เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมีพื้นหลังตระกูลที่ขาวสะอาดหรือไม่สะอาด ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นบุตรสาวที่ดีของตระกูลหรือไม่
ลึกๆ สืออีเหนียงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก นางค่อนข้างรู้สึกหดหู่ใจ อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นพึมพำเสียงเบาว่า “หญิงสาวส่องกระจกกล่าวโทษตัวเองด้วยความโศกเศร้า เสียใจที่สนับสนุนสามีไปออกรบแสวงหาเกียรติยศในสงคราม”
หากว่าหลัวเจิ้นซิ่งสอบราชบัณฑิตจิ้นซื่อไม่ได้ ตามนิสัยใจคอของหลัวเจิ้นซิ่งแล้ว ไม่ว่าจะนายหญิงใหญ่ใจจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ คงจะไม่รับอนุภรรยาอย่างแน่นอน!
ถึงแม้ว่านางจะพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่สวีลิ่งอี๋ที่คอยสังเกตนางอยู่ตลอดนั้นสามารถได้ยินทุกคำพูดของนางได้อย่างชัดเจน
เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
นึกถึงคำพูดที่นางพยายามโน้มน้าวและเกลี้ยกล่อมเขาตอนที่นางพึ่งจะแต่งงานเข้าจวนมา นึกถึงตอนที่นางได้ยินจูอานผิงและชีเหนียงคุยกันทั้งน้ำตาในครั้งนั้น ริมฝีปากของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ดูเหมือนว่าสืออีเหนียงจะคอยอิจฉาคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันและได้อยู่เคียงข้างกันอย่างมีความสุข แม้กระทั่งเขาที่ลาออกจากงานในราชสำนักแล้วว่างงานอยู่ที่บ้าน นางก็ดูจะดีใจไม่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองภรรยาของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นางกำลังก้มหน้าก้มตาจัดระเบียบของที่อยู่ในตะกร้าหวาย นิ้วมือที่เรียวยาว เล็บมือที่ถูกตัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นางกำลังพับถุงเท้าในตะกร้าหวายด้วยความตั้งใจ นำเข็มและด้ายวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ท่าทางสุขุมและสง่างาม สีหน้าสงบและอ่อนโยน จู่ๆ เขาก็หวนนึกถึงตอนที่เขายังเด็ก ตอนนั้นเขากำลังสะลึมสะลือ แม่นมนั่งอยู่ข้างๆ เตียง กำลังก้มหน้าก้มตาปักผ้าอย่างใจเย็นเช่นนี้เหมือนกัน รอยยิ้มที่อ่อนโยน นางยกน้ำชาร้อนๆ มาให้เขา จากนั้นก็กล่อมเขาเข้านอน เวลาที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แม่นมก็ยังคงอยู่ที่เดิม ถือเสื้อที่พึ่งเย็บเสร็จ รอเขาตื่นนอนด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม…ชีวิตประจำวันที่ผ่านพ้นอย่างสงบ แต่กลับรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย…ความรู้สึกเหมือนกับเวลานี้ไม่มีผิด!
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้เลย
จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็กุมมือของสืออีเหนียงไว้
จ้องมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เงียบงันพูดอะไรไม่ออก คำพูดพรั่งพรูเข้ามาในหัวมากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดคำไหนดี
สืออีเหนียงกลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหววางใจเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปเตรียมของขวัญเจอหน้าให้กับอี๋เหนียงคนใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วให้พี่ใหญ่เอาไปด้วยเจ้าค่ะ!”
เรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อได้บ่นออกมาแล้ว ก็ควรเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง จะได้ไม่กองทับถมอยู่ในใจจนเน่าเปื่อยกลายเป็นหนอน ยิ่งไปกว่านั้นฝั่งหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นยาพิษ แต่อีกฝั่งอาจเห็นเป็นน้ำผึ้งก็ว่าได้
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ หยุดคำพูดที่จะพูดไป
ยังมีเรื่องไหนที่ตนยังไม่รู้อีกนะ
สืออีเหนียงอยากจะถามเรื่องราวให้ละเอียด แต่เจี้ยเกอที่ก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรอยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าเขียนเสร็จแล้วขอรับ!” จากนั้นเขาก็ยกกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาให้สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงดู
ทั้งสองก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สวีลิ่งอี๋ถึงขั้นออกปากชมสวีซื่อเจี้ยอีกด้วย “เขียนได้ไม่เลว ต่อไปหากฝึกเขียนมากขึ้น วันข้างหน้าจะเขียนได้ดีกว่านี้”
สวีซื่อเจี้ยรีบหันไปมองสืออีเหนียงพร้อมกับยิ้มกว้างด้วยรอยยิ้มที่สดใส ราวกับแสงแดดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน
สะใภ้หนานหย่งก็ได้เข้ามาอุ้มสวีซื่อเจี้ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหวและฮูหยินก็รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเบาๆ รอสวีซื่อเจี้ยคารวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชิวอวี่ออกไปส่งเขาที่หน้าประตู
สวีลิ่งอี๋ก็อุ้มจิ่นเกอไปเข้านอนที่เรือนหน่วนเก๋อ จากนั้นก็ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วจึงเข้านอน
กลางดึก จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก นางจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าสวีลิ่งอี๋กำลังกอดนางไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น ใบหน้าของเขากำลังแนบอยู่บนเนินอกของนาง
มิน่าเล่านางถึงได้หายใจไม่ออก
“ท่านโหว!” นางขยับตัวเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร่นัก ความซาบซ่านค่อยๆ แผ่ไปทั่วทั้งร่างกาย
สืออีเหนียงครางเสียงเบาด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน ค่อยๆ หลับตาลงพลางยื่นแขนทั้งสองกอดคอของเขาไว้ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา
สวีลิ่งอี๋กลับไม่ยอมให้สืออีเหนียงซุกหน้าในอ้อมแขนของเขา เขาเชยคางของนางขึ้นมาพลางพินิจใบหน้านั้นอย่างละเอียด
สุขภาพของนางไม่ค่อยดี แต่สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาแล้ว ถือว่าไม่มีเงื่อนไขใดๆ
สวีลิ่งอี๋สังเกตสีหน้าของนางด้วยความตั้งใจ
ครั้งนี้ สืออีเหนียงกลับหลบหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
“เป็นอะไรไป!” สวีลิ่งอี๋ทำได้เพียงจูบผมของนางพร้อมกับปลอบนางด้วยเสียงที่แผ่วเบา
ทัศนคติของสวีลิ่งอี๋ที่มีต่อเรื่องการรับอนุภรรยาของหลัวเจิ้นซิ่ง พลอยทำให้สืออีเหนียงใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก
นางเข้าใจดีว่า ‘แม่น้ำและขุนเขานั้นเปลี่ยนง่าย แต่นิสัยดั้งเดิมนั้นเปลี่ยนยาก’ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ใช้ความรักเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายยอมประนีประนอมและอะลุ่มอล่วย โดยส่วนมากแล้วก็มักจะพ่ายแพ้และล้มเหลว นับประสาอะไรกับสวีลิ่งอี๋ที่ได้รับการศึกษาจากผู้มีความรู้ระดับสูงเกี่ยวกับระบบศักดินาตั้งแต่วัยเด็ก หากคิดอยากจะไปโน้มน้าวและคัดค้านสิ่งที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิต ก็ดูจะเป็นแค่ความเพ้อฝันของคนโง่เขลาก็เท่านั้น นางเองก็เข้าใจดี เมื่อใดที่อารมณ์อยู่เหนือกว่าเหตุผล คนเราก็จะสามารถประนีประนอมและยอมที่จะถอย ยอมแม้กระทั่งให้ตัวเองไปอยู่ในจุดที่ต้อยต่ำที่สุด มิเช่นนั้น จะมีคนมากมายที่เวลาได้เจอกับคนที่ถูกใจแล้วจะสามารถสรรหาเงื่อนไขที่ไร้สาระเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
ก็แค่ดูว่าเราทุ่มเทความรู้สึกให้กับคนคนนั้นลึกซึ้งแค่ไหนเท่านั้นเอง
สืออีเหนียงอยากจะลองรักษาคนที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้
ใช้ความเอาใจใส่และหัวใจที่โอบอ้อมอารี ก็เหมือนกับเขาที่ทิ้งความแตกต่างที่แบ่งแยกระหว่างชายหญิง ยอมให้หมอหลิวฝังเข็มให้นาง เหมือนกับตอนที่นางกำลังอยู่บนความเป็นความตายตอนให้กำเนิดจิ่นเกอ เขายอมที่จะละทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบของวงศ์ตระกูลให้หมอตำแยช่วยชีวิตของนางก่อน…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็เริ่มรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เหมือนกำลังจะร้องไห้อย่างไรอย่างนั้น
นางซุกหน้าเข้าไปใยอ้อมกอดของเขาลึกเข้าไปกว่าเดิม
เวลาอย่างนี้ สืออีเหนียงไม่อยากให้เขามองเห็นสีหน้าของนาง
“ท่าน…ท่านชอบรังแกข้าตลอด!”
