เดินผ่านซอกซอยมา จู่ๆ หยางอี๋เหนียงก็ชะงักฝีเท้า
เดิมทีคิดว่าจะเห็นลานที่มีคนคุ้มกันเฝ้าอย่างแน่นหนา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเรือนปั้นเย่ว์พั่นที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ ติดทะเลสาบและรั้วกำแพง ราวกับบ้านของชาวนาที่เงียบสงบก็ไม่ปาน
“หยางอี๋เหนียง เชิญทางนี้ขอรับ!” บ่าวรับใช้ชายอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีเป็นคนนำทาง ร่างกายสูงเพรียว ท่ามกลางความมืด สายตาของเขาเป็นประกายดูเฉลียวฉลาด
หยางอี๋เหนียงรีบสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็เดินตามบ่าวรับใช้คนนั้นไปเงียบๆ
ลมพัดผ่านมา ใบไม้ปลิวไสว ในป่าไม้ราวกับมีเงาที่เคลื่อนไหวไปมานับไม่ถ้วน
นางรีบก้มหน้าก้มตาแล้วเดินตามบ่าวรับใช้ชายเข้าไปในห้องโถงของเรือน
ในห้องโถงนั้นเงียบสงัด มีโต๊ะยาวตั้งอยู่ ผ้าม่านและโต๊ะดอกไม้ล้วนอยู่ในความมืด มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมที่มีโคมไฟส่องแสงสว่างราวกับดวงจันทร์ เปล่งแสงอบอุ่นออกมา
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างโคมไฟ แสงไฟสว่างสาดส่องกระทบใบหน้าของเขา ทำให้หน้าตาที่หล่อเหลานั้นดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
หยางอี๋เหนียงรู้สึกโล่งใจ นางค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้น
“ข้าหยางอี๋เหนียง คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ!”
หัวเข่าของนางรู้สึกถึงความเย็น แต่กลับไม่รู้สึกถึงความขรุขระระคายผิว
พื้นน่าจะปูด้วยอิฐสีฟ้าขัดเงากระมัง!
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงครั้งแรกที่เจอกับเจี้ยนหนิงโหว
ตอนนั้นเป็นยามเย็นเช่นกัน นางคุกเข่าอยู่บนอิฐสีน้ำฟ้าเช่นนี้เหมือนกัน ตอนนั้นครอบครัวยากจน ในกระโปรงมีเพียงกางเกงตัวเดียว นางตัวสั่นเทา แต่กลับไม่รู้สึกถึงความหนาว มีเพียงความรู้สึกที่ตื่นเต้นและระแวดระวังเมื่อเจอสกุลใหญ่สกุลโต ไม่เหมือนตอนนี้ ถึงแม้ว่าข้างนอกจะใส่กางเกงหุ้มเข่าที่ปักลายดอกเหมย แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย…
“ลุกขึ้นพูดเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
หยางอี๋เหนียงรู้สึกโล่งใจ
แต่นางไม่ได้ยืนขึ้นตามที่เขาบอก กลับคุกเข่าแล้วก้มหน้าก้มตาอยู่บนพื้น
“ท่านโหวเจ้าคะ ข้าไม่กล้าเจ้าค่ะ” นางกลั้นหายใจ พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูชัดเจนและสบายหู “ข้ามาหาท่านอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ ข้า…ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ เจ้าค่ะ…” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มีกลิ่นอายของความเสียใจ
*****
ฟังซีถือโคมไฟเดินอยู่ข้างหน้า แล้วยังเหลือบมองสืออีเหนียงที่อยู่ข้างหลังเป็นครั้งคราว
ท่าทีที่อ่อนโยนของสืออีเหนียง บวกกับนิสัยที่สุขุมของนาง ทำให้นางดูสง่างามท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ฟังซีเคยเป็นสาวใช้น้อยมาก่อน นางเลยถนัดถือโคมไฟมากที่สุด
ทุกครั้งที่นำทางให้ฮูหยิน ตราบใดที่นางเดินช้าลง ก็ยังสามารถเดินอกผายไหล่ผึ่งนำทางอยู่ข้างหน้า
แต่ครั้งนี้…
นางเดินช้าลงไม่ได้ เดินเร็วก็ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะใกล้เกินไป แต่ว่ามันไกลเกินไป เดินเช่นไรก็รู้สึกอึดอัด
ฟังซีรู้สึกกังวล และเมื่อนางหันกลับไปมองอีกครั้ง สายตาของนางก็หันไปเจอกับจู๋เซียง
จู๋เซียงเห็นนางมองมาที่ตัวเอง ก็ส่ายหน้าเบาๆ
ออกมาจากประตู ถึงแม้ว่าฝีเท้าของฮูหยินจะแผ่วเบาราวกับก้อนเมฆก็ไม่ปาน แต่เมื่อเดินมาถึงศาลา นางก็หยุดชะงักแล้วเดินช้าลง เมื่อเดินขึ้นทางเดิน นางก็เดินอย่างแผ่วเบาเหมือนปกติ…ตอนนี้แค่เงยหน้าขึ้นก็เห็นศาลาชุนเหยี่ยนแล้ว ฮูหยินก็เดินช้าลงอีกครั้ง
จู๋เซียงครุ่นคิด นางพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ หากท่านเหนื่อย เราไปพักที่ศาลาชุนเหยี่ยนกันก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ!”
