“ไม่ได้ถามเจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงตอบกลับ “ท่านโหวไม่ได้ถามอะไรมากมาย เขาตอบแค่ว่า ‘เข้าใจแล้ว’ เท่านั้น”
สืออีเหนียงเงียบงัน
หากเป็นตน กลับมาถึงจวน ก่อนไปอนุทั้งสามต่างก็ตั้งครรภ์พร้อมๆ กัน ตอนนี้เสียทั้งแม่และเด็กไปถึงสองคน อีกคนใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวไม่สุงสิงกับใคร ส่วนอีกคนถูกมารดาส่งไปให้พี่สะใภ้สองดูแล แต่มารดากลับบอกตนว่าทุกอย่างปกติดี คนที่เสียชีวิตไปนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย…การที่เขาเป็นบุตรชาย การที่เขาเป็นสามีและการที่เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลแห่งจวนหย่งผิงโหว นอกจากคำว่า ‘เข้าใจแล้ว’ เกรงว่าคงจะไม่สามารถพูดอย่างอื่นได้อีก
แต่คนที่กระตือรือร้นเช่นสวีลิ่งอี๋ นอกเหนือจากนี้แล้วเขาไม่คิดสิ่งอื่นใดอีกเลยหรือ
สืออีเหนียงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
มิเช่นนั้น สำหรับถงอี๋เหนียงที่ไม่ได้มีความหมายเป็นพิเศษ จู่ๆ เขาจะกล่าวคำว่า ‘ขอโทษ’ ออกมาได้อย่างไรกัน
หลังจากที่เดินออกมาจากเรือนของเหวินอี๋เหนียงแล้ว ดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันที่สว่างเฉิดฉาย ทอดแสงแดดลงบนผืนแผ่นดิน สงบนิ่งไร้ซึ่งความวุ่นวายใดๆ พลอยทำให้จิตใจรู้สึกสงบไปด้วย
สืออีเหนียงค่อยๆ เดินกลับไปยังเรือนของไท่ฮูหยินอย่างช้าๆ
สวีซื่อจุนยังคงนอนหลับอยู่ ไท่ฮูหยินที่ถูกฮูหยินห้าชวนให้ไปดูนักพรตฉังชุนทำพิธีสวดก็ยังไม่กลับมา
อวี้ป่านเห็นว่าที่หน้าผากของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ใบหน้ายังแดงก่ำ จึงรีบไปตักน้ำมาให้สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตา “วันนี้อากาศร้อนมาก ใบหน้าของฮูหยินแดงหมดแล้วเจ้าค่ะ!” แต่ไม่ได้เอ่ยถามว่าสืออีเหนียงไปที่ไหนมา
“เช่นนั้นหรือ” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับล้างหน้าตา จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าก็กลับมาถึงพอดี
“…บอกว่าดวงชะตาของซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราหนักหกชั่ง” ฮูหยินห้ากำลังอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ สีหน้าท่วมท้นไปด้วยความดีอกดีใจ “ตอนที่นักพรตฉังชุนดูดวงชะตาให้ข้านั้น ข้ามีแค่สี่ชั่งแปดตำลึงเอง”
ไท่ฮูหยินหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามสืออีเหนียงว่า “จุนเกอไปกวนเจ้าหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็หันไปสั่งให้อวี้ป่านไปตักน้ำมาให้ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าล้างหน้าล้างตา แล้วถามถึงสถานการณ์ของลานนอก เปลี่ยนบทสนทนานั้นไป
พอตกค่ำเมื่อเจอหน้ากับสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงจึงเล่าเรื่องที่อี้อี๋เหนียงเรียกนางไปให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาด้วยความเย้ยหยันเบาๆ “คนเช่นนี้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อ สามารถพูดออกมาได้ทุกอย่าง เจ้าอย่าไปเชื่อคำพูดซี้ซั้วที่นางพูด” จากนั้นเขาก็ได้พูดต่ออีกว่า “คราวหน้าหากเจอกับเรื่องเช่นนี้อีก ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะต้องแจ้งให้ข้าทราบก่อน หากว่านางเกิดเป็นบ้าแล้วทำร้ายคนอื่นขึ้นมา เจ้าและลูกได้รับบาดเจ็บเล่า จะทำอย่างไร”
สืออีเหนียงมีเรื่องอื่นอยู่ในใจ จึงเพียงขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” เท่านั้น
นึกถึงสวีลิ่งอี๋ที่คอยปกป้องและดูแลฉินอี๋เหนียงตลอดสิบปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าสำหรับสวีลิ่งอี๋แล้ว ฉินอี๋เหนียงนั้นถือว่าไม่ได้กระทำอะไรผิด จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหว ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
สีหน้าท่าทีที่สุขุมและเคร่งขรึมของเขาทิ่มแทงความรู้สึกของนาง
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าก็เพียงแต่รู้สึกแปลกใจก็เท่านั้น” พูดจบนางก็ลุกขึ้นยืน “ข้าไปเรียกสาวใช้น้อยเข้ามาปรนนิบัติท่านโหวชำระร่างกายดีกว่า ได้ยินฮูหยินห้าบอกว่าวันพรุ่งนี้นักพรตฉังชุนจะทำพิธีสวดที่จวนอีกรอบ พรุ่งนี้ท่านโหวจะต้องยุ่งอีกวัน รีบพักผ่อนแต่เช้าเถิดเจ้าค่ะ!”
