ฮูหยินสามสวมเสื้ออ่าวสีแดง ม้วนผมมวยสูง ปักปิ่นมรกตและดอกมรกตดอกใหญ่ ท่าทีดูมีชีวิตชีวา ไม่เจอกันตั้งสามปี แต่นางกลับดูอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย
“…ท่านดูสิเจ้าคะ มันคือหยกเหอเถียนชั้นดี อีกทั้งยังฝังเพชรสองสามเม็ด” นางพูดพร้อมกับยื่นปิ่นปักผมทองคู่หนึ่งให้อวี้ป่าน “คุณชายสามให้คนสั่งทำมาจากเขตซีอานโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สวยงามเท่าของที่เยี่ยนจิง แต่ก็ถือเป็นน้ำใจของคุณชายสามเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า บอกให้อวี้ป่านรับมาเก็บไว้ “เขาช่างคิดได้รอบคอบ”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยิ่งสดใสขึ้นกว่าเดิม นางหยิบผ้าที่มีสีสันสวยงามให้สืออีเหนียงและฮูหยินห้า “นี่คือผ้าไหมสู่จิ่นที่มีชื่อเสียง พวกเราไม่ค่อยได้ใช้ แต่ที่เขตซีอานกลับเป็นที่นิยม ข้าเลือกลวดลายใหม่มาสองสามแบบ นำมาให้น้องสะใภ้ทั้งสองทำเป็นเสื้ออ่าว”
สืออีเหนียงและฮูหยินห้ายิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวและคุณชายสามมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทันทีที่รู้ว่าคุณชายสามและฮูหยินสามกลับมา สวีลิ่งอี๋จึงไปรอคุณชายสามอยู่ที่ประตูลานข้างนอก สืออีเหนียงต้อนรับฮูหยินสามเข้ามาที่ประตูฉุยฮวา พวกเขาสองพี่น้องไปพูดคุยกันที่ห้องหนังสือลานข้างนอก ลูกสะใภ้ทั้งสองคนพากันไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน จากนั้นฮูหยินสามก็นำของขวัญที่นำมาจากมณฑลซานหยางแจกจ่ายให้ทุกคน
“รีบเชิญพวกเขาเข้ามา!” ไท่ฮูหยินหัวเราะด้วยสีหน้าที่รอคอย
เก๋อจินรีบไปเปิดม่าน สวีลิ่งอี๋และคุณชายสามที่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางนายอำเภอระดับเจ็ดสีเขียวก็เดินเข้ามา
“ท่านแม่!” คุณชายสามคุกเข่าโขกศรีษะให้ไท่ฮูหยินสามครั้ง “ท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปประคองคุณชายสามลุกขึ้น
“สบายดี สบายดี” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วจับมือคุณชายสามขึ้นมา “มีน้องสี่และน้องห้าของเจ้าคอยดูแล ข้าสบายดี!” จากนั้นก็ถามถึงเรื่องเลื่อนตำแหน่งของคุณชายสาม
มีสาวใช้ยกเก้าอี้ไท่ซือเข้ามาให้คุณชายสามนั่ง เขาหย่อนกายนั่งลงแล้วตอบคำถามของไท่ฮูหยินอย่างละเอียด พอรู้ว่าคุณชายสามสอบได้คะแนนขั้น ‘ยอดเยี่ยม’ ไท่ฮูหยินก็ยิ้มหน้าบาน “เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ดี! เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮองเฮา ออกไปข้างนอก ก็ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้นาง”
ฮูหยินสามที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าพอใจ
“คำพูดของท่านแม่ ข้าจำได้เสมอ!” คุณชายสามพูด “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในจวนหรือเรื่องนอกจวน ข้าล้วนทำตามหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า จากนั้นก็ถามว่า “ทำไมคุณชายห้ายังไม่กลับมาอีก!”
ฮูหยินห้ารีบพูด “ข้าส่งคนไปตามแล้วเจ้าค่ะ น่าจะใกล้กลับมาแล้ว!”
