหายดีแล้ว พวกเจ้าคอยมาหาเขา”
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนยิ้มแล้วตอบรับ สวีซื่อฉินยังพูดว่า “ท่านป้าสี่ ไม่ต้องเป็นห้วงน้องห้าขอรับ ข้ากับน้องสามจะดูแลเขาเป็นอย่างดี”
“พวกเจ้ารักสามัคคีกัน ข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูพวกเขาออกไป
มีรถลากวิ่งเข้ามา วิ่งผ่านสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนสองพี่น้องที่กำลังเดินออกไป
สวีซื่อฉินอดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง เขาเห็นแม่นมของสวีซื่อจุนเดินลงมาจากรถม้าที่มีป้ารับใช้วางบันไดไว้ให้
“ฮูหยินสี่เจ้าคะ” นางตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางร้องไห้มาอย่างหนัก “คุณชายน้อยสี่เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
ทานน้ำนมของนางตั้งแต่ห่ออยู่ในผ้าอ้อมจนถึงพูดเป็น เดินได้ จะไม่มีความผูกพันได้อย่างไรกัน
“ไม่เป็นอะไร” นางยืนอยู่หน้าประตูลานของไท่ฮูหยิน มีสาวใช้และท่านป้าเดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียง “ให้เจ้ามาช่วยดูแลเขาสองสามวัน”
แม่นมถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในกับสืออีเหนียง
เมื่อเห็นสวีซื่อจุน หัวใจที่พึ่งจะสงบของแม่นมก็กระเด้งขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง นางกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ฮูหยินสองคิดว่าแม่นมส่งเสียงดังมากเกินไปจึงขมวดคิ้ว สืออีเหนียงก็กลัวว่าสวีซื่อจุนจะตื่น จึงเอ่ยเตือนแม่นมเบาๆ “จุนเกอพึ่งจะนอนหลับไป”
แม่นมรีบเอามือปิดปาก สะอื้นไห้เงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง”
“บอกว่าเขาแค่ตกใจมากไป!” สืออีเหนียงไม่ได้ปิดบังนาง “ตอนนี้เขาจึงไม่ค่อยมีสติ ท่านเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก รู้จักเขาดีที่สุด ดังนั้นจึงรับท่านมาปลอบใจจุนเกอ”
“ฮูหยินสี่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าคะ” แม่นมพูดจบ สาวใช้ก็นำเสื้อกั๊กยาวที่สะอาดสะอ้านของป้าตู้มาให้นางเปลี่ยน จากนั้นก็ไปนั่งบนเตียงเตา บอกให้สาวใช้ตักน้ำอุ่นมาให้นางล้างมือ นางจับหน้าผากสวีซื่อจุนเบาๆ “ให้บ่าวดูแลจุนเกอเถิดเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงเห็นนางทำอะไรละเอียดอ่อนเช่นนี้ก็โล่งใจ หันมาเชิญฮูหยินสองไปนั่งที่ห้องปีก “พี่สะใภ้สองลำบากมาทั้งช่วงเช้าแล้ว พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
แต่ฮูหยินสองยังเป็นห่วงไท่ฮูหยิน พวกนางสองคนจึงไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินพึ่งตื่นนอน นางกำลังแต่งตัว ทันทีที่รู้ว่าแม่นมของสวีซื่อจุนมาถึงแล้วจึงรีบออกไปดู เห็นแม่นมคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดจึงพูดกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็บอกให้ป้าตู้จัดที่พักให้แม่นม “ช่วยดูแลเขาสักสองสามวัน”
แม่นมเต็มใจที่จะช่วยดูแลสวีซื่อจุนอยู่แล้ว นางย่อเข่าคำนับแล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้ามาเยี่ยมสวีซื่อจุน
“ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ!” เห็นแม่นมของสวีซื่อจุนอยู่ที่นี่ นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านป้ามาแล้วหรือ” เห็นว่าสวีซื่อจุนยังไม่ตื่น นางก็เอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นว่ามันสายแล้ว จึงให้ฮูหยินห้าอยู่ทานข้าวที่นี่ ให้สาวใช้ไปถามสวีลิ่งอี๋ว่าเขาจะทานข้าวกลางวันที่ไหน
สาวใช้ออกไปเพียงไม่นานก็กลับมารายงาน “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ ท่านโหวออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”
สถานการณ์เช่นนี้ยังออกไปข้างนอก?
สืออีเหนียงแปลกใจ
แต่ไท่ฮูหยินกลับพูดเบาๆ “เช่นนั้นก็จัดอาหารเถิด!”