เวลาที่นางมีเรื่องไม่สบายใจ นางมักจะยิ้มอย่างสดใสมากกว่าปกติเสมอ จากนั้นก็หาเรื่องพูดมากมายก่ายกองไม่หยุดหย่อน
สวีลิ่งอี๋จึงสาวเท้าก้าวเข้ามาหานาง ดึงแขนของสืออีเหนียงที่กำลังจะหมุนตัวไปเรียกสาวใช้น้อยไว้ “สืออีเหนียง เจ้าไปได้ยินเรื่องเล่าข่าวลืออะไรมาใช่หรือไม่ พี่หญิงของเจ้า…ถึงแม้ว่าจะหัวแข็งและเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่คนเช่นนั้น…”
แต่ก็ไม่ใช่คนเช่นนั้น…
จู่ๆ สืออีเหนียงก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา นางหันหน้าไปมองสวีลิ่งอี๋
เขากำลังแก้ต่างให้หยวนเหนียง
เช่นนี้ก็เท่ากับว่าสวีลิ่งอี๋เองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของหยวนเหนียงสินะ
แต่ฉินอี๋เหนียงไม่มีความผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวอย่างนั้นหรือ
นัยน์ตาที่ดำขลับและเป็นประกาย สะท้อนให้เห็นเงาของเขา
พลอยทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่น่าละอายใจขึ้นมาอย่างชัดเจน
ท้ายที่สุดหยวนเหนียงกลายเป็นคนแบบใด ไม่มีใครรู้ดีมากกว่าเขาอีกแล้ว
มิเช่นนั้น สืออีเหนียงจะมาแต่งงานกับเขาได้อย่างไรกัน มิเช่นนั้น สือเหนียงจะเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไรเล่า
คนที่จากไปแล้วไม่มีวันย้อนกลับคืนมา คนที่ยังอยู่ก็จะต้องใช้ชีวิตกันต่อไป ไปรื้อคนและเรื่องราวในอดีตเช่นนี้ ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็โอบกอดสืออีเหนียงไว้ในอ้อมกอด “พอแล้ว หายโกรธได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะส่งตัวอี้อี๋เหนียงออกไป ส่วนเรื่องพิธีสวด ข้าได้เลื่อนออกไปแล้ว” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “เรื่องเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวในอดีต คนที่รู้เรื่องเหตุการณ์ภายใน ข้าได้จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
รู้เรื่องเหตุการณ์ภายใน รู้เรื่องเหตุการณ์ภายในอะไร ยังมีเรื่องที่ตนไม่รู้อีกหรืออย่างไรกัน เพราะฉินอี๋เหนียงทำพิธีสาปแช่งสวีซื่อจุน ตนก็เลยอุปาทานไปเองอย่างนั้นหรือ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจของสืออีเหนียงรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
สืออีเหนียงผลักสวีลิ่งอี๋ออกเบาๆ จากนั้นก็นำเรื่องที่เหวินอี๋เหนียงเล่าให้นางฟังมาเรียงลำดับ แล้วจึงเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างรวบรัดว่า “…ข้าดูแล้ว ในตอนนั้นความผิดของพี่หญิงของข้าก็คือสะเพร่าและประมาทจนเกินไป ส่วนเหวินอี๋เหนียงเองก็จิตใจคับแคบและหวาดระแวงจนเกินไป ฉินอี๋เหนียงผิดตรงที่ตัดสินใจทุกอย่างได้ค่อนข้างทื่อและตายตัว ขาดซึ่งไหวพริบ แม้แต่ถงอี๋เหนียงที่เสียชีวิตไปก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความผิด นางกำลังตั้งครรภ์ทายาทผู้สืบสกุล ไม่มีเรื่องไหนใหญ่กว่าเรื่องอีกแล้ว ในเมื่อรู้สึกไม่สบาย ก็ควรจะพูดออกมาถึงจะถูก หากพี่หญิงทราบเรื่องแล้ว ก็คงจะไม่ใจร้ายปล่อยทิ้งไว้ไม่ดูดำดูดีอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะแตกต่างกัน