ไม่ได้มาเที่ยวเสียหน่อย ไม่ได้นำเบาะรองนั่งมาด้วย แล้วอีกอย่างศาลาชุนเหยี่ยนก็สร้างอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ถึงแม้ว่าจะไม่สูงแต่ก็อยู่ไกล ในเมื่อเดินเหนื่อยแล้ว เหตุใดถึงไม่พักผ่อนบนม้านั่งหินข้างทางเดิน ทำไมต้องไปพักไกลๆ ปีนขึ้นไปที่ศาลาชุนเหยี่ยนด้วยเล่า
ฟังซีหยุดเดินแล้วหันกลับไป นางยิ้มมุมปาก กำลังจะพูดแนะนำ ก็ได้ยินน้ำเสียงที่มีความลังเลของสืออีเหนียงดังขึ้นมา “ได้เลย! ไปนั่งที่ศาลาชุนเหยี่ยนกันเถิด!”
ในความมืดมิด สีหน้าของจู๋เซียงผ่อนคลายลง
หยางอี๋เหนียงคืออนุภรรยาของท่านโหว มีเรื่องอยากจะคุยกับท่านโหว ก็ต้องให้ท่านโหวเป็นคนตัดสินใจว่าจะเจอกับนางหรือไม่ หากฮูหยินรีบตามไปเช่นนี้ จะมีท่าทีของความเป็นภรรยาเอกได้อย่างไร ถึงแม้ว่าหยางอี๋เหนียงคนนั้นบรรลุเป้าหมาย ฮูหยินก็อาจจะถูกมองว่า ‘ผิดที่ผิดเวลา’ แต่หากนางมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับท่านโหวจริงๆ ฮูหยินก็จะกลายเป็นตัวตลกของจวน! ความมีเมตตาของฮูหยินในอดีตก็จะกลายเป็นเรื่องจอมปลอม!
แต่ประโยคพวกนี้ นางพูดออกมาไม่ได้
เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง กังวลมากเกินไปอาจจะเกิดความวุ่นวาย ฮูหยินเป็นคนฉลาด แต่นางแค่ใจร้อนไปหน่อยแค่นั้นเอง
ตนแค่ยื้อเวลาให้ฮูหยินคิดได้
เมื่อฮูหยินคิดได้แล้ว นางก็จะรู้ว่าควรทำเช่นไร!
จู๋เซียงยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “ฟังซี” บอกให้นางนำทางข้างหน้า ส่วนตัวเองประคองสืออีเหนียงไปที่ศาลาชุนเหยี่ยน
*****
“…ในเมื่อแต่งเข้ามาในสกุลสวีแล้ว ก็คือคนของสกุลสวีเจ้าค่ะ” หยางอี๋เหนียงเงยหน้าขึ้น ภายใต้แสงไฟ หยดน้ำในดวงตาของนางราวกับหยดน้ำค้าง “ตอนนี้ ข้าไม่ควรสนใจเรื่องของสกุลเดิม แต่ในฐานะบุตรสาว รู้ว่าบิดามารดาของตัวเองกำลังลำบาก จะให้ไม่สนใจได้อย่างไร ท่านโหวเจ้าคะ…” นางคุกเข่าแล้วขยับไปข้างหน้าสองสามก้าว จนกระทั่งตัวเองอยู่ห่างจากเท้าของสวีลิ่งอี๋เพียงคืบเดียว “ข้าไร้ความสามารถ ไม่กล้าขอร้องให้ท่านโหวให้ความสำคัญ ขอเพียงท่านแค่สงสารข้าที่ตัวคนเดียว เหมือนเวลาท่านเจอขอทานบนถนนแล้วโยนเศษเหรียญให้สองสามเหรียญ ทำให้ขอทานคนนั้นได้มีชีวิตต่อไป ช่วยให้ข้ารอดจากความลำบากครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ…” พูดจบ นางก็ก้มหน้าลง น้ำตาหยดลงบนเข่าของสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวเจ้าคะ ท่านโหว…ข้าหวาดกลัวยิ่งนัก นอกจากท่านโหวแล้ว ข้าก็ไม่มีใครแล้วเจ้าค่ะ… “
*****
มองจากศาลาชุนเหยี่ยนออกไปทางเหนือ จะสามารถมองเห็นทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับของเรือนปั้นเย่ว์พั่น เรือนหลังเล็กๆ กับแสงไฟที่เล็กราวกับเมล็ดถั่วในห้องโถงก็ไม่ปาน
ลมตอนกลางคืนของเดือนสองพัดผ่านมา พลอยทำให้รู้สึกเย็นเล็กน้อย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่มีทางทำเรื่องอะไรเหลวไหลตอนนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองควรจะทำเป็นไม่สนใจเหมือนเมื่อก่อน แต่เหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดในใจ เหตุใดถึงวิ่งมาที่ศาลาชุนเหยี่ยนโดยที่ไม่คิดอะไรเช่นนี้!
