สวีซื่ออวี้จ้องมองฉินอี๋เหนียงที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขาได้ยินเพียงเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นอย่างรุนแรงเท่านั้น
ตอนที่เขายังเด็กก็เคยได้ยินผู้อื่นเล่าถึงเหตุการณ์เรื่องนี้ หากว่าตอนนั้นบุตรของถงอี๋เหนียงไม่เสียชีวิต หลังจากคลอดออกมาแล้วก็จะกลายเป็นบุตรชายคนโต…แต่เขาไม่เคยสงสัยเลยแม้แต่นิด เพราะฉินอี๋เหนียงมักจะคอยจุดตะเกียงอายุยืนให้ถงอี๋เหนียงอยู่เสมอ ในทุกๆ ปีก็มักจะทำพิธีให้นางอีกด้วย เขาเองก็เคยถามฉินอี๋เหนียง ว่าถงอี๋เหนียงเป็นใคร ฉินอี๋เหนียงก็ได้ตอบเขาว่าถงอี๋เหนียงเป็นสหายที่ดีที่สุดของนาง อีกทั้งยังบอกว่าถงอี๋เหนียงนั้นงดงามเป็นอย่างมาก ฝีไม้ลายมือการเย็บปักถักร้อยก็ไม่เป็นรองใคร นิสัยใจคออ่อนโยนแค่ไหน ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยจิตใจที่กว้างเพียงใด…จนถึงทุกวันนี้ เขายังจำสีหน้าและแววตาตอนที่ฉินอี๋เหนียงหวนรำลึกถึงความหลังได้เป็นอย่างดี
หัวใจของเขาพลันเย็นวาบ อดไม่ได้ที่จะคว้าแขนของฉินอี๋เหนียงขึ้นมาพร้อมกับตะโกนเรียกนาง “อี๋เหนียง” เขาอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามอย่างไรดี
ฉินอี๋เหนียงกลับทำเหมือนว่าเป็นคนหูหนวก
นางหัวเราะคนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พูดขึ้นพึมพำว่า “ข้าอิจฉาพี่หญิงปี้อวี้เป็นที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร นางดูเพียงครู่เดียวก็ทำเป็นเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดอะไร ขอเพียงแค่ออกจากปากนาง ก็ฟังดูนุ่มนวลกว่าข้าเป็นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองหรือแม้แต่ท่านโหวเองต่างก็ชอบนางทั้งนั้น ตอนที่ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าครรภ์ของนางค่อนข้างแหลม คงจะตั้งครรภ์เด็กผู้ชาย ข้าก็แอบนึกในใจ เหตุใดคนคนหนึ่งถึงได้มีชีวิตที่ดีเช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่าเสมอ
พอกลับถึงเรือน นางก็บอกว่าไม่ค่อยสบาย จึงให้สาวใช้ไปตักน้ำมาให้นางแช่เท้าเสียหน่อย แต่สาวใช้เหล่านั้นเป็นสาวใช้ใหม่ที่พึ่งเข้าจวนมาไม่นาน จึงค่อนข้างอ่อนประสบการณ์ ทุกครั้งที่ตักน้ำมาให้นาง หากน้ำไม่ร้อนเกินไปก็เย็นจนเกินไป ต้องให้ข้าคอยบอกคอยสอนเสมอ ข้าสอนไปตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีเหมือนเดิม วันนั้นข้าเองก็เหนื่อยมาก ไม่อยากจะไปช่วยนางตักน้ำร้อน ราวกับว่าตัวเองเป็นสาวใช้น้อยอย่างไรอย่างนั้น ที่วันๆ ต้องคอยตักแต่น้ำร้อนมาให้นางแช่เท้า ก็เลยไปหาเหวินอี๋เหนียงที่เรือน”
นางเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย พิงหลังไปยังราวกั้นเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ คลำหาผ้าห่มแล้วดึงขึ้นมาห่มบนตัวของนาง
“แต่แล้ว…” ฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นเสียงเบา “หลังจากที่ข้ากลับไปถึงเรือน ท่อนล่างของนางก็เต็มไปด้วยเลือด…ป้ารับใช้ที่ฮูหยินส่งให้มาปรนนิบัติดูแลนั้นไม่ใช้ป้ารับใช้ที่ปรนนิบัติเรื่องการทำคลอด แต่เป็นป้ารับใช้ที่ดูแลงานทั่วไปโดยเฉพาะ นางไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่าจะต้องช่วยชีวิตคนอย่างไร เพียงแต่เรียกสาวใช้และป้ารับใช้มารวมตัวปรึกษาหารือกันว่าจะเรียนเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินอย่างไรจะได้ไม่ต้องโดนหางเลขไปด้วย…ข้าจึงจำเป็นต้องแบกท้องที่โตไปยังเรือนหลัก…
