สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปอุ้มบุตรชาย ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “วันนี้จิ่นเกอของพวกเราโดดเด่นมาก!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในฐานะพ่อคน “แม้แต่เสียงดังของเหล่าจัวก็ไม่สามารถปลุกให้เขาตื่นได้ เจียงเฟยอวิ๋นยังชมว่าเขานิ่งสงบและไม่อ่อนไหวง่ายต่อสิ่งรบกวนภายนอก!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนก็พูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง”
“ข้ารู้ว่าเป็นการพูดไปตามมารยาท” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางนั่งลงข้างเตียง “แต่ว่าจิ่นเกอก็กล้าไม่น้อย เมื่อก่อนตอนที่อยู่ค่ายทหาร สิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุดก็คือเสียงของเหล่าจัว เขาตะโกนอย่างสนุกสนาน เสียงดังราวกับฟ้าผ่า อย่าว่าแต่นอนหลับเลย แค่ได้ยินก็รู้สึกทรมานแล้ว” พูดพลางหอมแก้มจิ่นเกอที่กำลังหลับสนิท “เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเจียงเฟยอวิ๋นนั้นสมเหตุสมผล”
สืออีเหนียงได้ฟังก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
สุดท้ายแล้วสวีลิ่งอี๋ยังคงรู้สึกว่าคำพูดที่เจียงเฟยอวิ๋นเอ่ยชมจิ่นเกอนั้นสมเหตุสมผล
พอเป็นพ่อคนแม่คนแล้วมักจะเข้าข้างบุตรของตัวเองกระมัง
“ท่านโหวรีบไปเปลี่ยนชุดเถิดเจ้าค่ะ! ระวังกลิ่นสุราจะทำให้ลูกรู้สึกไม่สบาย”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” แล้วอุ้มจิ่นเกออยู่นานก่อนจะลุกไปห้องชำระ
สืออีเหนียงให้แม่นมกู้ยกน้ำอุ่นมาเช็ดหน้าให้จิ่นเกอ
แม่นมกู้ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง “ท่านโหวของเราเวลามองจิ่นเกอแววตานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าโปรดปรานเขามากแค่ไหน!”
สืออีเหนียงมือหยุดชะงักไปครู่หนึ่งขณะที่กำลังถือผ้าเช็ดหน้า เงียบไปนานก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ต่อไปห้ามพูดเช่นนี้อีก เด็กส่วนใหญ่มักจะได้ใจเวลาถูกเยินยอ จะเลี้ยงให้เขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไม่ได้!”
แม่นมกู้เกิดในชนบท ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดเอาใจสืออีเหนียง “ฮูหยินทำเช่นนี้ก็เปรียบดั่งมารดาของเมิ่งจื่อ ได้ยินมาว่านางย้ายบ้านถึงสามครั้งเพื่อแสวงหาสถานที่ที่ดีและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการสั่งสอนบุตรเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเทียบกับมารดาของเมิ่งจื่อไม่ได้หรอก แต่ว่าต้องเรียนรู้จากนาง พวกเจ้าก็อย่าต่อหน้าข้าทำอย่าง ลับหลังทำอีกอย่าง เมื่อถึงเวลานั้นพอเขาเห็นว่าข้าเคร่งครัด ต่อหน้าข้าก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง พอเห็นว่าพวกเจ้าเอาใจเขา พออยู่ต่อหน้าพวกเจ้าก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง สุดท้ายมันจะไปทำลายอนาคตและชีวิตของเขา”
แม่นมกู้รีบพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยินวางใจได้ ไม่ว่าท่านจะมีคำสั่งอะไร บ่าวจะไม่ฝ่าฝืนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
******
ในเมื่อหมดช่วงอยู่ไฟแล้ว จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการไปคารวะไท่ฮูหยินตามปกติได้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงพาแม่นมกู้ที่กำลังอุ้มจิ่นเกอไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็เอ่ยตำหนิว่า “เจ้าเด็กคนนี้ จะรีบร้อนทำไม ควรจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากันสิ” พูดพลางจูงมือนางมานั่งลงบนเตียงเตา