สวีลิ่งอี๋ชอบที่สืออีเหนียงที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอันใดก็มักจะมีสติปัญญาเสมอ ชอบเวลาที่นางพูดจาติดตลก นางไม่ได้ว่านอนสอนง่ายและเชื่อฟังเสียทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ก้าวร้าวและโต้แย้งอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกิริยาท่าทีและเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ที่นางแสดงให้เขาเพื่อที่พยายามจะยืนกรานความคิดของนางเอง…ยามว่างเขามักจะชอบนัวเนียอยู่กับแต่นาง ชอบท่าทีที่นางโกรธเคือง เขินอายหรือเสียอาการจนทำตัวไม่ถูก
เมื่อได้ยินแล้วเขาก็หัวเราะพร้อมกับถามนางว่า “ข้าไปรังแกเจ้าตอนไหน เจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีข้าไม่ได้นะ!”
******
ท้องฟ้าพึ่งจะเริ่มสว่าง สวีลิ่งอี๋ก็ตื่นนอนแล้ว
สืออีเหนียงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหว เปลือกตาของนางค่อยๆ ขยับเบาๆ สืออีเหนียงไม่ได้ลืมตาขึ้นมา นางเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “สวีลิ่งอี๋”
น้ำเสียงที่เบาหวิว ราวกับเสียงร้องของลูกแมวน้อยก็ไม่ปาน
มุมปากของสวีลิ่งอี๋โค้งขึ้นมาได้องศาพอดี เขาตอบกลับนางด้วยเสียงกระซิบข้างหูที่แผ่วเบา
สืออีเหนียงค่อยๆ ขยับตัวเองเข้าหาอ้อมแขนของเขา และค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งอย่างสบายใจ
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ หยัดกายขึ้นมาพิงกับหัวเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ ลูบเส้นผมที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนสีแดงสดลายปลาหลีฮื้อและดอกเบญจมาศอย่างเบามือ
ถึงแม้เขาจะลูบผมของนาง แต่สืออีเหนียงก็ไม่รู้สึกตัวอยู่ดี
สวีลิ่งอี๋จึงโน้มตัวลงไปหอมหน้าผากของนางเบาๆ
ทุกครั้งที่สืออีเหนียงเหนื่อยล้าจนเกินไปหรือถูกทำให้สะดุ้งตื่น นางก็มักจะเรียกชื่อของเขาเสมอ หากได้รับการตอบกลับของเขา สืออีเหนียงก็จะสามารถนอนต่อได้อย่างสบายใจ ราวกับว่าขอแค่เขาอยู่ตรงนั้น นางก็จะสามารถหลับต่อได้อย่างสบายใจ สามารถวางทุกๆ เรื่องในมือของนางลงและฝากฝังไว้กับเขาได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวีลิ่งอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องมองใบหน้าที่กำลังหลับลึกของสืออีเหนียงด้วยอาการเหม่อลอย
เหมือนว่าเมื่อนานมาแล้ว นางก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว…เมื่อลองคิดใคร่ครวญดีๆ …วันที่นางพึ่งแต่งงานเข้าจวนวันแรก ถึงแม้ว่านางกำลังไม่สบาย แต่นางไม่เคยกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย…และหากจะกลัว…ก็กลัวว่าเขาจะทำเรื่องอย่างนั้นกับนางเท่านั้น แต่ไม่ได้กลัวเขาเพราะอย่างอื่นเลย…
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