สาวใช้ตอบรับแล้วเดินออกไป
ฮูหยินสองประคองไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและฮูหยินห้าก็เดินตามไปทานข้าวกลางวันที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
หลังจากทานเสร็จ ทุกคนก็ไปหาสวีซื่อจุน เห็นว่าเขายังไม่ตื่น ฮูหยินห้าเลยกลับไปที่เรือนของตัวเอง ส่วนฮูหยินสองและสืออีเหนียงนั่งอยู่กับไท่ฮูหยินที่นั่น
หมอหลิวมาแล้ว
สืออีเหนียงจึงปลีกตัวออกไปที่เรือนหน่วนเก๋อ ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองคอยดูอยู่ข้างๆ
เมื่อหมอหลิวเห็นว่าสวีซื่อจุนยังไม่ตื่นก็ตกอกตกใจ
ฮูหยินสองเล่าเรื่องตอนที่ตัวเองอยู่กับสวีซื่อจุน เขาตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง สถาการณ์เป็นเช่นไรบ้างให้หมอหลิวฟัง จากนั้นก็พูดว่า “ข้าเห็นว่าคุณชายน้อยสี่นอนไม่หลับ จึงจุดเครื่องหอมกล่อมประสาทช่วยนอนหลับที่ข้าทำขึ้นมาเองให้เขา”
หมอหลิวได้ฟังแล้วก็เหงื่อตก เขาพูดเบาๆ “หากไม่เห็นอาการของคุณชายน้อยสี่ด้วยตาตัวเอง ข้าสั่งยาไม่ได้ขอรับ” ฮูหยินสองทำเกินหน้าที่ตัวเองไปแล้ว
นางรีบพูด “หมอหลิวอย่าได้โทษข้าเลย” จากนั้นก็รีบบอกให้สาวใช้ดับเครื่องหอมแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวคุณชายน้อยสี่ก็คงจะตื่นแล้ว”
หมอหลิวจะกล้านั่งตรงข้ามไท่ฮูหยินได้เช่นไร เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าไปยืนอยู่ที่ลานก่อน หากคุณชายน้อยสี่ตื่นแล้ว ไท่ฮูหยินส่งคนไปเรียกเข้ามาก็ได้ขอรับ”
ไท่ฮูหยินก็ไม่สะดวกที่จะให้ท่านหมอหลิวอยู่ที่นี่ จึงให้คนออกไปส่งเขา
พวกนางรอให้สวีซื่อจุนตื่นขึ้นมา
หู่พั่วเข้ามา “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง ฮูหยินสี่เจ้าคะ อี้อี๋เหนียงเอะอะโวยวายบอกว่าอยากจะเจอท่านโหวเจ้าค่ะ หากท่านป้าสองสามคนไม่ยอมให้นางออกมา นางก็จะฆ่าตัวตาย แล้วยังบอกว่า หากท่านป้าเหล่านั้นไม่มารายงาน อย่าหาว่านางพูดอะไรเหลวไหล ท่านป้าเหล่านั้นหวาดกลัวจึงปิดปากนาง” พูดจบ นางก็เหลือบมองไท่ฮูหยิน “แต่ตอนที่ท่านโหวออกไปเขาบอกว่า ให้ดูอี้อี๋เหนียงให้ดี อย่าให้อี้อี๋เหนียงเป็นอะไรไป ถึงตอนนั้นจะไม่มีคำอธิบายให้คุณชายสามเจ้าค่ะ ท่านป้าเหล่านั้นไม่รู้จะทำเช่นไร จึงให้บ่าวมารายงานไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและฮูหยินสี่ ไท่ฮูหยินโปรดให้คำแนะนำด้วย เรื่องนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า “มีอะไรยากกัน ก็ปิดปากนางเช่นนั้น มัดนางไว้ที่เรือน ตราบใดที่จดหมายของคุณชายสามมาถึงแล้วนางยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”
หู่พั่วตอบรับ “เจ้าคะ” จากนั้นก็เดินออกไป
ไท่ฮูหยินเรียกป้าตู้ “เจ้าไปถามพ่อบ้านไป๋ ถามว่าจดหมายที่เขียนไปที่มณฑลซานหยางเมื่อไรทางนั้นจะตอบกลับมา รีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ประเดี๋ยวจะเกิดเรื่องตามมาได้” พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
แม่นมของสวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน นางไม่กล้าก่อเรื่องอันใด ก้มหน้าลงมองสวีซื่อจุน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กลับเห็นว่าสวีซื่อจุนขมวดคิ้วแล้วพึมพำบางอย่างเบาๆ อย่างไม่สบายใจ
นางตกใจพลางตะโกนเรียก “คุณชายน้อยสี่” ด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติ ทำเอาไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและสืออีเหนียงหันหน้ามามองทันควัน
สวีซื่อจุนค่อยๆ ตื่นขึ้นมาเหมือนที่ฮูหยินสองพูดจริงๆ แม่นมอุ้มเขามากอดแล้วเอ่ยปลอบเขา