สืออีเหนียงยกแขนขึ้นกอดหน้าอกแล้วยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ มองดูเรือนปั้นเย่ว์พั่นอย่างเงียบเชียบ
ปัญหาบางอย่าง จะมองข้ามไม่ได้
ยืนหยัดหรือว่าประนีประนอม…ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น!
คิดเช่นนี้ นางก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ
หากคนที่สวีลิ่งอี๋เจอไม่ใช่ตน ชีวิตของเขาอาจจะเรียบง่ายมากกว่านี้กระมัง!
*****
มีเสียงไฟประทุดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางเสียงร่ำไห้
สวีลิ่งอี๋นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เขาพูดขึ้น “ข้าได้ยินคนบอกว่า สกุลหยางของเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่ในชนบท เหตุใดบิดาของเจ้าอับอายขายหน้าเช่นนี้แต่ไม่มีใครออกหน้ายื่นมือช่วยเหลือสักคน!”
หยางอี๋เหนียงได้ฟังก็สะดุ้งตกใจ
สวีลิ่งอี๋กำลังบอกว่าท่านพ่อของตนประพฤติตัวไม่ดี ดังนั้นจึงถูกสกุลทอดทิ้ง
นางไม่กล้าชักช้า จึงพูดเสียงเบาว่า “บุตรจะตำหนิความผิดพลาดของบิดามารดาไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่สบายใจ” นางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋อย่างรวดเร็ว
นางไม่ได้หลบหน้า แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ แค่บอกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้
ช่างฉลาดเสียจริง!
สวีลิ่งอี๋ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หลังจากพยายามมาหลายครั้ง ในที่สุดก็หาวิธีจนเจอ
สายตาของหยางอี๋เหนียงพลันเป็นประกาย นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสวีลิ่งอี๋ถึงชอบสืออีเหนียง
“ท่านโหวเจ้าคะ!” นางเลียนแบบท่าทีของสืออีเหนียง พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบที่สุด “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล แต่ข้าขอร้องให้ท่านโหวช่วยข้า หลังจากนี้ ข้าจะรักใคร่ปรองดองกับคนในจวน และช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าเจ้าค่ะ…” นางวางมือลงบนเข่าของสวีลิ่งอี๋เบาๆ ความชื้นบนเสื้อคลุมทำให้หยางอี๋เหนียงรู้สึกอุ่นใจ นางจับจ้องไปยังสวีลิ่งอี๋ ความคาดหวังในใจของนางราวกับไฟที่กำลังลุกโชน ทำให้สายตาของนางเป็นประกาย “…ข้าจะไม่มีทางแอบอ้างชื่อเสียงของจวนหย่งผิงโหวทำเรื่องอันใดที่เลวร้าย…” ยังพูดไม่ทันจบ เสียงของหยางอี๋เหนียงก็ค่อยๆ เบาลง
รอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปากของสวีลิ่งอี๋กลายเป็นรอยยิ้มที่เยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม
ผิดพลาดที่ใดกัน
ราวกับเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาตรงปลายจมูก
นางพลันหัวหมุนอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าหยุดพูด เพราะกลัวว่าบรรยากาศจะเงียบและไม่มีทางหนีทีไล่
“ข้าจะบอกท่านพ่อให้ชัดเจนเจ้าค่ะ หลังจากเรื่องนี้ ข้าคิดว่าท่านพ่อก็คงจะรู้ความมากขึ้น คงจะทำอะไรรอบคอบมากขึ้น…”
สวีลิ่งอี๋คือคนที่เคยปีนออกมาจากกองซากศพของคนตาย เขาจึงให้ความสำคัญกับคนที่ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดทุกคน มองดูนางเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้ว่าจะรู้สึกขบขัน แต่นี่คือนิสัยที่แท้จริงของนาง