ฮูหยินไม่ได้สนใจข้าแม้แต่นิดเดียว สาวใช้ก็เอาแต่ให้ข้าไปหาป้าเถา คืนนั้น…ไม่มีพระจันทร์ บนท้องฟ้ามีดวงดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น บริเวณรอบด้านมืดสนิท ข้าเองก็กำลังตั้งครรภ์ กลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับตัวข้าเหมือนกัน ก็เลยขอร้องให้สาวใช้คนนั้นไปช่วยเรียนเรื่องนี้กับฮูหยินหน่อย แต่นางกลับเหน็บแนมและเย้ยหยันข้า ว่าเพราะข้าอาศัยเรือนเดียวกันกับอี๋เหนียงทั้งสองนานเข้าหน่อยก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นอี๋เหนียงไปด้วย ให้ไปช่วยเรียกหน่อยก็ไม่ยอมไป ข้าโมโหจนร้องไห้ออกมา จากนั้นข้าก็ร้องไห้พลางเดินไปยังที่พักของป้าเถา ในใจข้าตอนนั้นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก เหวินอี๋เหนียงนั้นข้าอาจเทียบไม่ได้ แต่ข้ากลับเทียบไม่ได้แม้กระทั่งถงอี๋เหนียง แต่อย่างไรเสีย ข้าเองก็ตั้งท้องลูกหลานของท่านโหวอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่อยู่ด้วยกันสามคน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นข้าที่เป็นคนไปทำทั้งนั้น แล้วข้าไปลืมตัวอยากจะเป็นอี๋เหนียงตั้งแต่ตอนไหนกัน…
ตอนนั้นข้าเอาแต่คิดว่าข้าต้องให้กำเนิดบุตรชายเท่านั้น หากสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ เพื่อหลานแล้ว ไท่ฮูหยินก็จะต้องยกข้าขึ้นเป็นอี๋เหนียงอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นทุกคนก็จะได้เห็นว่าข้าเองก็เป็นอี๋เหนียงโดยชอบธรรม ไม่ใช่แค่อาศัยว่าตั้งครรภ์ก็เลยทำท่าทำทีขึ้นมา หยิ่งผยองโอ้อวดไปทั่ว และจะดีที่สุดหากว่าเป็นบุตรชายคนโต…”
เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงักไป
สวีซื่ออวี้รู้สึกคอและดวงตาของเขาแห้งผากไปหมด ราวกับว่ากำลังมีควันระเหยออกมา เสียงของเขาติดอยู่ในลำคอ ผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว แต่เขาก็ยังพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ทางเดินไปยังที่พักของป้าเถาทั้งมืดและไกล” ฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นพึมพำว่า “มือข้างหนึ่งของข้าคอยประคองท้องไว้ ส่วนมืออีกข้างก็คลำไปตามผนังกำแพงอิฐดินเหนียวของทางเดิน ข้าเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง รอบด้านเงียบสนิทไปหมด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของข้าเท่านั้น” อารมณ์ของนางเริ่มไม่คงที่ “ข้ายิ่งเดินก็ยิ่งกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลใจ ถงอี๋เหนียงตกเลือด ข้าไม่เพียงแต่จะโดนหากเลขไปด้วยเท่านั้น ข้ามาแจ้งข่าวด้วยเจตนาที่ดี กลับถูกสาวใช้หัวแถวปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ รู้ทั้งรู้ว่าข้ากำลังตั้งครรภ์ แต่กลับยังให้ข้าไปหาป้าเถา หากคนที่ไปแจ้งเรื่องเป็นเหวินอี๋เหนียง ฮูหยินจะไม่สนใจอย่างนั้นหรือ สาวใช้น้อยคนนั้นสั่งสอนข้าเช่นนี้ ก็เพราะต้องการจะรังแกสาวใช้ห้องข้างอย่างข้าก็เท่านั้น…อีกอย่าง หากถงอี๋เหนียงเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของข้าคนเดียวเสียหน่อย เป็นถึงนายหญิงใหญ่แห่งจวน ฮูหยินไม่ได้ทำผิดจริงๆ หรือ สาวใช้ที่เข้าเวรไม่มีความผิดเลยหรืออย่างไรกัน พวกนางไม่ร้อนใจเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วข้าจะร้อนใจไปทำไม ในเมื่อต้องการให้ข้าไปหาป้าเถา ข้าก็ไปหาป้าเถาอย่างไรเล่า…” ฉินอี๋เหนียงพูดจบ ก็หยุดชะงักไปครู่ใหญ่