แต่การที่เป็นนายหญิงใหญ่ของจวน แน่นอนว่าความรับผิดชอบของพี่หญิงต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ แต่ข้าฟังจากน้ำเสียงของท่านโหวแล้ว ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของพี่หญิงคนเดียวอย่างไรอย่างนั้น สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สวีลิ่งอี๋หันไปมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความชอบธรรมของนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
หากว่าตอนนั้น หยวนเหนียงหันมาจ้องเขาอย่างเปิดใจเช่นนี้…
“ข้าเชื่อว่าพี่หญิงของเจ้าสามารถทำเรื่องเช่นนั้นออกมาได้” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมแต่เนิ่บนาบ ราวกับสายน้ำที่นิ่งสงบ “ข้ารอคำพูดจากนางเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แต่ทุกคำพูดที่นางพูดออกมากลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและจองหอง หากไม่โทษว่าป้ารับใช้เหล่านั้นเกียจคร้านและชักช้า ก็โทษว่าฉินอี๋เหนียงพูดจาไม่รู้เรื่อง โทษแม้กระทั่งพี่สะใภ้สอง บอกว่าพี่สะใภ้สองไม่ควรยื่นมือมายุ่งเรื่องของครอบครัวคุณชายสี่ เหลือแค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไร้ซึ่งความผิดใดๆ …” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ยากจะปิดบังได้ “นางเป็นฮูหยินแห่งจวนหย่งผิงโหว ต่อไปในภายภาคหน้า จวนหลังนี้ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งสองมือของเราทั้งสิ้น และถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีความผิดของนาง แต่ข้าและนางเป็นสามีภรรยากัน เหตุใดนางถึงไม่ยอมพูดให้ข้าฟังอย่างกระจ่างชัดเจน เราทั้งสองจะได้ช่วยกันหาวิธีมารับมือกับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวก็โทษคนนี้ เดี๋ยวก็โทษคนโน้น อย่าว่าแต่พี่สะใภ้สองที่รับคำสั่งดูแลฉินอี๋เหนียงจากท่านแม่เลย ถึงแม้ว่าพี่สะใภ้สองจะก้าวก่ายเกินหน้าที่ เข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวของเรา แต่เห็นแก่พี่สองที่เสียชีวิตไปแล้ว และพี่สะใภ้สองเองก็ไม่มีบุตร อยู่ตัวคนเดียวตามลำพัง วันข้างหน้าจะต้องอาศัยเราในการใช้ชีวิต เหตุใดถึงไม่ใจกว้างและโอบอ้อมอารีบ้าง” คำพูดที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในใจมาหลายปี พอมีโอกาสที่จะระบายออกมา ก็พรั่งพรูออกมาจนหมดในคราวเดียวโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ “ให้ฉินอี๋เหนียงพาลูกไปใช้ชีวิตกับพี่สะใภ้สองตั้งปีกว่า หากให้คนนอกรู้เรื่องนี้เข้า คนอื่นเขาจะคิดอย่างไร และหากบรรดาบ่าวรับใช้รู้เรื่องนี้เข้าจะทำอย่างไรเล่า ไม่เท่ากับว่าเรากำลังยื่นจุดอ่อนของเราไปให้ผู้อื่นนำมาทำร้ายเราอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงไม่ยอมใจกว้างกว่านี้สักหน่อย ยอมอ่อนข้อน้อมรับความผิดกับท่านแม่ กล่าวขอบคุณพี่สะใภ้สองบ้าง แล้วไปรับฉินอี๋เหนียงสองแม่ลูกกลับมา…เหตุใดถึงต้องดันทุรังจนเรื่องบานปลายและไม่อาจกลับไปแก้ไขด้วยเล่า”
