หลี่จี้บุตรชายคนรองของผู้บัญชาการหลี่แห่งฝูเจี้ยนแต่งงาน ว่ากันว่าจัดพิธียิ่งใหญ่อลังการอย่างมาก ตอนที่สินสอดทองหมั้นชุดแรกของฝ่ายหญิงถูกยกเข้าไปไว้ในจวนใหม่ของสกุลหลี่ที่ตรอกกุ้ยซู่ สินสอดชุดสุดท้ายยังไม่ทันได้ออกจากจวนองค์หญิงอานเฉิงเลย สกุลหลี่ตั้งโต๊ะเฉลิมฉลองติดต่อกันห้าวัน มีเนื้อวางเต็มโต๊ะแปดจานใหญ่ บะหมี่ชามใหญ่สองชุด อีกทั้งยังเชิญคณะงิ้วสามคณะใหญ่ในเยี่ยนจิงมาผลัดกันร้องเพลงงิ้ว ขุนนางในราชสำนักไปจวนองค์หญิงอานเฉิง ส่วนครอบครัวขุนนางชั้นผู้น้อยไปที่ตรอกกุ้ยซู่ ทั้งเยี่ยนจิงพากันพูดถึงพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อเทียบกันแล้ว พิธีสรงสามของจิ่นเกอดูเล็กไปเลย
สืออีเหนียงเชิญเพียงแค่สหายสนิท จัดโต๊ะอาหารที่เรือนนอกสิบโต๊ะ โต๊ะอาหารที่ห้องโถงบุปผาเรือนในสิบกว่าโต๊ะ ในช่วงบ่ายมีหัวหน้าคณะเต๋ออินปานนามว่าโจวเต๋อฮุ่ย และหัวหน้าคณะฉังเซิงปานนามว่าเกิงฉังเซิงร่วมร้องงิ้วกันที่ห้องโถง
ไท่ฮูหยิน เจิ้งไท่จวิ๋นและคนอื่นๆ ชมละครงิ้วอยู่ที่โถงเตี่ยนชุน โจวฮูหยินและคนอื่นๆ กลับมารวมตัวพูดคุยกันอยู่ที่ห้องของสืออีเหนียง
“ตอนพิธีสรงสามข้ารู้สึกว่าเจ้ามีบางอย่างผิดปกติ” คุณนายสามสกุลหวงสำรวจมองสืออีเหนียง “เห็นว่าเจ้าพึ่งจะคลอดบุตร จึงมีบางคำที่ไม่ได้พูดออกไป แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง” ท่าทางดูกังวลเป็นอย่างมาก
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงแรกหมอหลวงหลิวมาถามอาการทุกวัน ตอนนี้ห้าวันมาหนึ่งครั้ง”
“เช่นนั้นก็ดี!” โจวฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “หมอหลวงหลิวดูแลสำนักหมอหลวงมายี่สิบปี มีทักษะวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม เจ้าอย่าได้กังวล ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป”
คุณนายใหญ่สกุลหลินกลับพูดติดตลกว่า “พี่สะใภ้ข้ากลับเอาแต่ใจจดใจจ่อรอที่จะแต่งสะใภ้เข้าเรือนเร็วๆ เมื่อถึงเวลานั้นก็อยากให้เจ้ามาเป็นผู้ดำเนินการในพิธีใหญ่ เจ้าจะละเลยการรักษาไม่ได้เด็ดขาด”
“วางใจเถิด วางใจเถิด” สืออีเหนียงพูดหยอกล้อนาง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ทำให้เรื่องมงคลของเด็กๆ ต้องล่าช้าไป”
ขณะที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ แม่นมกู้ก็อุ้มเด็กน้อยเข้ามา ด้านหลังยังมีลูกสะใภ้ของป้าวั่นตามมาด้วย นางถือถาดไห่ถังสีแดง ในถาดเต็มไปด้วยสร้อยคอจี้เงินและทอง สดใสแพรวพราวระยิบระยับ
“ไอ๊หยา! เจ้าของวันเกิดตัวน้อยของพวกเรามาแล้ว” โจวฮูหยินยิ้มพลางเข้าไปต้อนรับ “ไหนข้าดูหน่อยต่างจากตอนที่พึ่งคลอดหรือไม่” คุณนายสามสกุลหวงกับคุณนายใหญ่สกุลหลินก็ตามไปด้วย “เริ่มมีคิ้วขึ้นแล้ว เนื้อตัวดูขาวผ่อง ยิ่งเหมือนท่านโหวมากขึ้นเรื่อยๆ!”