“ก็เพียงแค่เดินจากเรือนหลักมาที่เรือนท่าน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร อีกอย่างวันๆ ก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียงจนตัวจะขึ้นราอยู่แล้วก็เลยถือโอกาสมาเดินเล่นสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“ถึงแม้ว่าจะมาเดินเล่นก็ไม่จำเป็นต้องมาแต่เช้าเช่นนี้” ไท่ฮูหยินพูดพลางส่งสัญญาณให้แม่นมกู้อุ้มจิ่นเกอเดินมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นเด็กกตัญญู แต่การแสดงความกตัญญูนั้นก็มีหลายร้อยพันวิธี การมาคารวะเช้าเย็นก็เป็นวิธีหนึ่ง การที่เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ดูแลเจ้าสี่ อบรมสั่งสอนเลี้ยงดูลูกๆ ดูแลเรื่องในเรือน ทำให้ข้าสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายใจก็ถือเป็นวิธีการแสดงความกตัญญูอย่างหนึ่งเช่นกัน” ขณะที่พูดก็อุ้มจิ่นเกอมาไว้ในอ้อมแขน “ฟังคำข้า เจ้าพักผ่อนก่อนสักสามถึงห้าเดือน พอร่างกายดีขึ้นแล้วค่อยมาคารวะข้าก็ยังไม่สาย”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกละอายใจ
พอตัวเองป่วยไท่ฮูหยินก็ต้องรับผิดชอบเรื่องในเรือนทั้งหมด พอตั้งใจคิดอย่างจริงจัง ความกตัญญูของตัวเองนั้นเป็นการแสดงออกเพียงภายนอกเท่านั้น
สืออีเหนียงหน้าแดงเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่พูดถูกแล้ว”
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย ก้มลงมองจิ่นเกอที่กำลังลืมตาอยู่ “ดูดวงตาคู่นี้สิ ทั้งดำทั้งสุกใส ไม่รู้ว่ามีชีวิตชีวามากแค่ไหน”
ป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าสืออีเหนียงมีสีหน้าอึดอัดจึงรีบพูดหยอกล้อว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยิ่งมองบ่าวก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนกับท่านโหวตอนเด็กๆ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ก็มีผู้ดูแลหญิงเข้ามาขอคำแนะนำจากไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
ไท่ฮูหยินกลับให้จิ่นเกออยู่ต่อ “…เจ้าไปพักผ่อนเถิด! ให้จิ่นเกออยู่เป็นเพื่อนข้า” ท่าทางชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก
ผู้สูงอายุมักจะชอบเด็กน้อย ยิ่งจิ่นเกอนั้นเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในเรือน
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินห้ากำลังตั้งครรภ์
ไม่แน่หากฮูหยินห้าคลอดบุตรแล้ว ไท่ฮูหยินอาจจะสนใจจิ่นเกอน้อยลงก็เป็นได้
แม้ว่าในใจสืออีเหนียงจะไม่อยากให้จิ่นเกออยู่ที่นี่ แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะทำให้ไท่ฮูหยินเศร้าใจ จึงทำได้เพียงกำชับแม่นมกู้ สะใภ้ว่าน หงเหวิน อาจินและคนอื่นๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ดูแลจิ่นเกอให้ดี ส่วนตัวเองก็ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
พอเดินออกประตูมาก็เห็นเมฆครึ้มเต็มท้องฟ้า มีลมพัดมาจากทางเหนือ ทำเอารู้สึกหนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูก
“ดูท่าแล้วเกรงว่าหิมะใกล้จะตกแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วแหงนหน้ามองท้องฟ้า
สืออีเหนียงดึงเสื้อคลุมมาคลุม พูดด้วยรอยยิ้ม “หิมะตกนั้นเป็นลางบอกว่าปีหน้าจะอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งพวกเรายังได้เพลิดเพลินกับการดูหิมะ” พูดพลางเดินไปทางด้านหลังจวน “พวกเราไปเยี่ยนฮูหยินห้ากันเถิด นางกำลังตั้งครรภ์ ตอนนั้นข้าอยู่ในช่วงอยู่ไฟเลยไม่สะดวกไปเยี่ยม ตอนนี้หมดช่วงอยู่ไฟแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ!” หู่พั่วขานรับพลางพยุงสืออีเหนียงไปหาฮูหยินห้า
เมื่อฮูหยินห้าเห็นนางก็ประหลาดใจเล็กน้อย ต้อนรับนางไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างด้วยความเกรงใจ แล้วสั่งให้สาวใช้น้อยนำชากับขนมมาวาง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ซินเจี่ยเอ๋อร์เล่า เหตุใดถึงไม่เห็นซินเจี่ยเอ๋อร์เลย”
เมื่อได้ยินคนถามถึงบุตรสาวสุดที่รักของตัวเอง สีหน้าของฮูหยินห้าก็ผ่อนคลายลง ยิ้มแล้วพูดว่า “นางอยู่ไม่นิ่ง ตอนนี้ป้าติ้งกำลังเล่นเป็นเพื่อนนางอยู่ด้านนอก!”
