ไม่แปลกใจที่พอเกิดเรื่องทำพิธีสาปแช่งขึ้น สวีลิ่งอี๋ไม่ถามอะไรสักคำก็กักตัวคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทันที
หากถามไปถามมาก็อาจจะล้มลงหมดราวกับโดมิโน่
อาจจะลากเหวินอี๋เหนียงเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
“ฮูหยินสี่เจ้าคะ” อี้อี๋เหนียงกลัวว่าสืออีเหนียงจะไม่เชื่อ จึงยิ่งพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “ฉินอี๋เหนียงจิตใจชั่วร้าย คิดจะทำเรื่องเลวร้ายมาตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้ เรื่องที่นางคิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรให้คุณชายน้อยสอง บุตรชายของตัวเองได้ขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งซื่อจื่อ เชิญแม่เฒ่าจูมาทำพิธีสาปแช่ง ล้วนแต่เป็นฝีมือของนางแค่คนเดียว มันไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน” พูดจบ นางก็คุกเข่าลงบนพื้น”ฮูหยินสี่เจ้าคะ ข้าไม่เคยเคียดแค้นอะไรท่าน ทำร้ายคุณชายน้อยสี่ ข้าได้ประโยชน์อะไรเจ้าคะ แต่ฉินอี๋เหนียงไม่เหมือนข้า หากคุณชายน้อยสี่เป็นอะไรไป ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับฮูหยิน แต่ว่าฮูหยินเป็นท่านแม่ของเขา ทุกคนอาจจะกล่าวโทษท่านที่ไม่รอบคอบ คนนั่งอยู่ในเรือนแท้ๆ แต่กลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ถึงแม้ว่าท่านจะใจกว้างแค่ไหน แต่ได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ เกรงว่าท่านก็คงจะโมโหไม่น้อย นอนพักผ่อนสักสองสามวัน ทานยาให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลง พูดคุยกับสาวใช้ของตัวเอง เรื่องนี้ก็จะค่อยๆ จางหายไป แต่ว่าตอนนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์ กำลังไม่สบายตัว ลูกในท้องก็ยังไม่มั่นคง ท่านทนได้ แต่คุณชายน้อยหกที่ยังไม่คลอดออกมาจะทนได้หรือเจ้าคะ? หากคุณชายน้อยหกที่อยู่ในท้องโมโหเพราะเรื่องนี้…” นางหยุดชะงักแล้วก้มหัว “ฮูหยินสี่ เรื่องนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนแต่มีผลประโยชน์ต่อฉินอี๋เหนียง ท่านต้องลืมตามองให้ชัดเจน มองให้เข้าใจนะเจ้าคะ จะปล่อยให้ศัตรูได้ใจ ให้คนต่ำต้อยพวกนั้นได้เปรียบไม่ได้นะเจ้าคะ!”
หู่พั่วที่ฟังอยู่ข้างๆ หัวใจพลันเต้นแรง
อี้อี๋เหนียงพูดมีเหตุผล
ทุกคนล้วนแต่รู้ว่าคุณชายน้อยสี่ร่างกายอ่อนแอ ถูกคุณชายห้าอุ้มโยนสองทียังป่วยไปตั้งหลายวัน หากตกใจจนเป็นอะไรไป หรือเสียสติจนไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งซื่อจื่อ สืออีเหนียงก็คงจะหนีความผิดไม่พ้น และหากสืออีเหนียงโมโหเรื่องนี้จนแท้งลูกในท้อง…
คิดเช่นนี้ นางก็นึกถึงช่วงก่อนที่ฉินอี๋เหนียงมักจะถามถึงสุขภาพของสืออีเหนียงอยู่บ่อยๆ
หรือว่าตั้งแต่ตอนนั้น ฉินอี๋เหนียงก็มีแผนอยู่ในใจแล้ว?