สะใภ้วั่นถือถาดอย่างระมัดระวัง “ฮูหยิน ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่บรรดาใต้เท้าและนายท่านให้เป็นรางวัลเจ้าค่ะ”
สหายสนิทของสวีลิ่งอี๋ต่างพากันโห่ร้องอยากจะเห็นเด็กน้อย เมื่อครู่แม่นมกู้จึงอุ้มจิ่นเกอไปให้คนที่เรือนนอกดูเป็นพิเศษ
สืออีเหนียงพึ่งสังเกตเห็นว่าในถาดชายังมีหยกสีขาวแวววาวชั้นดี ทองคำก้อน กำไลเงินและอื่นๆ ปะปนมาด้วย นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านำสิ่งของเหล่านี้ไปเก็บ อีกสักครู่จะให้จู๋เซียงบอกเจ้าว่าต้องเขียนลงบัญชีอย่างไร ในเมื่อเจ้าปรนนิบัติรับใช้อยู่ในเรือนของคุณชายน้อยหกแล้ว เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ต้องเป็นคนจัดการจึงจะเหมาะสม”
สะใภ้วั่นได้ยินดังนั้นก็ย่อเข่าขานรับ “เจ้าค่ะ”
มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลเหลียงมาจ้าค่ะ”
หลานถิง!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “รีบเชิญเข้ามา” ทันทีที่พูดจบ หลานถิงที่สวมเสื้อแขนยาวสีแดงปักลวดลายดอกไม้ก็เดินเข้ามา
ผิวของนางขาวสว่างเหมือนหิมะ ใบหน้าดูสดใส ราวกับคุณหนูผู้สูงส่งไร้เดียงสาที่ยังไม่ได้แต่งงาน
“เจ้ามาสายแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้ม หลานถิงทักทายนาง ท่าทางดูสง่า “พี่หญิงทั้งหลายอย่าได้โกรธไป อีกสักครู่ข้าจะดื่มสุราสามจอกชดเชยความผิดให้” ทันทีที่เข้ามาก็พูดดักทางคนอื่นๆ ไว้หมดแล้ว
คุณนายสามสกุลหวงไม่อยากปล่อยนางไปเช่นนี้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนพูดเอง เมื่อถึงเวลานั้นห้ามหาข้ออ้างมาปฏิเสธเด็ดขาด”
“พี่หญิงเห็นว่าข้าเป็นคนพูดไม่เป็นคำพูดตั้งแต่เมื่อไรกัน” หลานถิงยิ้มพลางจับมือคุณนายสามสกุลหวง “พี่หญิงวางใจได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะนั่งข้างๆ ที่หญิงอย่างแน่นอน ให้พี่หญิงคอยจับตาดูข้าได้เลย” ทำเอาคุณนายสามสกุลหวงหันไปพูดกับโจวฮูหยินว่า “ฝีปากหลานถิงเริ่มเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
หลานถิงยิ้มกว้าง อุ้มจิ่นเกอมาไว้ในอ้อมแขน “เจ้าเด็กคนนี้ช่างตัวหนักเสียจริง” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “แต่อายุน้อยกว่าถงเกอของพวกเราตั้งหนึ่งปีห้าเดือน”
สืออีเหนียงกำลังจะตอบกลับ สาวใช้น้อยก็เข้ามารายงานว่า “กานฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
หลานถิงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
กานฮูหยินเดินเข้ามา สายตามองไปที่หลานถิง สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ส่งยิ้มทักทายทุกคน แล้วเข้าไปหาจิ่นเกอ “เจ้าเด็กคนนี้หน้าตาดูดีเสียจริง”
หลานถิงที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ยิ้มพลางส่งเด็กน้อยให้สืออีเหนียง
