บ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติในเรือนไท่ฮูหยินต่างก็พากันหลบออกมาอยู่นอกเรือน ไท่ฮูหยินกำลังเอนกายพิงหมอนอิงที่ปักลายด้วยด้ายดำ พูดคุยกับฮูหยินสองเสียงเบาว่า “…ฮ่องเต้จะกำจัดสกุลหยางแล้ว ฟังจากที่เจ้าสี่พูด คราวนี้เกรงว่าจะมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย”
ฮูหยินสองไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ใช้ค้อนเหม่ยเหรินทุบที่น่องของไท่ฮูหยินอย่างเบามือ “ยิ่งฮ่องเต้ปล่อยสกุลหยางให้ทำตามใจมากเท่าไร เวลาจัดการก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น อีกอย่างหลายปีมานี้ฮ่องเต้ก็มุ่งมั่นที่จะใช้นโยบายใหม่ เรื่องของสกุลหยางสามารถให้ฮ่องเต้นำมาใช้เป็นข้ออ้างได้พอดี มิเช่นนั้นขุนนางเก่าแก่อย่างหลินเก๋อเหล่าที่เคยรับใช้ฮ่องเต้องค์ก่อนก็จะเอาแต่ต่อต้านนโยบายปิดปากอ่าวทะเล คงไม่สามารถไล่คนออกได้เพียงเรื่องแค่นี้กระมัง จะว่าไปแล้วหลิวเก๋อเหล่านับว่ามีไหวพริบดีที่ออกปากลาออกเอง อย่างน้อยก็จะได้จบลงด้วยดี”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ “ข้าเกรงว่าเรื่องนี้จะดึงคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป เมื่อถึงเวลานั้นเมืองหลวงก็จะวุ่นวายอีกครั้ง”
ฮูหยินสองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “ข้าว่าท่านกลัวว่าจะมีคนมาขอความช่วยเหลือจากท่านมากกว่ากระมัง จะช่วยก็ไม่ได้ ไม่ช่วยก็ไม่ได้ ลำบากใจทั้งสองทางใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง” ไท่ฮูหยินมองฮูหยินสองด้วยรอยยิ้ม แววตาแฝงไว้ด้วยความรักและเอ็นดู
“นั่นเป็นเพราะท่านเจอปัญหาเช่นนี้อยู่บ่อยๆ” ฮูหยินสองวางค้อนเหม่ยเหรินลง ลุกขึ้นแล้วเทน้ำร้อนใส่ถ้วยชาที่เย็นแล้วให้ไท่ฮูหยิน “ท่านว่าให้ข้าช่วยส่งข่าวให้ท่านดีหรือไม่”
ไท่ฮูหยินลังเลเล็กน้อย
“ซื่อจื่อสกุลหวงเองก็ทำเงินได้มากมายเช่นกันในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้” ฮูหยินสองนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน พูดเสียงเบาว่า “หากเป็นคนที่ไม่รู้จักพอ ต่อให้ท่านช่วยเขาในครั้งนี้ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่มีครั้งต่อไป”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าก็ไปที่สกุลหวงสักหน่อยเถิด!”
ฮูหยินสองตอบรับด้วยรอยยิ้ม ช่วยห่มผ้าห่มผืนบางให้ไท่ฮูหยิน “ท่านพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ! ไม่ต้องห่วงเรื่องเหล่านี้แล้ว ข้างนอกยังมีท่านโหว ท่านโหวรู้อยู่แก่ใจดีว่าควรทำอย่างไร!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความโล่งใจ
******
กว่าจะกล่อมให้จิ่นเกอหลับได้ไม่ง่ายเลย สืออีเหนียงไม่สามารถปกปิดความอ่อนเพลียบนใบหน้าได้ นางกำชับชิวอวี่ “ข้าจะไปพักผ่อนสักหน่อย หากมีเรื่องอันใดเจ้าก็มาเรียกข้า!”