ครั้งนี้ นางหยุดพูดไปค่อนข้างนาน จากนั้นก็เม้มปากเป็นเส้นตรง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
ในใจของสวีซื่ออวี้สั่นสะท้านไปหมด ลางสังหรณ์บอกกับเขา ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เขาควรจะหยุดมันไว้แค่นี้ ไม่ต้องฟังต่อ แต่กลับมีความสงสัยและความประหลาดใจราวกับคลื่นทะเลที่น่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ บดบังลางสังหรณ์นั้นไปจนหมด
เขาได้ยินแล้วก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “ถ้าอย่างนั้น…แล้วต่อมาเกิดอะไรขึ้น”
“ต่อมา…” มุมปากของฉินอี๋เหนียงโค้งงอขึ้นมา เผยให้เห็นรอยยิ้มที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ข้าเป็นสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ อีกทั้งยังเป็นยามวิกาลที่ไร้ซึ่งผู้คน ย่อมทำได้เพียงเดินคลำตามผนังกำแพงอย่างช้าๆ ทีละก้าวเท่านั้น…”
รอยยิ้มนั้น บาดตาถึงเพียงนี้ สวีซื่ออวี้รู้สึกเพียงว่าดวงตาของเขาเริ่มเจ็บขึ้นมา เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดว่า “ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
น้ำเสียงที่หนักแน่นและเด็ดขาด พลอยทำให้สีหน้าของฉินอี๋เหนียงเปลี่ยนไปในทันที นางไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับรีบโต้แย้งกลับไปว่า “ข้าเปล่านะ ข้าไม่ได้ทำให้พี่หญิงปี้อวี้ตาย! ฮูหยินเป็นคนทำให้พี่หญิงปี้อวี้ตายต่างหาก ข้าก็แค่ไม่อยากให้นางคลอดบุตรชายก็เท่านั้น” ขณะที่นางกำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าของนางก็ปรากฏความดื้อดึงขึ้นมา “อีกอย่างฮูหยินก็ได้พูดแล้ว ถึงแม้ว่าจะเชิญหมอมาได้ เด็กก็ไม่รอดอยู่ดี คนที่ทำให้ปี้อวี้เสียชีวิตก็คือฮูหยิน ฮูหยินเห็นพี่หญิงปี้อวี้ตกเลือดท่วมทั้งเตียง แต่กลับไม่เชิญหมอมาแม้แต่คนเดียว หลังจากที่ไท่ฮูหยินและฮูหยินสองมาถึงแล้ว จึงได้สั่งให้เด็กไปเชิญหมอมา”
สวีซื่ออวี้จ้องมองสตรีที่กำลังตื่นตระหนกอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยความสับสนวุ่นวาย เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงต่ำ
เวลานั้นเอง ในเรือนก็เงียบสนิทขึ้นมา เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ถี่และหอบของฉินอี๋เหนียงเท่านั้น
เสี่ยวลู่จื่อและเหลียนเจียวหลบอยู่หลังม่านดอกไม้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
บรรยากาศที่เงียบสงบพลอยทำให้จิตใจของฉินอี๋เหนียงกระวนกระวายใจขึ้นมา
“นี่ก็คือโชคชะตา!” นางตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงที่ท่วมท้นไปด้วยความอ่อนแอแต่พยายามแสร้งว่าเข้มแข็ง “เวลาที่นางไม่สบายก็เอาแต่ทนไว้ ข้าเห็นว่าใบหน้าของไท่ฮูหยินแดงก่ำไปหมด ก็เลยแกล้งไม่สบาย เป็นลมล้มลงไปกองกับพื้น ดังนั้นข้าจึงสามารถคลอดบุตรชายคนโตออกมาได้อย่างปลอดภัย ส่วนนางกลับเสียชีวิต…ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะร้องขอความเป็นธรรมเสียด้วยซ้ำ!”