คุณนายสามสกุลหวงถามขึ้นมาว่า “ละครงิ้วทางด้านนั้นจบแล้วหรือ”
“ยังไม่จบ!” กานฮูหยินเหลือบมองหลานถิงอีกครั้ง “เกิงฉังเซิงขึ้นแสดงแล้ว ข้าไม่ชอบฟังทำนองคุนซาน”
“ข้าคิดว่าโจวเต๋อฮุ่ยร้องดีกว่า!” พอพูดถึงเรื่องละครงิ้ว ทุกคนก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของตัวเอง เหมือนกับกำลังพูดคุยเกี่ยวกับนักร้องที่ตัวเองชื่นชอบ ดูเชี่ยวชาญเกี่ยวกับบทเพลงต่างๆ เป็นอย่างมาก มีเพียงหลานถิงที่ดูเงียบไป และกานฮูหยินที่ดูท่าทางอึดอัดเล็กน้อย
ทุกคนพูดคุยกันอยู่นาน ป้าซ่งก็เข้ามาเชิญพวกนางไปที่ห้องโถงบุปผา ได้เวลาทานอาหารเย็นแล้ว
ทุกคนยิ้มพลางกล่าวลาสืออีเหนียง
หลานถิงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามาสายจะอยู่เป็นเพื่อนสืออีเหนียงต่ออีกสักครู่หนึ่ง พวกท่านไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าตามไปเจ้าค่ะ!”
กานฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ชะงักฝีเท้า
คุณนายสามสกุลหวงไม่ได้สนใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าพอถึงเวลาก็จะหาข้ออ้างปลีกตัวออกไป!”
สีหน้าของหลานถิงเผยให้เห็นความหงุดหงิดอยู่แวบหนึ่ง เพียงไม่นานก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงหวงวางใจได้ หากอีกสักครู่ข้าไม่ไป ท่านค่อยส่งคนมาพาตัวข้าไปเถิด!” รอยยิ้มดูไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย
คุณนายสามสกุลหวงกำลังจะพูดต่อ แต่โจวฮูหยินกลับดึงแขนเสื้อนางเบาๆ “เจ้าเป็นพี่ มีที่ไหนมาถือสาเอาความน้อง” จากนั้นก็หันไปพูดกับคนอื่น “พวกเรารีบหน่อยเถิด! มาหลบอยู่ที่นี่นานแล้ว ถ้าหากไปทานอาหารเย็นสาย เกรงว่าไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ จะให้พวกเราดื่มสุราเป็นการทำโทษ” คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนมีไหวพริบ มีหรือจะฟังไม่ออกจึงปิดปากหัวเราะแล้วเดินออกไปกับโจวฮูหยิน
กานฮูหยินเดินอยู่ด้านหลังสุด เหลือบมองหลานถิงที่กำลังพูดคุยอยู่กับสืออีเหนียง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” สืออีเหนียงถามหลานถิงด้วยความเป็นห่วง
หลานถิงก็ไม่ได้ปิดบังนาง “พี่ใหญ่ทำกิจการกับคนในสกุลของปั้นถังกงแห่งหยางโจว อยากให้พ่อสามีของข้าไปพูดคุยกับกรมท่าเมืองเฉวียนโจวให้ ข้าลองถามความคิดของพ่อสามีดูแล้ว พ่อสามีไม่เพียงแต่ลำบากใจเป็นอย่างมาก ซ้ำยังตักเตือนข้าอย่างอ้อมค้อมว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการที่ฝูเจี้ยน” นางยิ้มเจื่อนๆ “ข้าบอกกับพี่ใหญ่ไปแล้ว แต่พี่ใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ฟังซ้ำยังบอกว่าข้าไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ เมื่อครู่พอข้าลงจากเกี้ยว