ในวันแรกของตรุษจีน แม้ว่าแต่ละเรือนจะให้รายชื่อแก่คนเฝ้าประตูของแต่ละเรือน แต่ก็ยากที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนที่มาเยี่ยมเยียนเป็นญาติใกล้ชิดหรือไม่
ชิวอวีขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” แล้วปรนนิบัติสืออีเหนียงพักผ่อน
พอนางตื่นขึ้นมา ในเรือนก็จุดโคมไฟสว่างไสว
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่ง “ตอนนี้ยามไหนแล้ว จิ่นเกอได้งอแงอีกหรือไม่ ท่านโหวยังไม่กลับเรือนอีกหรือ ทางด้านไท่ฮูหยินมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
ชิวอวี่ที่คอยรับใช้อยู่หน้าเตียงเห็นว่านางถามด้วยความร้อนใจจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ต้นยามโหย่วสามเค่อ คุณชายน้อยหกพึ่งตื่นขึ้นมาทานนม ตอนนี้หลับไปแล้วเจ้าค่ะ ในช่วงเวลานั้นหมอหลวงอู๋จากสำนักหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้คุณชายน้อยหก บอกว่าชีพจรคุณชายน้อยหกปกติและแข็งแรงดีเจ้าค่ะ! แล้วก็เขียนใบสั่งยาสำหรับบำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แต่เห็นว่าท่านยังไม่ได้ดูก็เลยยังไม่ได้สั่งให้คนไปจัดยา ท่านโหวยังไม่ได้กลับเรือน ทางฝั่งไท่ฮูหยินก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็นิ่งไป ก่อนจะพูดเสียงเบากว่าเดิมว่า “แต่ว่าตอนที่ท่านหลับไปได้ไม่นานฮูหยินสองก็ออกจากจวนไป ได้ยินคนที่คอกม้าบอกว่าฮูหยินสองไปจวนหย่งชังโหว พึ่งจะกลับมาเมื่อครู่นี้ ส่วนทางด้านของท่านโหว ตอนบ่ายได้เรียกเหวินอี๋เหนียงไปที่ห้องหนังสือเรือนนอกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงประหลาดใจ
ฮูหยินสองไปสกุลหวงในวันแรกของตรุษจีน แล้วยังใช้เวลาอยู่ที่นั่นหลายชั่วยาม ส่วนสวีลิ่งอี๋ก็เรียกเหวินอี๋เหนียงไปที่ห้องหนังสือเรือนนอก…
นางนึกถึงท่าทางแปลกๆ ของสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินในวันนี้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างแน่นอน!
“ให้ซิ่วเหลียนตักน้ำเข้ามา!” สืออีเหนียงครุ่นคิดพลางใส่รองเท้า “แล้วส่งคนไปเรือนนอก ดูว่าท่านโหวจะกลับเรือนเมื่อใด ตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!” แล้วกำชับชิวอวี่ “ยานี้หากใช้ไม่ตรงกับโรคจะมีพิษอยู่สามส่วน ในเมื่อคุณชายน้อยหกไม่เป็นอะไรก็ไม่ต้องไปจัดยาแล้ว”
ชิวอวี่ยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” อวี้เหมยนำเสื้อผ้าที่อบบนเตาเผาเข้ามา แล้วพาสาวใช้น้อยปรนนิบัติสืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อ
สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว “หมอหลวงอู๋บอกว่าจิ่นเกอไม่เป็นอะไร ตอนบ่ายเขาได้ร้องไห้หรือไม่”
“ชิวอวี่บอกว่าพึ่งทานนมแล้วก็หลับไป” สืออีเหนียงมวยผมขึ้นอย่างเรียบง่าย “ข้าว่ากำลังจะไปดูเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋รอให้นางแต่งหน้าทำผมเสร็จก่อนแล้วค่อยไปดูบุตรที่เรือนหน่วนเก๋อพร้อมกับนาง
สะใภ้ว่านทำงานเย็บปักเฝ้าอยู่ข้างๆ จิ่นเกอที่กำลังหลับสนิท
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วกลับไปที่ห้องด้านใน
ชิวอวี่เข้ามาถามว่าจะให้จัดเตรียมอาหารที่ไหน
จากนั้นสองสามีภรรยาก็ทานอาหารเย็นที่ห้องจัดเลี้ยงทิศตะวันตก แล้วย้ายไปดื่มชาที่ห้องด้านใน
สืออีเหนียงยิ้มพลางถามเขาว่า “ฮ่องเต้ ฮองเฮา และไท่จื่อให้ของขวัญอะไรหรือ”
“ก็เป็นเพียงแค่ทอง เงิน หยก ผ้า และเครื่องเทศ” สวีลิ่งอี๋ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ “จะมีอะไรแปลกใหม่ได้อีก” เมื่อพูดถึงตรงนี้ มือที่ถือฝาถ้วยชาเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วยกลับชะงักไปเล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “อีกสองวันพ่อบ้านไป๋จะนำของราชทานมาส่งให้เจ้า”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยิน อี๋เหนียงมาคารวะเจ้าค่ะ!”