หู่พั่วมองไปยังสืออีเหนียงด้วยความกังวล
“อี้อี๋เหนียงลุกขึ้นเถิด!” สืออีเหนียงพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า เรื่องนี้ ข้าจะพูดกับท่านโหวเอง หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน คุณชายน้อยสี่นอนไปครู่หนึ่งแล้ว ประเดี๋ยวข้าต้องกลับไปดูแลเขา” พูดจบ นางก็ขยิบตาให้หู่พั่วแล้วเดินออกไป
“ฮูหยินสี่เจ้าคะ ท่านฟังข้าก่อน…” เสียงที่ไม่ยอมแพ้ของอี้อี๋เหนียงไล่ตามมาติดๆ สืออีเหนียงเดินไปพูดกับป้ารับใช้ที่อยู่ข้างหน้าเบาๆ “อย่าให้อี้อี๋เหนียงพูดอะไรเหลวไหล” จากนั้นก็พาหู่พั่วออกไปจากลาน
แสงอาทิตย์สาดส่องไปที่ต้นการบูรที่อยู่ข้างบันไดลานข้างหลัง กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของต้นการบูรถูกแสงแดดแผดเผาจนส่งกลิ่นแรง
สืออีเหนียงยืนอยู่บนบันได แสงแดดที่ส่องผ่านช่องว่างของใบต้นการบูรตกลงมากระทบบนชุดสีขาวพระจันทร์ของนาง ทำให้ดูสว่างสดใส บรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
หู่พั่วที่อยู่ข้างหลังไม่รู้ว่าทำไมนางถึงหยุดอยู่ที่นี่ นางเขย่งเท้าแล้วมองออกไปตามสายตาของสืออีเหนียง ก็มองเห็นเถาวัลย์สีเขียวที่พันอยู่บนกำแพงสีขาว
อีกฝั่งหนึ่งของกำแพงสีขาว คือเรือนของเหวินอี๋เหนียง
“ฮูหยินเจ้าคะ” หู่พั่วเดาได้ว่าสืออีเหนียงกำลังคิดอะไรอยู่ “ท่านคิดว่า เราไปนั่งที่เรือนของเหวินอี๋เหนียงดีหรือไม่เจ้าคะ จะว่าไปแล้ว ของขวัญแต่งงานของชิวหงท่านยังไม่ได้ให้นางเลย ให้วันอื่นไม่สู้ให้วันนี้ ข้าคิดว่าท่านนำไปให้นางวันนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าไปเปิดกล่องหน้ากระจกของข้า นำปิ่นปักผมดอกติงเซียงที่ห่อด้วยถุงผ้ามา นำมาเป็นของขวัญแต่งงานให้ชิวหง!”
หู่พั่วตอบรับ จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ไปที่เรือนหลัก
ลมพัดโชยมาเบาๆ บรรยากาศในลานเล็กทิศตะวันออกเงียบสงัด
ประตูลานของฉินอี๋เหนียงปิดสนิท แต่ประตูลานของเฉียวอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงกลับเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง มีสาวใช้ตัวเล็กสองคนกำลังเล่นโยนถุงทรายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ระหว่างลานสองลาน ทันทีที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง สาวใช้คนหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พูดกระซิบกระซาบกับสาวใช้อีกคนหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในลานของหยางอี๋เหนียง พร้อมกับเสียงปิดประตูดัง เอี๊ยด
สาวใช้อีกคนหนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในลานของเฉียวอี๋เหนียง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
หู่พั่วกลับมา “ฮูหยินเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!” พูดพลางยื่นถุงผ้าให้สืออีเหนียงดู
สืออีเหนียงไม่ได้เปิดดู ทำเพียงพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปที่ลานของเหวินอี๋เหนียงกับหู่พั่ว
เหวินอี๋เหนียงกำลังนับสินเดิมของชิวหง บนโต๊ะ บนเก้าอี้…ล้วนแต่เต็มไปด้วยสิ่งของ
“เราไปนั่งข้างในเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องข้างใน
ห้องข้างในก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไร มีผ้าไหมวางอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างทางทิศตะวันออกเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
เหวินอี๋เหนียงรีบพาสืออีเหนียงไปนั่งที่เตียงเตาข้างหน้าต่างทางทิศตะวันตก ส่วนตัวเองก็ขยับผ้าไหมเข้าไปด้านใน แล้วนั่งบนเตียงเตาทางทิศตะวันออก
“ฮูหยินมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” นางยิ้ม รับถ้วยชามาจากมือของตงหงแล้ววางไว้ข้างหน้าสืออีเหนียงด้วยความเคารพ
“ช่วงนี้วุ่นวายนัก” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “จึงอยากมานั่งพักที่เรือนเจ้า” พูดจบ นางก็บอกให้หู่พั่วนำของขวัญให้เหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงเอ่ยขอบพระคุณซ้ำๆ แล้วก็เรียกชิวหงมาก้มหัวให้สืออีเหนียงสามครั้ง
สืออีเหนียงยิ้มรับพลางถือถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ
เหวินอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด นางใช้สายตาบอกให้สาวใช้ที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด
สืออีเหนียงถามนางเบาๆ “ได้ยินมาว่า ตอนที่เหวินอี๋เหนียงพึ่งจะแต่งเข้ามา เจ้าอยู่ที่เรือนปีกทิศตะวันตกในลานเดิมของท่านโหว อยู่ลานเดียวกับฉินอี๋เหนียงและถงอี๋เหนียงอย่างนั้นหรือ”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา แต่กลับแอบถอนหายใจในใจ
เรื่องบางเรื่อง อยากจะหลีกก็หลีกไม่พ้น!