สืออีเหนียงถามไถ่ถึงสุขภาพของนาง
“ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วมาก” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งที่แล้วอาเจียนอย่างหนัก แต่ครั้งนี้ไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าสบายดี” แล้วพูดต่อไปว่า “พี่สะใภ้สี่ยังไม่แข็งแรง อย่าได้กังวลเรื่องเหล่านี้เลย การพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
ทั้งสองคนถามไถ่กันอยู่นานจนกระทั่งซินเจี่ยเอ๋อร์กลับมา ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงดูอารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย บอกให้นางทักทายสืออีเหนียงก็ไม่ทำ แล้วยังงอแงจะให้ฮูหยินห้าอุ้มให้ได้ สืออีเหนียงจึงกล่าวลาแล้วกลับเรือน
จู๋เซียงออกมาต้อนรับ “บ่าวกำลังคิดว่าจะไปหาท่าน คุณนายใหญ่สกุลหลินมาเจ้าค่ะ พอรู้ว่าท่านไปเรือนไท่ฮูหยินก็มารอท่านเป็นเวลาครึ่งก้านธูปแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจเล็กน้อย รีบสาวเท้าเดินเข้าไปในเรือน
คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นดังนั้นเข้ามาต้อนรับ ไม่รอให้สืออีเหนียงเอ่ยปากก็ยิ้มแล้วพูดว่า“ข้าเป็นคนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ พอรู้ว่าจ้งหรานสอบติดก็รีบวิ่งมาบอกเจ้าทันที!”
เช่นนี้ก็หมายความว่าสกุลหลินก็รู้แล้วเช่นกัน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เพียงแต่เป็นหลานชายของท่าน ทั้งยังเป็นท่านเขยใหญ่สกุลเรา พวกเราต่างก็ปิติยินดีร่วมกัน”
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนั้นก็ปิดปากหัวเราะ “พวกเราสองคนนี่ ยกยอชื่นชมคนในสกุลกันเอง”
ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็พากันไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างห้องปีกทิศตะวันตก
คุณนายใหญ่สกุลหลินเล่าให้ฟังว่าเซ่าจ้งหรานกตัญญูอย่างไร เวลากระทำการต่างๆ สงบนิ่งมากแค่ไหน
สืออีเหนียงเข้าใจจุดประสงค์ของนางจึงคล้อยตามคำพูดของนางไป
คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นว่าสืออีเหนียงฟังอย่างตั้งใจก็รู้สึกสบายใจ
งานแต่งของหลี่จี้เป็นที่รู้จักของทุกคน คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ในใจของคุณนายใหญ่สกุลหลินกลับแจ่มชัดอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นนางยื่นมือเข้าไปแทรก ไม่แน่หลี่จี้อาจจะได้เป็นบุตรเขยของสกุลสวี แม้ว่านางจะรู้สึกว่าเซ่าจ้งหรานก็ไม่ได้แย่กว่าหลี่จี้ แต่ตอนนี้หลี่จี้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของทุกคน แต่เซ่าจ้งหรานกลับขาดการยอมรับอยู่บ้าง นางกลัวว่าสืออีเหนียงจะรู้สึกไม่สบายใจ จึงตั้งใจมาแสดงความยินดีกับสืออีเหนียงด้วยตัวเอง ถือเป็นการรายงานข่าวไปในตัว
สืออีเหนียงคิดว่าในเมื่อมีข่าวของเซ่าจ้งหรานจากชังโจว ก็ควรมีข่าวของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ด้วย พูดเรื่องของเซ่าจ้งหรานแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามถึงฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “…นางปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในชังโจวได้แล้วกระมัง”
“สกุลเติ้งกับสกุลเซ่าเดิมทีก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” คุณนายใหญ่สกุลหลินพลันนึกถึงแววตาของบุตรสาวที่เต็มไปด้วยความสุข “ถือว่านางปรับตัวได้มากทีเดียว หลังจากไปที่นั่นก็ให้ความเคารพต่อพ่อแม่สามี ให้ความเคารพสามี และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบรรดาญาติๆ และบรรดาสะใภ้ ไม่รู้ว่าเติ้งเหล่าไท่จวินชื่นชอบนางมากแค่ไหน อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่บรรดาท่านลุงท่านป้าของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ยังตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่านางจะมีวันนี้”
“เด็กก็มักจะเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เสมอ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดอีกว่า “แต่ความจริงแล้วพอห่างจากท่าน นางก็มีความคิดเป็นของตัวเองมากมาย”
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า” คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า เปลี่ยนไปพูดถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…เจ้าก็ควรจะปล่อยวางได้แล้ว” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้ายังหวังให้นางแต่งเข้าไปเร็วๆ ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเราจะได้มีเพื่อน”
ที่สำคัญคือสืออีเหนียงกังวลว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะให้กำเนิดบุตรเร็วเกินไป ตัวนางเองก็ได้เจอกับอุปสรรคเช่นนี้ แต่กลับไม่อาจบอกคุณนายใหญ่สกุลหลินได้ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยู่รอบตัวนางพออายุสิบสี่สิบห้าปีก็แต่งงานแล้ว หากพูดมากไปทุกคนก็จะคิดว่านางประหลาด จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากำลังสอนนางให้รู้จักดูแลเรือนอยู่เจ้าค่ะ!”