“ให้พวกนางเข้ามา!” สืออีเหนียงพูดพลางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ พบว่ามุมปากของเขาดูเกร็งเล็กน้อย สีหน้าดูเหมือนว่าคาดไม่ถึง หลังจากที่เหวินอี๋เหนียงเข้ามา ไม่เพียงแต่สีหน้าดูกังวล ซ้ำยังพูดน้อยผิดปกติ ตรงข้ามกันกับหยางอี๋เหนียงที่มีท่าทางกระตือรือร้นร่าเริงเป็นอย่างมาก
“…สองวันก่อนหิมะยังตกอยู่เลย พอจะตรุษจีนกลับมีแดดออก ข้าเห็นว่าดอกเหมยที่สวนหลังจวนบานสะพรั่ง หากท่านโหวกับฮูหยินมีเวลาว่างก็ไปชมดอกเหมยสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่มีอะไรทำจึงวาดภาพดอกเหมยได้หนึ่งภาพ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าเคร่งขรึมเช่นเคย ดื่มชาอย่างเงียบเชียบ ไม่ชายตามองบรรดาอี๋เหนียงแม้แต่นิดเดียว เหวินอี๋เหนียงเริ่มดูไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
สืออีเหนียงทักทายบรรดาอี๋เหนียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็ส่งแขก เห็นว่าเหวินอี๋เหนียงดูโล่งใจ สีหน้าดูผ่อนคลายมากขึ้น ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
******
วันรุ่งขึ้นสืออีเหนียงพาเด็กๆ ไปยังตรอกกงเสียน
เฉียนหมิงและอู่เหนียงสองสามีภรรยายังมาไม่ถึง คุณนายสี่สกุลหลัวสวมเสื้อแขนกว้างสีแดงลายดอกไม้สี่ฤดู ยิ้มพลางต้อนรับพวกเขาเข้าไปในจวน
หวังเจ๋อกับสือเอ้อร์เหนียงมาถึงแล้ว คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมผ้าไหมหังโจวสีฟ้า ท่าทางสงบสุขุม อีกคนหนึ่งสวมเสื้ออ่าวสีแดงลายดอกโบตั๋น งดงามดูน่ารัก คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา
สืออีเหนียงแอบพยักหน้า
สือเอ้อร์เหนียงเดินเข้ามาคำนับนางด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ทางด้านคุณนายสี่สกุลหลัวแนะนำให้เด็กๆ เรียก ‘ท่านลุงสี่’ และ ‘ท่านน้าเขยสิบสอง’
คนให้อั่งเปา คนได้รับอั่งเปา ทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ ต่างก็มีความสุข มีเพียงหลัวเจิ้นเซิงที่มีท่าทางเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ โดยรวมถือว่าดีแต่ก็ยังมีข้อเสีย โชคดีที่มีอิงเหนียงตัวน้อย มีชีวิตชีวาและน่าเอ็นดู ที่พูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอยู่กับสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยความสุข หยอกล้อนางว่า “ดอกยี่โถกับดอกทับทิมเหมือนกัน แล้วดอกไม้อะไรที่เหมือนกับดอกซ่อนกลิ่น”
อิงเหนียงตอบอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นดอกไป๋เฮ่อ!”