ทันทีที่นางพูดจบ สาวใช้ก็เปิดม่านเข้ามาแล้วเอ่ยรายงานว่า “คุณชายห้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” ยังพูดไม่ทันจบ บรรยากาศในห้องก็ครึกครื้นขึ้น สวีลิ่งควนวิ่งเข้ามา
“พี่สาม!” เขายิ้มแล้วตบไหล่คุณชายสาม
คุณชายสามเอียงไหล่หลบแล้วหยอกล้อเขา “ไม่ได้เจอกันตั้งสามปี เหตุใดเจ้าถึงดูไม่โตเลยสักนิด”
สวีลิ่งควนหัวเราะ
ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่ถูกแม่นมอุ้มอยู่ในอ้อมแขนเห็นเขาก็ตะโกนเรียก “ท่านพ่อ”
สวีลิ่งควนเดินไปจับมือซินเจี่ยเอ๋อร์แล้วยิ้มให้ฮูหยินห้าที่อยู่ข้างๆ
ป้าตู้เดินเข้ามา “ท่านโหว ไท่ฮูหยินเจ้าคะ เตรียมงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”
คุณชายสามประคองไท่ฮูหยินลงจากเตียงเตา จากนั้นไท่ฮูหยินก็เดินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก สวีลิ่งอี๋กับสวีลิ่งควนเดินตามข้างหลังมาติดๆ สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนเดินอยู่เคียงข้างฮูหยินสาม สืออีเหนียงเดินอยู่กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ แม่นมกู้อุ้มจิ่นเกอเดินตามมาข้างหลัง สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเดินอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาแม่นมกู้ สวีซื่ออวี้กลับไปที่ลั่วเย่ว์ตั้งแต่วันที่สิบห้าเดือนหนึ่งแล้ว ฮูหยินห้าและแม่นมที่อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เดินตามอยู่ข้างหลังสุด พากันเดินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก หลังจากนั่งลงตามลำดับก็ทานข้าวกันอย่างครึกครื้น จากนั้นก็ย้ายไปดื่มชาที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก
“คุณชายสามสองสามีภรรยาพึ่งจะเดินทางกลับมา คงจะเหนื่อยแล้ว” ไท่ฮูหยินนั่งจิบชาสองสามจิบแล้วก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด จะได้ให้คุณชายสามพูดคุยกับลูกๆ หากมีเรื่องอันใด พรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากัน”
ทุกคนตอบกลับ “เจ้าค่ะ/ขอรับ” อย่างพร้อมพรียงกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันออกไป
สวีลิ่งควนเอ่ยเรียกคุณชายสาม “ไป๋ซีเซียงจะร้องงิ้วที่หอแสดง สองสามวันนี้พี่สามจะรายงานตัวที่กระทรวงขุนนางหรือไม่ขอรับ หากไม่รีบ พรุ่งนี้ยามเที่ยงข้าอยากพาพี่สามไปหอแสดง” เขายิ้มแล้วมองไปยังสวีลิ่งอี๋ “พี่สี่ก็ไปด้วยกันเถิด!”
คุณชายสามเหลือบมองฮูหยินสามแล้วพูดว่า “ข้ากลับมาก่อนสองสามวัน ก็เพราะว่าอยากมาอยู่กับพวกเจ้า”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!” สวีลิ่งควนพูด จากนั้นก็พาฮูหยินห้ากลับเรือน
สวีลิ่งหนิงและสวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเดินไปทางทิศตะวันออก
“…ตอนท่านอยู่ที่จวน ก็เคยไปมาหาสู่กับขุนนางที่กระทรวงขุนนาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นขุนนางระดับต่ำ แต่พวกเขาก็รู้ฎระเบียบของกระทรวงเป็นอย่างดี ท่านถือโอกาสสองสามวันนี้ที่ยังไม่ได้ยื่นฎีกาอย่างเป็นทางการ ไปมาหาสู่กับพวกเขาหน่อยก็เป็นเรื่องที่ดี” สวีลิ่งอี๋ออกความคิดเห็นให้คุณชายสาม “สำหรับเฉินเก๋อเหล่า ข้าไปทักทายเขาเอง”
เฉินเก๋อเหล่าคือสมุหราชเลขาธิการ ดูแลสำนักศึกษาเหวินหยวนเก๋อ
สวีลิ่งหนิงพยักหน้า แต่เขากับกังวลเรื่องอื่น “ทำไมข้าได้ยินว่าสองสามวันนี้ฮ่องเต้อยากจะปฏิวัติระบอบขุนนาง…เราเข้าทางเฉินเก๋อเหล่าเช่นนี้ มันจะ…?”
“พี่สามแค่อยากรักษาตำแหน่งเอาไว้ ไม่ได้อยากเลื่อนตำแหน่ง” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยท่าทางเรียบเฉย “ยิ่งไปกว่านั้น พี่สามสอบได้คะแนนขั้น ’ยอดเยี่ยม’ ก็คงช่วยเหลือกันได้ ไม่มีใครผลักไสไล่ส่งเราแน่นอน”
ฮูหยินสามและสืออีเหนียงเดินตามหลังสามีเงียบๆ ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ ฮูหยินสามก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมีชีวิตชีวาขึ้นมา เห็นบุตรชายสองคนเดินตามหลังพวกนางอยู่ไกลๆ นางจึงพูดเรื่องที่ตัวเองเป็นกังวลกับสืออีเหนียง “วันแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์มีวี่แววแล้วหรือยัง”
“ยังเร็วไปเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “เร็วสุดก็ต้องรอให้ถึงปีหน้าเจ้าค่ะ!”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อายุสิบหกก่อนจริงๆ!” ฮูหยินสามยิ้ม “แต่ว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่วุ่นวาย” แล้วก็พูดอีกว่า “สองสามวันก่อนข้าบอกให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียนมาบอกเจ้า นางบอกแล้วใช่หรือไม่ บุตรสาวคนโตของนายอำเภอฟังอายุเยอะกว่าบุตรสาวคนที่สองแค่สองปี แต่เพราะว่าเรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนโตยังไม่มีวี่แวว เรื่องแต่งของบุตรสาวคนที่สองจึงล่าช้าไปด้วย สองสกุลเราปรึกษากันว่าเดือนเก้าของปีนี้ก็จะจัดการเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อย เช่นนี้ บุตรสาวคนที่สองของสกุลฟังก็จะได้จัดการเรื่องแต่งงานเร็วหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเกอของเราก็ไม่เด็กแล้ว แต่งงานแล้วก็จะได้ตั้งใจเรียหนังสือ บางทีเขาอาจจะสอบบัณฑิตชั้นสูงได้ในภายภาคหน้า” นางยิ้ม “นี่คือเหตุผลที่ข้าและพี่สามของเจ้ารีบกลับมา”
เร็วขนาดนี้!
แต่ว่า ฉินเกอก็ไม่เด็กแล้วจริงๆ…
“เดือนเก้าเป็นฤดูใบไม้ร่วง ฤดูของดอกกุ้ยฮวา” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่งงานฤดูนี้ดีที่สุดเจ้าค่ะ แต่เมื่อครู่ท่านแม่และน้องสะใภ้ห้าก็อยู่ด้วย เหตุใดพี่สะใภ้สามถึงไม่พูดอะไรเลยเล่า ทุกคนจะได้ร่วมยินดีด้วยกัน”
“ข้าเห็นว่าเด็กๆ ก็อยู่ด้วย” ฮูหยินสามยิ้ม “เดิมทีคิดว่าจะบอกไท่ฮูหยินพรุ่งนี้เช้า บอกตอนนั้น ประเดี๋ยวไท่ฮูหยินจะคิดว่าข้ารีบ เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนไม่ได้ ได้ลูกสะใภ้ดีก็โอ้อวดไปทั่ว!”
“เรื่องดีๆ เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงพี่สามและพี่สะใภ้สามที่เป็นบิดามารดา แม้แต่อาสะใภ้อย่างข้าได้ยินก็ยังดีใจแทนฉินเกอ” สืออีเหนียงพูดคุยกับนางอย่างมีมารยาท “ท่านแม่จะบอกว่าพี่สะใภ้สามรีบได้เช่นไรเล่า”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วจับมือสืออีเหนียง “พูดถึงเรื่องนี้ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า!”
สืออีเหนียงระแวดระวัง
ฮูหยินสามคนนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องใหญ่ๆ แต่นางฉลาดในเรื่องเล็กๆ สวีซื่อฉินจะแต่งงานแล้ว สิ่งที่ครอบครัวนางขาดแคลนก็คือเงินทองและชื่อเสียง ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนดูแลจวน แต่ในจวนมีกฎเกณฑ์ ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่ควรให้ก็ให้ แต่สิ่งที่ให้ไม่ได้ก็ให้ไม่ได้จริงๆ
“ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สามมีเรื่องอันใดอยากจะปรึกษาข้าหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามพูด “ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยเป็นแม่สื่อให้ฉินเกอ!”
เป็นแม่สื่อ…พ่อสื่อแม่สื่อมีหลายประเภท ประเภทที่หนึ่งคือเหมือนเจิ้นหนานโหวซื่อจื่อและอวี๋อี๋ชิงที่เป็นพ่อสื่อให้หวังเจ๋อและสือเอ้อร์เหนียง ทั้งสองฝ่ายปรึกษากันแล้ว ว่าจะเชิญคนที่มีชื่อเสียงมาจัดงานแต่งงาน คล้ายกับเจ้าภาพงานแต่งของยุคปัจจุบัน ส่วนมากจะเชิญผู้ชายมากกว่า แล้วยังมีอีกประเภทหนึ่งที่เหมือนฮูหยินของจงหวงเหรินศาลพลเรือนกรมอาญาและฮูหยินของใต้เท้าหวังผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนที่เป็นแม่สื่อให้อู่เหนียงและเฉียนหมิง คนหนึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายหญิง อีกคนเป็นตัวแทนฝ่ายชาย ปรึกษากันเรื่องสินสอดและสินเดิม สถานการณ์ของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน มักจะมีเรื่องที่ฝ่ายหญิงคิดว่าสินสอดของฝ่ายชายน้อยเกินไปหรือฝ่ายชายคิดว่าสินเดิมของฝ่ายหญิงน้อยเกินไป ตอนนี้ คนที่เป็นแม่สื่อต้องเป็นตัวแทนออกหน้าต่อรองราคา…หากจัดการไม่ดี ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงไม่พอใจ เรื่องแต่งงานเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็มักจะกล่าวโทษแม่สื่อ บอกว่าแม่สื่อเป็นคนป่าวประกาศไปทั่ว…นี่ก็คือสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเป็นแม่สื่อ
สวีซื่อฉินแม้แต่วันแต่งงานก็กำหนดไว้แล้ว ฮูหยินสามคงจะไม่ได้เชิญนางไปเป็นเจ้าภาพแน่นอน แล้วยุคสมัยนี้ก็ไม่มีผู้หญิงเป็นเจ้าภาพ เช่นนั้นก็หมายความว่าอยากให้นางออกหน้าต่อรองเรื่องสินสอดทองหมั้นและสินเดิมกับสกุลฟัง
หากเป็นคนอื่น สืออีเหนียงอาจจะลองดู แต่คนที่ขอร้องตนนั้นคือฮูหยินสาม นางเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว แม้แต่นกบินผ่านก็ยังจับมาถอนขน ของที่ไม่ใช่ของตัวเองยังหาวิธีเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะขอสินเดิมจากฝ่ายหญิง! ถึงตอนนั้นหากนางโลภมาก ตนจะมีหน้าไปเอ่ยปากขอสินเดิมเพิ่มจากฝ่ายหญิงได้เช่นไร!
แต่ในเมื่อฮูหยินสามมาพูดขอร้องเช่นนี้ ตนจะปฏิเสธไปตรงๆ ได้อย่างไร
“ตั้งแต่ข้าคลอดจิ่นเกอก็ไม่ค่อยสบายเท่าไรนัก” สืออีเหนียงพูดอย่างอ้อมค้อม “ท่านแม่เป็นคนดูแลเรื่องในจวน เรื่องของฉินเกอ ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่มีแรง” นางยิ้ม “แต่ว่าท่านโหวมักจะถามถึงเรื่องแต่งงานของฉินเกออยู่บ่อยครั้ง หากพี่สะใภ้สามเชิญท่านโหวไปเป็นพ่อสื่อของฉินเกอ ท่านโหวจะต้องดีใจมากแน่นอน”
ถ้าอยากอ้างชื่อเสียงของจวนหย่งผิงโหว ให้สวีลิ่งอี๋ไปเป็นเจ้าภาพก็ถือว่าเหมือนกัน
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ผิดหวัง
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าให้หลานสะใภ้ใหญ่สกุลเดิมของข้ามาช่วยเจ้าดีหรือไม่ มีเรื่องอันใด ก็ให้นางช่วยจัดการให้ ถึงตอนนั้นเจ้าแค่พูดกับฝ่ายหญิงก็พอแล้ว กำหนดงานแต่งให้เรียบร้อยก็พอแล้ว!” นางยังไม่ยอมแพ้
สืออีเหนียงยิ่งไม่อยากตอบตกลง ใครจะไปรู้ว่าฮูหยินสามคิดอะไรอยู่!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าไม่สู้เชิญหลานสะใภ้ใหญ่สกุลเดิมของพี่สะใภ้สามมาเป็นแม่สื่อเสียดีกว่าเจ้าค่ะ!” นางพูด “ข้าเคยเจอหลานสะใภ้ใหญ่ของท่าน นางเป็นคนเฉลียวฉลาดและยังมีความสามารถ ให้นางเป็นคนจัดการ พี่สะใภ้สามจะได้ไม่มีอะไรต้องกังวล”
ฮูหยินสามไม่พอใจ นางพูด “ในเมื่อน้องสะใภ้สี่ไม่สะดวก เช่นนั้นค่อยว่ากันดีกว่า” จากนั้นก็ก้าวขาเดินผ่านหน้าสืออีเหนียงไป