พี่สะใภ้ใหญ่ก็มาหาข้าเพื่อพูดเรื่องนี้ ข้าจะอธิบายอย่างไรก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน จึงทำได้เพียงมาหลบอยู่กับเจ้าที่นี่”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็อดถอนหายใจไม่ได้ พูดถึงตอนนั้นที่สวีลิ่งอี๋เคยช่วยกานไท่ฮูหยินตักเตือนจงฉินปั๋ว “…ไม่รู้ว่าตอนนี้ฝูเจี้ยนอยู่ในสถานการณ์แบบไหน บางคนก็กลัวที่จะแปดเปื้อนไปด้วย บางคนกลับกระตือรือร้นที่จะเข้าไปข้องเกี่ยว ช่างหน้าเป็นห่วงเสียจริง” ขณะที่นางกำลังพูดประโยคนี้ก็นึกถึงสกุลโอวขึ้นมา
หลานถิงกระซิบข้างหูนางว่า “ครั้งที่แล้วพี่หญิงเขียนจดหมายมาบอกว่าคนสกุลโอวต่อสู้กันอย่างหนัก สกุลที่มีชื่อเสียงบางสกุลในฝูเจี้ยนก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ก็มีบางคนที่หลบไปอยู่ที่เจียงหนาน แม้แต่สกุลเจียงก็ยังเตือนลูกหลานให้อยู่ในกฏระเบียบ ห้ามทำตัวหยิ่งยโสเป็นอันขาด หากไปทำสิ่งที่ผิดเข้าก็จะถูกไล่ออกจากจวนทันที”
สีหน้าของสืออีเหนียงพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ราชวงศ์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีเพียงคนในสกุลเท่านั้นที่จะผูกพันกันชั่วนิรันดร์ แต่หากถูกไล่ออกจากจวนก็เท่ากับถูกสังคมทอดทิ้ง
แต่การที่คนในสกุลโอวทะเลาะกันเองกลับถือเป็นข่าวดีสำหรับสกุลสวี
“คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะร้ายแรงขนาดนี้” นางพูดพึมพำ “เฉาเอ๋อร์อยู่ที่นั่นสบายดีหรือไม่”
“จะสบายดีได้อย่างไรเล่า!” หลานถิงพูดอย่างจนปัญญาว่า “พี่เขยสามมีบุตรชายอนุสองคนและบุตรสาวอนุหนึ่งคนแล้ว”
“เหตุใดสกุลเจียงถึงได้เป็นเช่นนี้” สืออีเหนียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ภรรยาเอกยังไม่ทันได้เข้าจวนก็อนุญาตให้อนุภรรยาคลอดบุตรสาวบุตรชายแล้ว
“ตอนที่พี่หญิงสามแต่งเข้าไป พี่เขยสามก็อายุปาไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ในเรือนจะไม่มีคนได้อย่างไรกัน” หลานถิงพูดอย่างขมขื่นว่า “ในบรรดาบุตรสาวบุตรชายอนุเหล่านั้น โตสุดก็อายุเพียงหนึ่งปีกว่าเท่านั้น”
หนึ่งปีกว่า…นับวันดูแล้ว เป็นช่วงเวลาหลังจากที่สกุลกานทะเลาะกันเรื่องแบ่งทรัพย์สิน และสกุลเจียงส่งผู้ดูแลหญิงมาดูแล
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน กานฮูหยินก็กลับมา “หลานถิง ทางฝั่งไท่ฮูหยินถามหาเจ้า” สุดท้ายก็มาเร่งจนได้
หลานถิงมองสืออีเหนียงเพื่อขอความช่วยเหลือ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “บังเอิญว่าข้ามีเรื่องจะขอให้หลานถิงช่วยพอดี กานฮูหยินไปก่อนเถิด พอพวกเราพูดเรื่องนี้กันเสร็จก็จะแยกย้ายกันแล้ว”
กานฮูหยินหมดปัญญาจึงเดินออกไปด้วยความผิดหวัง
หลานถิงจับมือสืออีเหนียง “ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว!”