ดอกไป๋เฮ่อเป็นอีกชื่อหนึ่งของดอกซ่อนกลิ่น
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ ใบหน้าของหวังเจ๋อก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
หลัวเจิ้นเซิงรู้สึกอับอายจนหน้าแดง จึงดุอิงเหนียง “พูดไร้สาระอะไรกัน ใครเป็นคนบอกเจ้า ดอกไป๋เฮ่อก็คือดอกซ่อนกลิ่น”
อิงเหนียงไปซ่อนอยู่ด้านหลังคุณนายสี่สกุลหลัวด้วยความหวาดกลัว
“เด็กตัวเล็กแค่นี้ รู้เรื่องเหล่านี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!” ดูเหมือนว่าสวีลิ่งอี๋จะชื่นชอบอิงเหนียง ยิ้มพลางช่วยพูดแก้ต่างให้นาง “จุดนี้ค่อนข้างเหมือนท่านอาหญิงสิบเอ็ดของนาง ชอบพวกต้นไม้และดอกไม้” จากนั้นก็พูดกับอิงเหนียงว่า “จวนพวกเรามีเรือนหน่วนฝัง ปลูกดอกไม้เยอะแยะมากมาย เมื่อมีเวลาก็ไปเล่นที่จวนพวกเราเถิด!”
อิงเหนียงเหลือบมองบิดา ไม่กล้าพูดอะไร
คุณนายสี่สกุลหลัวถลึงตาใส่หลัวเจิ้นเซิง ก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “รอผ่านไปอีกสักหน่อย พอถึงพิธีครบรอบหนึ่งร้อยวันของจิ่นเกอและวันเกิดเจี้ยเกอ พวกเราจะไปร่วมฉลองอย่างแน่นอน”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินคุณนายสี่สกุลหลัวพูดถึงวันเกิดของเขา ก็กระซิบกับจุนเกอที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าเกิดวันที่สามเดือนสามนะ!” ท่าทางภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
ผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกัน สวีซื่อจุนกระซิบบอกสวีซื่อเจี้ยไม่ให้ส่งเสียง
คุณนายสี่สกุลหลัวเห็นว่าเด็กๆ มีท่าทางระมัดระวังก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมท่านเขยห้ากับคุณหนูห้ายังไม่มาอีก ข้าทำสุ่ยจิงตู้[1]เอาไว้ อยากจะให้ทุกคนลองชิมดูว่าอาหารชุดที่ข้าทำเป็นอย่างไรบ้าง!”
การทานอาหารชุดในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่เป็นขนบธรรมเนียมของเจียงหนาน
กล่องสีแดงลายทอง ด้านในเคลือบด้วยสีดำ แบ่งช่องเป็นแนวตั้งและแนวนอนทั้งหมดสิบสองช่อง ใส่เครื่องเคียงหลากลายชนิด จากนั้นก็ทานคู่กับบะหมี่ ถือว่าเป็นอาหารเช้า
ในเมืองหลวงก็มีร้านอาหารที่เชี่ยวชาญด้านอาหารเจียงหนานโดยเฉพาะ ทุกคนจึงไม่ได้รู้สึกว่าไม่คุ้นเคย ตอนที่รอเฉียนหมิงกับอู่เหนียง ทุกคนก็เปลี่ยนไปสนทนาเรื่องความแตกต่างระหว่างอาหารเจียงหนานกับอาหารเยี่ยนจิง
สวีลิ่งอี๋เป็นคนมีความรู้มากมาย หวังเจ๋อเป็นคนระวังคำพูดและการกระทำ หลัวเจิ้นเซิงเกรงกลัวสวีลิ่งอี๋อยู่เล็กน้อยจึงไม่กล้าพูดมาก สวีลิ่งอี๋ที่ปกติพูดน้อยที่สุดได้กลายเป็นศูนย์กลางของหัวข้อสนทนา
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ ในที่สุดเฉียนหมิงกับอู่เหนียงก็มาถึงพร้อมกับพาซินเกอมาด้วย
เฉียนหมิงสวมเสื้อคลุมผ้าไหมปักลายค้างคาวห้าตัว ดูอ่อนโยนและสง่างามเช่นเคย ส่วนซินเกอสวมเสื้ออ่าวสีแดงลายน้ำเต้า ชอบขยับไปมาไม่อยู่นิ่งเช่นเคย เมื่อเดินเข้ามาก็ไปจับมืออิงเหนียง มีเพียงอู่เหนียงที่แม้จะสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงปักลวดลาย สวมกวานสีทองและปักปิ่น แต่สีหน้ากลับดูหมองหม่นเล็กน้อย พอเห็นสืออีเหนียงก็มีท่าทางลำบากใจ
ดูเหมือนว่าเฉียนหมิงจะตักเตือนนางแล้ว!