มือทั้งสองของฉินอี๋เหนียงไขว่คว้าอยู่กลางอากาศ แล้วจึงได้จับคอเสื้อของเขาไว้
นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “นี่ก็คือชะตาชีวิต!” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิงวอนเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังร้องขอให้สวีซื่ออวี้ผู้ซึ่งไม่เคยเห็นด้วยกับนางมาโดยตลอดให้เข้าใจนางบ้าง “ข้าหลบอยู่ในเรือนของฮูหยินสอง ไม่กล้าก้าวเท้าออกจากประตูแม้แต่ก้าวเดียว กว่าจะคลอดเจ้าออกมาได้ ไท่ฮูหยินกลับให้ฮูหยินสองไปแจ้งกับฮูหยิน ให้ฮูหยินรับพวกเราสองแม่ลูกกลับไป ข้าตกใจเป็นอย่างมาก กลัวว่านางจะมาคิดบัญชีข้ากับชิวหลัว และกลัวว่านางจะมีแผนร้ายกับเจ้า ดังนั้นข้าจึงนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน เอาแต่กราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน ขอพระโพธิสัตว์ช่วยปกป้องดูแล อย่าให้เราต้องกลับเข้าไปอีก แต่แล้ว…” จู่ๆ นางก็หัวเราะขึ้นมา “ฮูหยินกลับบอกว่า สุขภาพร่างกายของนางไม่ค่อยดี จึงจำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษา ในจวนก็มีงานการมากมายที่ต้องจัดการ นางจึงยุ่งเกินไป ก็เลยขอให้ฮูหยินสองช่วยดูแลเราสองแม่ลูกต่ออีกสักระยะหนึ่ง” จากนั้นนางก็หันมาหาสวีซื่ออวี้ด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย “เจ้าดูสิ นี่ก็คือโชคชะตาของชีวิต!” นางไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด นางพูดพึมพำคนเดียวต่อไปว่า “จากนั้นท่านโหวก็กลับมา ทะเลาะกับฮูหยินเสียยกใหญ่ อีกทั้งยังจับได้ว่าเหวินอี๋เหนียงแอบไปทำธุรกิจการค้าข้างนอกลับหลังสกุลสวี เหวินอี๋เหนียงจึงพลอยโดนดุด่าไปด้วย แล้วจึงย้ายไปพักที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น ตอนนั้นข้าทานเจทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้า ขอร้องวิงวอนพระโพธิสัตว์ให้คุ้มครองและปกปักรักษาท่านโหวกับฮูหยินให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขไปจนแก่เฒ่า…”
เขายังจำได้ ตอนนั้นตนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของบิดาของเขา แม่ใหญ่มักจะเย็นชาต่อเขา ทุกครั้งที่เขาไปคารวะ แม่ใหญ่ก็เพียงพยักหน้าหน้าตอบเท่านั้น จากนั้นก็ให้แม่นมพาเขาออกไป ต่อมา ภายใต้ความคิดเห็นของป้าสะใภ้สอง ไท่ฮูหยินก็ได้ให้เรือนหนึ่งหลังแก่เขาตามคำแนะนำของป้าสะใภ้สอง อี๋เหนียงยังคงอาศัยที่เรือนของป้าสะใภ้สองดังเดิม เวลาที่จะมาเยี่ยมเขาก็ยังต้องแอบมาแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่อี๋เหนียงเจอกับเขา ก็จะตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับตอนหลังๆ เพราะหลังจากที่แม่ใหญ่ให้กำเนิดสวีซื่อจุนแล้ว ถึงแม้ว่าอี๋เหนียงจะย้ายไปพักที่เรือนด้านหน้าของเขา แต่นางกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียส่วนใหญ่ ส่วนน้อยนักที่จะอารมณ์ดี นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อี๋เหนียงมักจะถูกป้าสะใภ้สองติว่า ‘เกินงาม’ อยู่เสมอ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ป้าสะใภ้สองก็เริ่มอบรมสอนสั่งเรื่อง ‘มารยาทและขนบธรรมเนียม’ ให้กับเขา ให้เขาพึงระลึกไว้เสมอว่าเขานั้นห่างไกลจากตำแหน่งซื่อจื่อผู้สืบทอดของตระกูลแค่ไหน…
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ จะมีชิวหลัวโผล่มา”
สวีซื่ออวี้ใจสั่นขึ้นมาทันที
ชิวหลัวไม่ได้ต่างจากถงอี๋เหนียงมากมายเท่าไรนัก นางเสียชีวิตลงและบุตรของนางก็เสียไปด้วย!