อาจจะเป็นเพราะความทรงจำอันอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเขาตั้งแต่ยังเป็นทารก เขาถูกแม่นมอุ้มอยู่ ถึงแม้ว่าสีหน้าจะยังสับสน แต่กลับไม่ดิ้นเหมือนก่อนหน้านั้น หมอหลิวเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มีคนคอยอยู่ด้วย ประเดี๋ยวเขาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นขอรับ” จากนั้นก็สั่งยาผ่อนคลายจิตใจ บอกสูตรยากับแม่นม บอกให้แม่นมใช้หัวแม่มือถูกตรงบริเวณใกล้กับนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายและข้างขวาของสวีซื่อจุนยามเที่ยงประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบแปดครั้ง “ช่วยคุณชายน้อยสี่เดินลม”
แม่นมก็เรียนรู้จากท่านหมอหลิวอย่างตั้งใจ
ไท่ฮูหยินเดินเข้าไปพูดกับสืออีเหนียงที่เรือนหน่วนเก๋อ “ข้าคิดว่า รีบจัดการเรื่องที่จวนให้เรียบร้อย จากนั้นก็เชิญไต้ซือจี้หนิงมาทำพิธีให้สบายใจเถิด”
เรื่องการทำพิธีสาปแช่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย หากคนนอกเห็นอะไรเข้าก็คงจะไม่ดี
“หากท่านโหวกลับมาแล้วข้าจะปรึกษาเขาทันทีเจ้าค่ะ” เรื่องนี้สวีลิ่งอี๋เป็นคนจัดการ ตอนนี้จัดการไปถึงไหนแล้ว สถานการณ์เป็นเช่นไรแล้ว สืออีเหนียงยังบอกไม่ได้
ไท่ฮูหยินนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้สวีลิ่งอี๋อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ นางจึงบ่น “เด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าออกไปไหน เรื่องวุ่นวายที่จวนยังรอให้เขากลับมาจัดการ”
สืออีเหนียงไม่กล้าพูดอะไร กำลังจะเอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเบาๆ “น่าจะออกไปจัดการเรื่องแม่เฒ่าจูเจ้าค่ะ เรื่องนี้ ไม่ควรให้คนอื่นจัดการ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม แต่สืออีเหนียงกลับหัวใจเต้นแรง
เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร…
*****
สวีลิ่งอี๋กลับมายามดึก
สีหน้าเรียบนิ่ง มองไม่เห็นความผิดปกติอะไร
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านโหวเจ้าคะ เจอแม่เฒ่าจูหรือยัง”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพูดเบาๆ “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจัดการแล้วไม่มีปัญหาอะไร” จากนั้นก็ทำท่าทีเหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เขาลูบท้องของนางเบาๆ “วันนี้นางรบกวนเจ้าหรือไม่”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วแต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเรื่อง แต่นางก็ทิ้งความรู้สึกนั้นเอาไว้ข้างหลัง
“วันนี้รู้ความมากเจ้าค่ะ” นางยิ้ม “แต่ตอนที่ทานข้าวกลางวันยังซนอยู่”
“อ้อ!” สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วขึ้นด้วยความพอใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่กลัวว่าข้าไม่ชอบกลิ่นคาว จึงสั่งไม่ให้ทำปลา ทำผักใบเขียวที่สดใหม่ เดิมทีข้าก็ชอบทานอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้ได้กลิ่นกลับรู้สึกสบายตัวมาก”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะขึ้นมา
สืออีเหนียงจึงถือโอกาสพูดเรื่องสวีซื่อจุนกับเขา “…หมอหลิวบอกว่า เขาจะค่อยๆ ดีขึ้น” จากนั้นก็พูดถึงสวีซื่ออวี้ “ตามความคิดเห็นของพี่สะใภ้สอง เล่าเรื่องนี้ให้อวี้เกอฟังตามความจริงจะดีกว่า…” นางเล่าคำพูดของฮูหยินสองให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
“ข้าคิดว่า” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “แทนที่จะเขียนจดหมายส่งไปให้เขา ไม่สู้ให้อวี้เกอกลับมา มีเรื่องอันใด เราก็ปิดประตูปรึกษากันเองดีกว่า”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ให้เขากลับมา จะได้ให้เขาเจอหน้าฉินอี๋เหนียงอีกสักครั้ง”