แต่ว่า เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
แทนที่จะเก็บไว้ในใจ ไม่สู้บอกสืออีเหนียงโดยตรงจะดีกว่า ให้สืออีเหนียงสืบเรื่องตอนนั้นให้ชัดเจน ตนก็จะได้นอนหลับอย่างสบายใจ
นางพยักหน้า “คนของสกุลเดิมไม่เคยคิดว่าข้าจะมาเป็นอนุภรรยาของจวนท่านโหว สินเดิมที่เตรียมไว้ก็ไม่ได้ใช้ ข้าเพียงแต่อาลัยอาวรณ์สาวใช้และป้ารับใช้ที่เคยรับใช้ข้า แล้วก็เพราะว่าแต่งจากทางตอนใต้มาอยู่ทางตอนเหนือ ไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่สักเท่าไร คนในจวนจึงไปบอกไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินจึงตอบตกลงให้พาคนที่เคยรับใช้ข้ามาด้วย จากนั้นก็ให้เงินเดือนสาวใช้และท่านป้าตามกฎของที่จวน แต่คนของข้าเยอะมากมาย หลังจากนั้นจึงย้ายจากเรือนปีกทางทิศตะวันตกไปอยู่ที่เรือนปีกทางทิศตะวันออกคนเดียว ส่วนฉินอี๋เหนียงและถงอี๋เหนียงมีสาวใช้สองคนและป้ารับใช้เพียงสองคน คนของพวกนางน้อย จึงอยู่ที่เรือนปีกทางทิศตะวันตกเจ้าค่ะ”
ตามหลักแล้ว อี๋เหนียงควรมีสาวใช้ระดับสามหนึ่งคน สาวใช้น้อยสองคน และป้ารับใช้สองคน…
“เหตุใดถึงไม่จัดสาวใช้และป้ารับใช้ให้ฉินอี๋เหนียงและถงอี๋เหนียงด้วยเล่า” สืออีเหนียงวางถ้วยชาในมือลง
เสียงกระทบกันของถ้วยชาดังกังวาล
“ตอนนั้นที่จวนไม่ค่อยมั่นคง วันนี้ พรุ่งนี้ ล้วนแต่มีคนออกไปเสมอ แล้วไท่ฮูหยินก็ไม่สบาย ฮูหยินสามตั้งครรภ์ ล้วนแต่ต้องมีคนดูแล ฮูหยินสองต้องดูแลไท่ฮูหยิน ช่วยไท่ฮูหยินจัดการเรื่องของลานข้างนอก ฮูหยินคนก่อนก็พึ่งจะดูแลจวน เรื่องบางเรื่องก็ยังดูแลไม่ทั่วถึง จึงต้องยอมเสียสละคนในเรือนของตัวเอง ย้ายถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงที่พึ่งจะเข้ามาที่จวนมารับใช้ในเรือน”
สายตาของเหวินอี๋เหนียงแน่วแน่ ท่าทางตรงไปตรงมา แตกต่างจากสีหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มที่ห่างเหินและระมัดระวังตัวในยามปกติ
สืออีเหนียงรู้ว่าตอนนี้นางกำลังพูดความในใจ ก็ไม่อ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเคยเจอพี่หญิงใหญ่แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ข้ารู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถ ตามหลักแล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนที่จวนท่านโหวกำลังวุ่นวาย แม้แต่ยามปกติ บรรดาอี๋เหนียงตั้งครรภ์ก็ต้องได้รับการดูแลอย่างดี นางจะตั้งกฎให้บรรดาอี๋เหนียงได้เช่นไรกัน ไม่รู้ว่ากฎนั้นคือกฎอะไรหรือ”