“แล้วก็ยังจะมาว่าข้า พอถึงตาเจ้า เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับข้า”
ทั้งสองคนคุยไปหัวเราะไป
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยิน ยาต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้น “เช่นนั้นเจ้าก็ดื่มยาก่อนเถิด! ข้าจะไปหาไท่ฮูหยิน ไปบ่นให้นางฟังสักหน่อย”
สืออีเหนียงเดินไปเดินมาเลยทำให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงยิ้มพลางส่งคุณนายใหญ่สกุลหลินออกไป กำชับจู๋เซียงให้ส่งคุณนายใหญ่สกุลหลินไปหาไท่ฮูหยิน ส่วนตัวเองกลับไปดื่มยาที่ห้อง พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หลับไป
******
หลังจากที่ได้นอนหลับ พอตื่นขึ้นมาตาก็เหลือบไปเห็นจิ่นเกอที่หลับอยู่ข้างหมอนตัวเอง
นางรีบลุกขึ้นนั่ง พูดกับชิวอวี่ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างเตียงว่า “คุณชายน้อยหกกลับมาแล้วทำไมเจ้าไม่บอกข้าสักคำ”
ชิวอวี่รีบพูดขึ้นมาว่า “ไท่ฮูหยินเห็นว่าท่านหลับสนิทจึงไม่ให้พวกเราปลุกเจ้าค่ะ” ทันทีที่พูดจบก็มีสาวใช้น้อยพูดผ่านผ้าม่านว่า “ฮูหยิน สะใภ้กานเหล่าเฉวียนมาคารวะท่านเจ้าค่ะ!”
ตั้งแต่ที่กานเหล่าเฉวียนซื้อเรือนให้คุณชายสามเป็นการส่วนตัวในเยี่ยนจิง สืออีเหนียงก็ไม่แน่ใจว่ากานเหล่าเฉวียนอยู่ที่ซานหยางมากกว่าหรืออยู่ที่เยี่ยนจิงมากกว่ากันแน่
“เชิญนางเข้ามา!” สืออีเหนียงเอนหลังพิงหมอนอิงแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน
สาวใช้น้อยขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วเปิดผ้าม่าน สะใภ้กานเหล่าเฉวียนเข้ามาโขกศีรษะคำนับสืออีเหนียงสามครั้ง “จะตรุษจีนแล้วฮูหยินสามให้พวกบ่าวสองสามีภรรยานำคนกลับเยี่ยนจิงมามอบของขวัญตรุษจีนให้ไท่ฮูหยินกับท่านโหว บ่าวจึงเข้ามาโขกศีรษะคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง ถามถึงสถานการณ์ของคุณชายสามกับฮูหยินสาม
“คุณชายสามกับฮูหยินสามสบายดีเจ้าค่ะ” สะใภ้กานเหล่าเฉวียนยิ้มแล้วพูดอีกว่า “แต่ฮูหยินสามนึกขึ้นได้ว่าการหมั้นหมายของคุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสามยังไม่มีข่าวคราว” พอพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ
สืออีเหนียงอดเดาไม่ได้ว่าการที่สะใภ้กานเหล่าเฉวียนเข้าจวนมาคารวะนั้นเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากฮูหยินสามให้มาเร่งพวกนางให้กำหนดการหมั้นหมายของสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนให้เร็วขึ้นหรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด สะใภ้กานเหล่าเฉวียนก็พูดว่า “โชคดีที่หลายวันก่อนหน้านี้คุณชายสามได้เลื่อนตำแหน่ง จึงไปขอหมั้นหมายบุตรสาวคนโตของนายอำเภอฟังที่อยู่เขตใกล้เคียงให้กับคุณชายน้อยใหญ่ของพวกเราเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ
ฮูหยินสามไม่ได้อยากได้ลูกสะใภ้จากตระกูลสูงศักดิ์มาตลอดหรอกหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ไปหมั้นหมาย แต่งบุตรสาวนายอำเภอให้สวีซื่อฉินเล่า