สวีลิ่งอี๋สงบนิ่งราวกับผิวน้ำก็ไม่ปาน
“ข้าหวังอย่างยิ่งว่ายังพอมีหนทางที่จะไถ่ถอนเรื่องนี้” แววตาของเขาปรากฏความรู้สึกละอายใจออกมา “ในเมื่อได้ไปถามฉินอี๋เหนียงเป็นการส่วนตัวแล้ว ตามที่นางเล่ามา จากเรือนปีกของทิศตะวันออกจนไปถึงเรือนหลัก แล้วก็ไปยังจุดที่พักของป้าตู้ ไปๆ มาๆ หลายรอบหลายหนเช่นนี้…ไม่เพียงแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ฉินอี๋เหนียงพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ ยังถามได้เรื่องว่า…” จู่ๆ เขาก็ชะงักคำพูดไป
“ได้เรื่องว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงกำมือไว้แน่น
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง
“สาวใช้ที่อยู่เวรในช่วงกลางคืนในเรือนของหยวนเหนียงได้ยินเสียงร้องไห้ของฉินอี๋เหนียงดังมาจากด้านนอก!”
ปกติแล้วสาวใช้ที่อยู่เวรในช่วงกลางคืนมักจะนอนอยู่ที่ขั้นบันไดของเตียงเจ้านาย
สืออีเหนียงหันไปจ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋กลับพยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงจึงหลุบตาลงต่ำ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากที่ข้ากลับมาแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ท่านแม่พูดอะไรกับข้า” ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบ เขาก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวหยวนเหนียง ให้นางอย่าทำตัวเหมือนเด็ก แสดงสีหน้าและอารมณ์ออกมาหมดทุกอย่าง เวลาที่ดีอกดีใจก็พูดคุยกับเหล่าอี๋เหนียงด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมทั้งตกรางวัลมากมายให้กับเหล่าบรรดาอี๋เหนียง เวลาที่อารมณ์ไม่ดีก็แสดงออกด้วยสีหน้าที่บูดบึ้งและไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไปโกรธกับคนเหล่านั้น ก็จะขาดซึ่งจิตใจโอบอ้อมอารีที่นายหญิงใหญ่ของจวนพึงมี ตอนนั้นหลังจากที่ข้าได้ยินแล้ว ข้าอยากจะมุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด เพราะตอนนั้นหลังจากที่ฮูหยินสองแต่งงานเข้าจวนมาแล้ว ท่านแม่เป็นคนสอนงานนางทีละอย่างด้วยความอดทน ราวกับเป็นแม่ลูกกันอย่างไรอย่างนั้น สนิทสนมกันเสียยิ่งกว่าอะไร แต่กับหยวนเหนียง…เวลาที่ท่านแม่มีธุระอะไร ก็มักจะบอกผ่านข้าแทนเสมอ”
สวีลิ่งอี๋หย่อนตัวนั่งลงบนตั่งนั่งเหม่ยเหริน คิ้วของเขาขมวดแน่น
สืออีเหนียงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ข้างๆ ตั่งนั่งเหม่ยเหริน
“ท่านโหว ในตอนนั้น พี่หญิงของข้าก็คงจะอายุราวสิบหก สิบเจ็ดปีกระมัง” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนราวกับสายลมที่พัดอ่อนๆ ก็ไม่ปาน “ที่นางไม่กล้าบอกท่านโหว แน่นอนว่านางคงกลัวว่าท่านโหวจะกล่าวโทษนาง หากว่าตอนนั้นท่านโหวพูดกับพี่หญิงของข้าให้เข้าใจกระจ่างชัดเจน ถึงแม้ว่าพี่หญิงของข้าจะมีความผิดจริง ท่านโหวก็พร้อมที่จะให้อภัยนาง และจะช่วยนางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เพื่อท่านโหวแล้ว ไม่ว่าเรื่องอันใดนางก็คงจะยินยอมพร้อมใจทำอย่างแน่นอน!”