เดิมทีคิดว่าจะปล่อยนางไป
แต่คิดไม่ถึงว่าบิดาของนางกำลังลำบาก แต่นางไม่คิดว่าจะช่วยเหลือคนในครอบครัวเช่นไร กลับคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ทำเพื่อตัวเองเช่นไร
เขามองดูมือที่วางอยู่ตรงเข่าของตัวเอง
ทันใดนั้นหยางอี๋เหนียงก็รู้สึกว่ามือของตัวเองร้อนผ่าวราวกับถูกไฟแผดเผาก็ไม่ปาน
นางเข้าใจทันที
หากตัวเองเป็นห่วงคนในครอบครัวจริงๆ ตอนนี้เวลานี้ จะใช้วิธีเจ้าเล่ห์เช่นนี้ได้อย่างไร
นางดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว ในใจพลันรู้สึกเสียใจ
“ท่านโหวเจ้าคะ…” สายตาของนางมีความตื่นตระหนก น้ำเสียงก็ไม่ฉะฉานเช่นเดิมแล้ว “ท่านเป็นคนมีเมตตาและใจกว้าง…หากท่านพ่อรู้ เขาจะต้องซาบซึ้งในความดีของท่านอย่างแน่นอน… “
มีเสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามาเงียบๆ
นางไม่กล้าหันหน้าไปมอง แต่กลับเหลือบตามอง ก็เห็นรองเท้าสีน้ำตาลคู่หนึ่งมาหยุดอยู่ตรงข้างๆ
คนที่มาไม่สนใจว่านางกำลังพูดอะไร เอ่ยเรียก “ท่านโหว” ด้วยความเคารพ จากนั้นก็ไปกระซิบกระซาบข้างหูสวีลิ่งอี๋
หยางอี๋เหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่มีคนเข้ามา ไม่เช่นนั้น ตนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปจริงๆ
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางก็รีบมองดูคนที่เดินเข้ามา
เขาคือบ่าวรับใช้ชายที่นำทางนางเข้ามาที่นี่
ถึงแม้จะอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่กลับไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ได้ยินเพียง “ศาลาชุนเหยี่ยน”
นางเห็นสายตาของสวีลิ่งอี๋อบอุ่นขึ้นมาราวกับโคมไฟที่อยู่ข้างโต๊ะ
“รู้แล้ว!” เขาพูดเบาๆ “พวกเจ้าคอยดูเอาไว้ กลางค่ำกลางคืน อย่าให้หกล้มไป หากเข้ามาพวกเจ้าก็ไม่ต้องห้าม!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความปิติ
*****
ฟังซีและจู๋เซียงยืนอยู่กับสืออีเหนียงอย่างเงียบเสียง เมื่อเวลาผ่านไป พวกนางก็รู้สึกว่ามือและเท้าเริ่มเย็น อดไม่ได้ที่จะขยับเท้าเบาๆ
ราวกับรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพวกนาง สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วหันกลับมาพูดว่า “เรากลับกันเถิด!”
“กลับหรือเจ้าคะ!” ฟังซีมองไปที่สืออีเหนียงด้วยความตกใจ
จะปล่อยให้หยางอี๋เหนียงอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นแบบนี้?
หากอี๋เหนียงคนอื่นรู้แล้วเอาเป็นแบบอย่างจะทำเช่นไร
แต่ว่าที่นี่ยังมีจู๋เซียง หากจะเอ่ยเตือนฮูหยิน ก็ไม่ใช่หน้าที่ของตน
นางรีบขยิบตาให้จู๋เซียง
แต่ใครจะรู้ว่าจู๋เซียงกลับยิ้มแล้วประคองสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ ตอนกลางคืนมีหมอก ระวังลื่นเจ้าค่ะ” ไม่ได้พูดคัดค้านอะไรสักอย่าง
ฟังซีไม่มีทางเลือก นางจึงทำหน้าบึ้งแล้วเดินนำไปข้างหน้า คอยส่องทางให้พวกนาง
*****
หลังจากบ่าวรับใช้เดินออกไป บรรยากาศในห้องก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
หยางอี๋เหนียงคุกเข่าอยู่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ แต่วางมือทั้งสองข้างไว้บนเข่าของตัวเอง นั่งหลังเหยียดตรง ก้มหน้าก้มตา ทำให้นางดูสง่างามและอ่อนช้อย