สืออีเหนียงไม่ใช่สตรีที่หัวอ่อนและว่านอนสอนง่ายเสมอมา แต่นางกลับไม่เคยสงสัยในตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องรู้ว่าตอนที่เขาและนางเจอกันครั้งแรก คือที่เรือนเล็ก คือตอนที่เขาถูกหยวนเหนียงจับชู้…
ในสายตาของนาง…เขาเป็นคนแบบไหนกัน
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ สัมผัสใบหน้าของสืออีเหนียงอย่างเบามือ
นอนหลับแล้วถูกรบกวน สืออีเหนียงจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เอียงหน้าหนี
สวีลิ่งอี๋จึงหยุดมือที่กำลังสัมผัสใบหน้าของนางไป
คิ้วที่ขมวดแน่นของสืออีเหนียงก็ค่อยๆ คลายตัวลง จากนั้นมุมปากของนางค่อยๆ เผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย งดงามและน่าหลงใหลราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
พลอยทำให้สวีลิ่งอี๋ยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว
เขาชอบสืออีเหนียงคนเมื่อวาน
ความคิดค่อยๆ แล่นผ่านเข้ามาในหัวของเขา สวีลิ่งอี๋ก็ค่อยๆ ดึงชายผ้านวมของนางให้เรียบ
แก้มที่แดงระเรื่อ คิ้วที่ขมวดแน่นและสีหน้าท่าทีที่จนใจของนางค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เชื่อมั่นในความรู้สึกของเขายิ่งกว่าเดิม
******
ตอนที่สวีซื่อจุนมาคารวะมารดาของเขา ก็รู้สึกว่าบรรยากาศในเรือนแปลกๆ
ถึงแม้ว่าใบหน้าของท่านพ่อและท่านแม่ของเขาจะมีรอยยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มของท่านแม่กลับดูค่อนข้างฝืน ไม่เหมือนรอยยิ้มของท่านพ่อ ที่ปรากฏให้เห็นตรงหว่างคิ้วอย่างชัดเจน อ่อนโยนและอบอุ่นราวกับแสงแดดเดือนสามในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
สวีซื่อเจี้ยดึงชายแขนเสื้อของสวีซื่อจุนเบาๆ
สวีซื่อจุนฉลาดเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้ถามคำถามอะไรออกไป เพียงแต่ตอบคำถามของบิดาเท่านั้น จากนั้นก็พากันออกมาจากเรือนพร้อมกับสวีซื่อเจี้ย
“ท่านแม่ป่วยแล้ว!” สวีซื่อเจี้ยรีบบอกกับสวีซื่อจุน “เมื่อเช้านี้ตอนที่ข้าไปคารวะท่านแม่ ท่านแม่ก็ไม่ตื่น!”
สวีซื่อจุนตกใจเป็นอย่างมาก “ป่วยหนักหรือไม่ เชิญหมอมาดูอาการแล้วหรือยัง!”
สวีซื่อเจี้ยแสดงสีหน้าสลดออกมา “ป้าซ่งบอกว่าไม่ต้องเชิญหมอ พักผ่อนสักครึ่งวันก็หาย!” แล้วก็ได้พูดต่อไปว่า “ท่านว่า เพราะเหตุใดถึงไม่ยอมเชิญหมอมาตรวจอาการ ทั้งๆ ที่มีคนป่วยอยู่แท้ๆ!”
สวีซื่อจุนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนี้ดีหรือไม่ ตอนพวกเราเลิกเรียนค่อยไปบอกท่านย่ากัน ท่านแม่ไม่กล้าเชิญหมอมา หากท่านย่าเห็นด้วยแล้ว ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก!”
สวีซื่อเจี้ยก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที “ดีเลย พวกเราไปบอกเรื่องนี้กับท่านย่ากัน!”