เขาจ้องมองฉินอี๋เหนียงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ฉินอี๋เหนียงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าร้อนใจจนแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นใด อีกอย่างครั้งนี้ฮูหยินก็ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นเคย ไม่เพียงแต่ดูแลชิวหลัวอย่างดี ยังให้ป้าเถามาติดตามคอยดูแลนางอีกด้วย แต่ไม่ว่าข้าหรือเหวินอี๋เหนียงก็ไม่ได้พูดคุยกับนางแม้แต่คำเดียว ผ่านไปไม่นาน ชิวหลัวก็ตั้งครรภ์”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ข้านับนิ้วคำนวณวันคลอด กราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน ขอให้เด็กที่นางคลอดออกมาเป็นเด็กผู้หญิง…รอจนหมอตำแยเข้าจวนมาแล้ว ข้าก็รีบเข้าไปตีสนิททันที ฉวยโอกาสนี้คิดหาวิธีเจอหน้าชิวหลัวสักครั้ง”
“เช่นนั้น…ท่านได้เจอหรือไม่” สวีซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็รีบถามขึ้นมาทันที
“หมอตำแยบอกว่าหากเด็กคลอดออกมาแล้วเป็นเด็กผู้หญิง ฮูหยินคงจะผิดหวังไม่น้อย ถ้าหากเป็นเด็กผู้ชาย ฮูหยินคงจะรีบอุ้มไปให้ท่านโหวและไท่ฮูหยินดูทันที ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน บ่าวรับใช้ของฮูหยินก็จะยังติดตามไปทุกที่ ถึงเวลานั้น ข้าก็จะถือโอกาสนี้ไปเจอกับชิวหลัว” จากนั้นฉินอี๋เหนียงก็พูดต่อด้วยความประหลาดใจว่า “ข้าให้เงินหมอตำแยคนนั้นไปห้าสิบตำลึง แต่พอถึงวันที่ทำคลอด ข้ากลับถูกฮูหยินสองใช้ให้ไปช่วยนางฝนหมึกที่เรือนของนาง ตั้งแต่วันที่ชิวหลัวเริ่มปวดท้องจนถึงวันที่นางคลอดบุตรชาย ใช้เวลาทั้งหมดร่วมสองวันสองคืนเต็ม ส่วนข้าก็ฝนหมึกให้กับฮูหยินสองตลอด”
สวีซื่ออวี้อึ้งไปชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ “สองวันสองคืนหรือ”
ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นดูเหมือนจะยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของฉินอี๋เหนียง นางรีบสะบัดแขนออกทันที แล้วจึงพูดขึ้นพึมพำว่า “ฮูหยินสองส่งเจี๋ยเซียงมาคอยจับตาดูข้าไว้ ข้าจะแอบงีบหรือจะอู้งานก็ได้ แต่ต้องห้ามออกจากห้องหนังสือเป็นอันขาด แม้แต่จะไปเข้าห้องน้ำ ก็ต้องให้เจี๋ยเซียงตามไปเฝ้าด้วย”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง
