ไม่ต้องพูดว่าเป็นคุณนายสามสกุลหวง แม้แต่หากหวงฮูหยินมา ก็ไม่ได้มีเกียรติขนาดต้องให้พวกนางสองคนไปชงชาให้ด้วยตัวเอง!
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฮูหยินสามก็เข้าใจขึ้นมาทันที
คุณนายสามสกุลหวงรีบมาที่นี่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลหยางจะพูดกับไท่ฮูหยิน
นางเดินออกไปกับสืออีเหนียงเงียบๆ เดินไปยังห้องน้ำชา
สืออีเหนียงไล่สาวใช้ที่จะเข้ามาช่วยออกไป รอให้น้ำเดือด แล้วก็หาใบชาบนชั้นวางมาปรึกษากับฮูหยินสามว่าจะชงชาอะไรดี “…ถึงแม่ว่าชาหลงจิ่งจะดี แต่ก็ธรรมดาไปหน่อย ชาอู่อี๋รสชาติเข้มเกินไป ชาขาวก็อ่อนเกินไป…ข้าคิดว่า ชาเถี่ยกวนอินเหมาะที่สุด…แต่ไม่รู้ว่าคุณนายสามสกุลหวงจะชอบหรือไม่…”
ฮูหยินสามมองดูท่าทางที่หาเรื่องทำของนาง แล้วก็นึกถึงปฏิกิริยาของนางเมื่อครู่ จึงเดาว่านางต้องรู้เจตนาของคุณนายสามสกุลหวงแน่นอน…จึงเดินเข้าไปถือกาน้ำชาในมือของสืออีเหนียงแล้วพูดเบาๆ ว่า “น้องสะใภ้สี่ สกุลหวงทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”
เรื่องของสกุลหวงเป็นเรื่องใหญ่ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาพูด!
“ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าคะ” สืออีเหนียงพูด “แต่ดูท่าทีของคุณนายสามสกุลหวงแล้ว ราวกับว่ามีเรื่องอันใดจะปรึกษาพูดคุยกับท่านแม่” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ตอนที่ข้าลากท่านออกมา ท่านแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรไม่ใช่หรือ”
เห็นได้ชัดว่านางมีเรื่องจะคุยกับไท่ฮูหยินจริงๆ!
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาลง “ข้าได้ยินคนพูดว่า สกุลหยางทำเงินได้จากการปล่อยเงินกู้ไม่น้อย เจ้าคิดว่า หรือว่าสกุลหวงกู้เงินจากสกุลหยาง? ตอนนี้สกุลหยางงถูกกว้างล้าง ถึงตอนนั้นทุกคนก็คงจะรู้ หน้าตาของสกุลหวงก็คงจะไม่เหลือแล้ว!”
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “น่าจะไม่ใช่เช่นนั้น! ข้าเห็นเสื้อผ้าหน้าผมวันธรรมดาของคุณนายสามสกุลหวง ดูไม่เหมือนขาดแคลนเงินทองอะไร พี่สะใภ้สามคิดมากเกินไปแล้ว บางทีแค่อาจจะเห็นว่าสกุลหยางถูกกวาดล้าง จึงรู้สึกเป็นห่วงกระมัง เพราะอย่างไรก็คนเคยรู้จักกัน”
ฮูหยินสามไม่เห็นด้วย “สกุลพวกเขาถูกกวาดล้าง ทำไมเราต้องเป็นห่วงด้วย…” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงักแล้วรีบพูดว่า “จะว่าไปแล้ว ในจวนของเราก็ยังมีหยางอี๋เหนียง ข้าคิดว่า เราต้องรีบบอกท่านโหว จะได้ไม่ซวยกันหมดเพราะนางคนเดียว!”
“คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก!” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “นางเป็นคนของไท่เฮา ตอนนั้นฮ่องเต้ก็เห็นด้วย เราไม่ได้แอบแต่งนางเข้ามาเองเสียหน่อย!”
“ก็จริง!” ฮูหยินสามครุ่นคิด รู้สึกว่าตัวเองตีตนไปก่อนไข้ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “หากจะบอกว่าเป็นห่วง สกุลจงซานโหวน่าจะเป็นห่วงมากกว่าเราเสียอีก” พูดถึงตรงนี้ นางก็ปิดปากหัวเราะ “แล้วยังมีเหลียงเก๋อเหล่า… เกรงว่าตอนนี้คงจะเสียใจอยู่ไม่น้อย!”
“บุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนแล้วถือว่าไม่มีความผิด” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร” แต่ในหัวกลับนึกถึงท่าทีที่เย็นชาและห่างเหินของคุณนายสี่สกุลถังที่มีต่อคุณนายสามสกุลเหลียง
“ไอ๊หยา!” ฮูหยินสามมองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่ราวกับจะบอกว่า ‘ทำไมไม่เข้าใจอะไรเลย’ แล้วพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ลงโทษ แต่หากไม่มีการสนับสนุนจากสกุลเดิม หญิงผู้นั้นจะมีที่ยืนในสกุลสามีได้เช่นไร…”
นางเอาแต่พูด แต่ความคิดในหัวของสืออีเหนียงกลับล่องลอยไปไกล
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะทรงรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับสวีลิ่งอี๋หรือไม่ ถึงตอนนั้นเขาจะแค่สั่งสอนสกุลหวง…แล้วยังมีสกุลหยาง เขาแค่ยึดทรัพย์สมบัติของตระกูล? หรือว่าลงโทษสตรีและเด็กในตระกูลด้วย? หากแค่เนรเทศยังพอไหว แต่กลัวว่าจะส่งบุรุษไปเป็นทาส ส่งสตรีไปเป็นโสเภณี…
ทันใดนั้นก็มีคนแตะไหล่นาง
สืออีเหนียงสะดุ้งตกใจ
“คิดอะไรอยู่” ฮูหยินสามมองมาที่นางด้วยสายตาที่สงสัย “น้ำเดือดแล้ว!”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรีบเทชาเถี่ยกวนอินในมือลงในกาน้ำชา “แค่กำลังคิดเรื่องของสกุลหยาง!”
ฮูหยินสามไม่สนใจ “แต่ว่าสกุลเรากับสกุลเขาไม่ถูกกัน ทุกคนต่างก็รู้ ถึงแม้ว่าคนของศาลต้าหลี่จะจับคนผิด แต่ก็ไม่มีทางมาจับสกุลเรา” พูดถึงตรงนี้ นางก็กระซิบกับสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้าคิดว่า หากสกุลหวงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ เรื่องแต่งงานของฉินเกอ…คงจะไม่ทำให้เรื่องแต่งงานของเขาต้องล่าช้าเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
หมายความว่าจะเปลี่ยนแม่สื่อ!
สืออีเหนียงพยายามไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา นางพูด “รายการสินเดิมของสกุลฟังก็ส่งมาแล้ว สินสอดสู่ขอเท่าไรก็ตกลงกับหลิวฮูหยินเอาไว้แล้ว…ข้าคิดว่าให้คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนจัดการให้ถึงที่สุดเถิด เพราะเช่นไรถึงตอนนั้นก็จะเชิญท่านโหวไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งให้ฉินเกออยู่แล้ว ท่านเชิญคนอื่นมาเป็นเฉวียนฝูฮูหยินก็พอแล้วเจ้าค่ะ!”
โดยปกติ หากไม่มีอะไรผิดพลาดแม่สื่อมักจะถูกเชิญไปเป็นเฉวียนฝูฮูหยินในงานแต่ง
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล
สืออีเหนียงกลัวว่านางจะเปลี่ยนแม่สื่อจริงๆ จึงรีบพูดต่อไปอีก “เรายังไม่รู้ว่าสกุลหวงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่าจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ สถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่เราก็ยังไม่รู้ หากเกิดอะไรขึ้นกับสกุลหวง พี่สะใภ้สามทำเช่นนี้ คนอื่นเห็นอาจจะบอกว่าสกุลเราเหยียบย่ำซ้ำเติม พลอยทำให้ชื่อเสียงของฉินเกอเสียหาย แต่หากไม่เกิดอะไรขึ้นกับสกุลหวง เราคงจะทำให้สกุลหวงไม่พอใจเสียเปล่า”
ฮูหยินสามพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
*****
หลังจากส่งคุณนายสามสกุลหวงออกไปแล้ว ป้าตู้ก็ประคองไท่ฮูหยินไปยังห้องพระ
สืออีเหนียงและฮูหยินสามจึงแยกย้ายกัน
หลังจากนั้นผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทั้งจวนก็รู้เรื่องที่สกุลหยางถูกกวาดล้างแล้ว
หยางอี๋เหนียงสีหน้าซีดเซียว นางจับมือป้าหยาง ตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “ท่านป้า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็เป็นสกุลเดิมของไท่เฮา ถึงแม้ว่าจะทำผิดขนาดไหน แต่แค่สั่งสอนก็พอแล้ว… ทำไมต้องถึงขั้นกวาดล้างตระกูลด้วย!” พูดจบนางก็ร่ำไห้ พลันหวาดกลัวและรู้สึกไร้ที่พึ่งราวกับเด็กน้อยอายุสิบขวบก็ไม่ปาน
ถึงแม้ว่าป้าหยางจะผ่านอะไรมาเยอะ แต่นางกลับเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงตื่นตระหนกเช่นกัน แต่เมื่อเห็นหยางอี๋เหนียงเป็นเช่นนี้ นางก็ต้องตั้งสติแล้วแสร้งทำเป็นใจเย็น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” นางกอดหยางอี๋เหนียงอย่างอ่อนโยน ราวกับหยางอี๋เหนียงเป็นเหมือนเด็กทารกที่ห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อม นางโยกตัวหยางอี๋เหนียงเบาๆ “มีบ่าวอยู่เจ้าค่ะ! ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ…”
อ้อมกอดที่อบอุ่น ทำให้หยางอี๋เหนียงสงบสติไปชั่วขณะ
จากนั้นนางก็ค่อยๆ ยืดตัวนั่งตรง
ไม่เป็นไร? จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน
นางไม่ใช่เด็กอายุสองสามขวบที่ไม่รู้เรื่องอันใด ที่คิดว่าหลบเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผู้ใหญ่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!
“ท่านช่วยตักน้ำมาให้ข้าหน่อย ข้าจะล้างหน้า!”
เด็กคนนี้ แข็งแกร่งตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แล้วข่าวก็ยังแพร่กระจายออกมาจากครอบครัวคุณชายสาม ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่กำลังหัวเราะเยาะ ไม่ว่าจะไม่สบายใจแค่ไหน แต่ก็จะทำตัวน่าอนาถไม่ได้ ไม่เช่นนั้น คนต่ำต้อยที่มองคนอื่นแค่ภายนอกเห็นเข้า ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดว่าตัวเองน่าอนาถแค่ไหน โมโหคนเช่นนั้นล้วนแต่ทำให้ตัวเองต่ำต้อยตามไปด้วย
ป้าหยางพยักหน้าแล้วเดินออกไปตักน้ำด้วยตัวเอง
หยางอี๋เหนียงเปิดกล่องเครื่องประดับ เทเครื่องประดับทั้งหมดลงบนเตียง จากนั้นก็เปิดผ้ากำมะหยี่สีแดงที่อยู่ในกล่องเครื่องประดับ หยิบตั๋วเงินออกมาใส่เอาไว้ในแขนเสื้อแล้วก็เก็บเครื่องประดับไว้เหมือนเดิม จากนั้นก็นั่งเงียบๆ รอป้าหยางเข้ามา
*****
ตอนที่เฉียวเหลียนฝังได้ยินข่าว นางกำลังคัดลอกคัมภีร์อยู่บนโต๊ะ นางขมวดคิ้วมุ่น
“เรื่องของคนอื่น เราไม่ต้องไปยุ่งหรอก”
จูเอ้อร์ออกไปอย่างเบามือเบาเท้า แต่กลับเจอซิ่วหยวนที่หน้าประตู
“มีอะไรหรือ” นางยิ้มแล้วถามจูเอ้อร์
ปีก่อน บิดามารดาของจูหรุ่ยกำหนดเรื่องแต่งงานให้จูหรุ่ย รับจูหรุ่ยกลับบ้านผ่านทางป้าตู้ สืออีเหนียงจึงให้สาวใช้ที่ชื่ออิ๋นเชี่ยวมารับใช้ที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียง อิ๋นเชี่ยวเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ว่านางฉลาดเกินไป นางเคยพูดกับตงหง สาวใช้ของเหวินอี๋เหนียงว่า ‘บิดามารดาส่งข้ามาทำงานที่จวนก็เพราะอยากให้ข้ามีภูมิหลังที่ดี ให้ข้าเรียนรู้กฎเกณฑ์ที่นี่สักสี่ห้าปีก็จะมารับข้ากลับไป ไม่ต้องมีคุณงามความดีก็ได้ แต่ต้องไม่มีข้อผิดพลาด อี๋เหนียงบอกให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำ ไม่ให้ข้าทำอะไรข้าก็จะไม่เข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย’
มารดาของนางที่เคยเป็นสาวใช้ของนายหญิงสกุลใหญ่สกุลโต ความรู้และท่าทีเลยแข็งแกร่งกว่าคุณหนูจากตระกูลมั่งคั่งบางคนเสียอีก ออกมาจากจวนก็มีคู่ครองที่ดี
ซิ่วหยวนได้ยินเช่นนั้นเลยไม่ชอบหน้าอิ๋นเชี่ยว จึงสนิทสนมกับจูเอ้อร์ที่ตั้งใจรับใช้เฉียวเหลียนฝังมากขึ้นไม่น้อย
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!” จูเอ้อร์รู้สึกว่าตัวเองราวกับกระต่ายตื่นตูม นางยิ้มแล้วรีบกลับห้องไปเย็บปักถักร้อย
หากเป็นยามปกติแล้ว ซิ่วหยวนก็คงจะอยู่คุยเล่นกับนาง แต่ว่าวันนี้…
คิดได้เช่นนี้ นางก็รีบเดินเข้าไปในห้องของเฉียวเหลียนฝัง
“นายหญิงสามรอท่านอยู่ที่ประตูหลังเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังได้ฟังแล้วก็ตกใจ วางพู่กันลงทันที “ท่านแม่มีเรื่องอันใด” พูดพลางลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องข้างใน
แต่ซิ่วหยวนกลับจับแขนของเฉียวเหลียนฝังเอาไว้ “อี๋เหนียงเจ้าคะ เรื่องนี้ ท่านต้องคิดให้ดีนะเจ้าคะ!”
เฉียวเหลียนฝังไม่สนใจ “ปีใหม่ปีนี้ท่านแม่ก็มาหาข้า ท่านโหวและฮูหยินก็ไม่เห็นว่าอะไร แล้วฮูหยินก็ยังบอกให้คนจัดโต๊ะอาหารให้อีกด้วย…”
เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมกฎต้องห้ามนั้นไปแล้ว
แต่ซิ่วหยวนกลับจับแขนนางแน่นกว่าเดิม “นายหญิงสามยังถามอีกว่า ‘ท่านโหวอยู่ที่จวนหรือไม่ กำลังทำอะไรอยู่’ เจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังแปลกใจ
ซิ่วหยวนเห็นเช่นนี้ก็กัดฟันแล้วพูดต่อไปว่า “ครั้งก่อนที่บ่าวกลับไปมารดาของบ่าวบอกว่า สองสามวันที่ฮูหยินปล่อยเงินกู้ร่วมกับหยางฮูหยินนั้นทำเงินได้ไม่น้อย ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยทีเดียว แม้แต่ท่านโหวรับสาวใช้ข้างห้องคนใหม่ก็ยังไม่สนใจ เอาแต่นับลูกคิดว่าจะทำเงินเช่นไรเจ้าค่ะ…ตอนนี้พึ่งจะมีข่าวว่าสกุลหยางถูกกวาดล้าง นายหญิงสามก็มาทันที...ประเดี๋ยวท่านเจอกับนายหญิงสาม เรื่องที่ช่วยได้ก็ต้องช่วย แต่เรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็ต้องบอกนายหญิงสามให้ชัดเจนนะเจ้าคะ!”
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับส่ายหน้า “ท่านแม่ของข้าไม่เคยขออะไรจากข้า ตอนนี้นางมาหาข้าเพราะเรื่องนี้ ข้าคิดว่านางคงจะไม่มีทางเลือกจริงๆ ไม่ว่าเรื่องใดเพียงแค่นางเอ่ยปาก ข้าก็จะลองทำ”
*****
เหวินอี๋เหนียงเดินไปรอบๆ ห้องราวกับมดก็ไม่ปาน
คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วและโหดเหี้ยมขนาดนี้! ช่วงไว้ทุกข์ของไท่เฮายังไม่หมด แต่กลับลงมือกวาดล้างสกุลเดิมของนางแล้ว!
ชิวหงเดินเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง” เหวินอี๋เหนียงเดินเข้าไปหานางทันที
ชิวหงที่ตั้งครรภ์ได้หกเดือนถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังดูหลวม แต่กลับซ่อนท้องที่ป่องของนางเอาไว้ไม่อยู่
“ท่านพี่บอกว่า ร้านของสกุลเหวินยังเปิดตามปกติ แต่ว่าผู้ดูแลใหญ่สองสามคนไม่ได้อยู่ในร้านเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ นางก็นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ทันที
“มีข่าวอะไรอีกหรือไม่” นางถามด้วยสีหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษ
ชิวหงกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงาน “พี่ชิวหง สาวใช้ของท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน”
“ท่านพี่อาจจะให้นางมาบอกอะไรบ่าวเจ้าค่ะ” ชิวหงกระซิบกับเหวินอี๋เหนียง แล้วเชิญสาวใช้คนนั้นเข้ามา
สาวใช้คนนั้นเห็นว่าในห้องมีแค่ชิวหงและเหวินอี๋เหนียง นางจึงพูดอย่างฉะฉาน “คุณนายสามสกุลเหวินกำลังจะมาเป็นแขกที่จวนเจ้าค่ะ นายหญิงบอกให้คุณนายรีบกลับไปต้อนรับแขกประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ชิวหงมองไปยังเหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกชิวหง “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหาฮูหยิน มีเรื่องอันใด รอข้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ชิวหงขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เรียกตงหงเข้ามารับใช้เหวินอี๋เหนียงแต่งตัว