“มีอะไรต้องลำบากกัน!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ค่อยชอบพี่สะใภ้ของเจ้าผู้นี้เท่าไร”
หลานถิงได้ฟังแล้วก็หัวเราะ
สืออีเหนียงให้นางอยู่ทานข้าวเย็น ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟ ก็ส่งสาวใช้น้อยไปสืบดูกานฮูหยินที่ห้องโถงบุปผา
“ยังไม่ไปเจ้าค่ะ” สาวใช้น้อยพูดต่ออีกว่า “กำลังพูดคุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยินและหวงฮูหยินเจ้าค่ะ”
“ดูท่าทางแล้วนางต้องการจะพบเจ้าให้ได้” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “หลบกันอยู่อย่างนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี ข้าว่าเจ้ากลับไปทางประตูหลังดีกว่า ถงเกอยังรออยู่ที่เรือน!”
หลานถิงสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย พยักหน้าเบาๆ
******
สวีลิ่งอี๋กลับมาตอนกลางคืน สืออีเหนียงเล่าคำพูดของหลานถิงให้เขาฟัง “…สถานการณ์ในฝูเจี้ยนซับซ้อนขนาดนี้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เอ่ยเสียงเรียบว่า “ก็ไม่ถึงขั้นซับซ้อน ข้าแค่ไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วม ต่างคนต่างก็เก็บกวาดหิมะหน้าประตูของตัวเองก็พอ” พูดพลางนั่งลงข้างเตียง ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “วันนี้ข้าได้ยินข่าวดีมาหนึ่งเรื่อง เซ่าจ้งหรานสอบผ่านศิลปะการต่อสู้อู่จวี่แล้ว”
“จริงหรือ!” สืออีเหนียงดีใจอย่างมาก “เมื่อครู่ตอนที่คุณนายใหญ่สกุลหลินมาก็ไม่เห็นพูดถึง”
“ข้าเองก็พึ่งได้ข่าวมา” หมายความว่าข่าวของคุณนายใหญ่สกุลหลินไม่เร็วเท่าเขาอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงยิ้มอย่างสดใส
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “มีความสุขมากขนาดนี้เลยหรือ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “หากเป็นเช่นนี้พอเจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปก็จะมีหน้ามีตา”
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็หาตำแหน่งให้เขาเลยไม่ดีกว่าหรือ…เวลาแต่งงานก็จะได้มีหน้ามีตามากกว่าเดิม”
“อย่านะเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “พอคนเราโตแล้ว สิ่งที่ส่งเสริมให้ต้นกล้าเติบโตก็ไร้ประโยชน์ ข้าว่าเซ่าจ้งหรานเป็นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว สอบศิลปะการต่อสู้ซิ่วไฉแล้วค่อยสอบศิลปะการต่อสู้อู่จวี่ พอสอบผ่านศิลปะการต่อสู้อู่จวี่แล้วก็ค่อยสอบเป็นบัณฑิตสายต่อสู้ พอสอบผ่านบัณฑิตสายต่อสู้แล้วก็ค่อยหาตำแหน่ง ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำอะไรก็ทำอันนั้น จิตใจจะได้สงบมากขึ้น อีกอย่างชีวิตคนก็เป็นเพียงกระบวนการเติบโต สิ่งที่สำคัญคือการชื่นชมทิวทัศน์รอบตัวขณะที่กำลังก้าวไปข้างหน้าต่างหาก”
“เจ้าช่างสรรหาถ้อยคำใหม่ๆ มาพูดยิ่งนัก” สวีลิ่งอี๋หัวเราะ จากนั้นก็ถามถึงจิ่นเกอ “…เขาไปไหนแล้ว แม่นมอุ้มไปป้อนนมแล้วหรือ”
ทันทีที่พูดจบ จู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่าสืออีเหนียงมีความแปลกอยู่มากมาย นางไม่ชอบเห็นตอนที่แม่นมป้อนนมจิ่นเกอ ดังนั้นตอนที่แม่นมป้อนนมจึงต้องหลบไปอยู่ที่อื่น
สืออีเหนียงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เห็นแม่นมกู้อุ้มจิ่นเกอเดินเข้ามา