“ฮูหยินคนก่อนตั้งกฎให้พวกข้า ก็แค่คารวะเช้าเย็น กฎการทานอาหาร กฎการเย็บปักถักร้อย” เหวินอี๋เหนียงพูด “แต่ว่าข้าแต่งเข้ามากะทันหัน เป็นคุณหนูใหญ่ที่สกุลเดิมจนเคยตัว ยังปรับตัวไม่ได้ บวกกับพึ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นานก็ตั้งครรภ์ รู้สึกไม่สบาย จึงรับใช้ฮูหยินคนก่อนแค่ไม่กี่วัน ไม่เหมือนถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียง พวกนางทำเช่นนั้นมาตั้งแต่เด็ก อนุญาตให้พวกนางพักผ่อน พวกนางกลับรู้สึกไม่สบายใจ เห็นว่าฮูหยินคนก่อนยุ่งทั้งวันทั้งคืน ข้าเห็นว่าตัวเองก็สบายดีขึ้นแล้ว จึงไปรับใช้ที่เรือนของฮูหยินสี่” พูดจบ นางก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “หลังจากที่ท่านโหวออกไปก็ให้พ่อบ้านไป๋เป็นคนจัดการเรื่องลานข้างนอก แต่ตอนนั้น คนข้างนอกล้วนแต่ลือว่าจวนหย่งผิงโหวนั้นแย่แล้ว ผู้ดูแลที่อยู่ลานข้างนอกเห็นว่านายท่านของจวนไม่อยู่ที่จวน มีแค่บรรดาสตรี พวกเขาจึงไม่สบายใจ ดูแลแต่เรื่องของตัวเอง หวังว่าเมื่อจวนสกุลสวีพ่ายแพ้แล้วตัวเองก็จะได้ออกไปจากจวน ยามนั้นพ่อบ้านไป๋ก็พึ่งจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ดูแล ในบรรดาผู้ดูแลที่อยู่ไม่สุขก็มีคนที่เคยทำงานตั้งแต่ตอนที่นายท่านคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ พ่อบ้านไป๋เริ่มควบคุมไม่ได้ ไท่ฮูหยินจึงต้องออกมาจัดการด้วยตัวเองทั้งๆ ที่ยังป่วยอยู่ ฮูหยินสองที่คอยดูแลไท่ฮูหยิน เพราะว่านางคิดเลขเป็น เมื่อไท่ฮูหยินไม่ค่อยสบายนางก็ช่วยไท่ฮูหยินคิดบัญชีเป็นครั้งคราว ต่อมาอาการของไท่ฮูหยินหนักขึ้นเรื่อยๆ ฮูหยินสองและพ่อบ้านไป๋จึงเป็นคนจัดการเรื่องของลานข้างนอก”
“บรรดาท่านป้าผู้ดูแลลานข้างในเห็นสถานการณ์ของลานข้างนอก ก็มีคนเก่าคนแก่ที่ไม่เห็นด้วย ประเดี๋ยวก็บอกว่าธูปหมด ประเดี๋ยวก็บอกว่าของแตกหัก อยากจะซื้อใหม่ เอะอะโวยวายขอเงินทุกวัน แต่กลับไม่มีบัญชีมาแสดง ยังมีคนที่เคยรับใช้ฮูหยินสอง จู่ๆ ก็เปลี่ยนนายหญิงเป็นฮูหยินสี่ พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เห็นงานอะไรก็ทำอย่างตั้งใจ แล้วยังมีคนที่ดูความสนุก ให้ทำอะไรก็ไม่ทำ ฮูหยินคนก่อนจัดการคนนี้ก็มีคนนั้นโผล่ขึ้นมาอีก นิ้วสิบนิ้วก็ยังไม่พอใช้งาน นานวันเข้า นางรู้สึกเป็นกังวล คิดว่าตอนที่ฮูหยินสองเป็นคนจัดการเรื่องในจวน ทุกอย่างล้วนแต่ราบรื่น แต่เหตุใดตัวเองเป็นคนจัดการนั้นถึงไม่เหมือนกัน นางไม่ยอมบอกใคร กลัวคนอื่นรู้แล้วจะหัวเราะเยาะตัวเอง ระงับความโมโหทะเลาะกับบรรดาท่านป้าผู้ดูแล กลับมาที่เรือนก็หลับทันที ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้ แล้วยังไม่ค่อยไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน จะมีแรงที่ไหนมาสนใจพวกข้าเจ้าคะ เรื่องในเรือน ล้วนแต่ให้ป้าเถาเป็นคนจัดการ!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางพลันนึกถึงนายหญิงใหญ่ขึ้นมา
“เช่นนั้น ป้าเถาปฏิบัติกับพวกเจ้า…อย่างไร”