สืออีเหนียงกับคุณนายสี่สกุลหลัวสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ยิ้มพลางเข้าไปทักทายอู่เหนียง
สือเอ้อร์เหนียงกลับอายเล็กน้อย หลังจากคำนับแล้วก็ไปควงแขนอู่เหนียง “กวานของพี่หญิงห้าสวยงามมาก ไม่รู้ว่าไปขอให้ช่างฝีมือท่านไหนทำให้ ข้ามองดูแล้วเหมือนจะใช้ทองห้าถึงหกชั่ง!”
“ห้าถึงหกชั่งอะไรกัน” อู่เหนียงมองสือเอ้อร์เหนียงด้วยสายตาดูหมิ่นเล็กน้อย “ตรงกลางกลวง ทองห้าหกชั่งจะทำกวานขนาดใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ทั้งหมดใช้ไปสิบสองชั่งต่างหาก”
“ข้าก็ว่าอยู่ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้สวยเช่นนี้!” สือเอ้อร์เหนียงเยินยออู่เหนียงอย่างระมัดระวัง “ข้าพึ่งจะแต่งมาอยู่ที่เยี่ยนจิง ไม่รู้อะไรเลย ไม่เหมือนพี่หญิงห้าที่อยู่เยี่ยนจิงมานานแล้ว ร้านไหนมีผ้าสีสันสวยงาม ร้านไหนทำรองเท้าได้ดี…เรื่องสิ่งของในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ต่อไปต้องให้พี่หญิงห้าช่วยชี้แนะให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
อู่เหนียงได้ฟังดังนั้นก็ขยับมุมปาก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เฉียนหมิงที่กำลังแจกอั่งเปาให้เด็กๆ ได้เหลือบมองมาด้วยสายตาเฉียบคม อู่เหนียงเม้มปากทันที สะบัดมือสือเอ้อร์เหนียงออกแล้วไปจับมือซินเกอ “…เหตุใดถึงไม่รู้จักคำนับพวกพี่ๆ!”
คุณนายสี่สกุลหลัวดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง กระซิบข้างหูว่า “คุณหนูสกุลเราแต่ละคนต่างก็ฉลาดกันทั้งนั้น”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
ด้วยอายุของสือเอ้อร์เหนียงแล้ว หากไม่ได้ใช้ชีวิตมาสองภพชาติ ต่อให้เป็นตนก็คงทำได้ไม่ดีไปกว่าสือเอ้อร์เหนียงแน่นอน
———————————————
[1]สุ่ยจิงตู้ เป็นอาหารจีนชนิดหนึ่ง เป็นการนำเนื้อหมู มันหมูและหนังหมูตุ๋นเป็นน้ำซุปทิ้งไว้จนเป็นวุ้น แล้วกวนให้เละก่อนยัดใส่กระเพาะหมูหรือไส้หมู นำไปต้มและนึ่ง