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปชั่วขณะ
“ใต้หล้านี้มีความน้อยเนื้อต่ำใจเสียที่ไหนกัน” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “มีแค่สิ่งที่ควรค่าและสิ่งที่ไม่ควรค่าเท่านั้น!”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองหน้านางด้วยความตะลึงงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
*****
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น สาวใช้น้อยที่เข้าเวรในช่วงกลางคืนของเรือนของสวีลิ่งอี๋ก็ได้แอบมากระซิบบอกกับสืออีเหนียงว่า “ฮูหยินสี่ เมื่อคืนนี้ท่านโหวไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้ให้ลูกกวาดนางเป็นรางวัล
สาวใช้น้อยก็ยิ้มเริงร่าพร้อมกับถอยออกไป
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ สืออีเหนียงก็สังเกตสีหน้าของสวีลิ่งอี๋
ผิวพรรณกระจ่างใส แววตาสดใสมีชีวิตชีวา เหมือนคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนที่ไหนกัน
หรือว่าไท่ฮูหยินจะสอนสั่งสวีลิ่งอี๋ด้วยวิธีนี้ ไม่ให้แสดงอารมณ์และความคิดออกมาทางสีหน้าให้หมดหรืออย่างไรกัน
เหมือนว่าตนนั้นก็ไม่ผ่านมาตรฐานนี้
ในหัวของนางฟุ้งซ่านไปหมด พอเงยหน้ามาก็เห็นไท่ฮูหยินกำลังยิ้มจนตาหยี และจ้องมองตนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
สืออีเหนียงรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกขึ้นมา
ไท่ฮูหยินก็ได้หันไปถามสวีลิ่งอี๋ว่า “วันนี้คงจะส่งอี้อี๋เหนียงไปที่ซานหยางแต่เช้าตรู่เลยกระมัง”
สวีลิ่งอี๋ขานรับ “ขอรับ ประมาณต้นยามซื่อจะเดินทางออกจากประตูเมือง เวลานั้นผู้คนสัญจรไม่มากและไม่น้อยเกินไป”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ หันไปมองสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “อี้อี๋เหนียงออกไปแล้ว พวกเจ้าก็กลับเรือนตัวเองไปพักผ่อนเถิด! มิเช่นนั้น คนหนึ่งอยู่ห้องปลายทิศตะวันออก ส่วนอีกคนอยู่ห้องหน่วนเก๋อ เรียกใช้สาวใช้ของข้าจนหัวหมุนไปหมด กลางคืนจะไม่มีใครตักน้ำรินน้ำชาให้ข้าเอา”
ตนก็พาสาวใช้มาด้วยมิใช่หรือ ถึงแม้ว่าจะมีแค่สองคน แต่ตนก็ไม่กล้าเรียกใช้สาวใช้คนสนิทที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายไท่ฮูหยินเสียหน่อย!
สืออีเหนียงจึงขานรับไปว่า “เจ้าค่ะ”
เมื่อนึกขึ้นมาว่าทุกคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ต่างคนต่างมีความเคยชินในการใช้ชีวิตของตัวเอง หากพวกเขาอยู่ที่นี่ บางทีไท่ฮูหยินอาจจะไม่ค่อยสะดวกก็เป็นได้ ดังนั้นจึงจะใช้เหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างให้พวกเขากลับไปเร็วขึ้นกระมัง!
“ท่านแม่” สวีลิ่งอี๋กลับเข้าใจเป็นอย่างอื่น “หลายวันมานี้พ่อบ้านไป๋กำลังจะคัดเลือกบ่าวรับใช้เข้ามาใหม่ ท่านแม่ต้องการเพิ่มบ่าวรับใช้หรือไม่ เงินเดือนหักจากเงินส่วนตัวของข้าเอง”
ป้าตู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาทันควัน
สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋จึงหันหน้ามาสบตากัน
ไท่ฮูหยินเองก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ “เจ้าเด็กโง่สองคนนี้!”
