ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 52 ดอกไม้ไฟ (ปลาย)

ตอนที่ 52 ดอกไม้ไฟ (ปลาย)

เฉียวฮูหยินรู้สึกเหมือนผืนฟ้าและผืนดินหมุนไปหมด 

 

 

การเกี่ยวดองกับทางสกุลหลัวเป็นความคิดของนางเอง คนที่บอกดีใจตอนเรื่องนี้สำเร็จก็เป็นนางเอง คนที่พูดหว่านล้อมจนเหลียนฝังพยักหน้าตอบรับก็เป็นตัวนางเอง…ตอนนี้เรื่องชุลมุนวุ่นวายขนาดนี้ นางจะบอกกับท่านกั๋วกงอย่างไรเล่า 

 

 

นอกจากนี้เหลียนฝังยังเป็นหลานสาวอีกด้วย บิดาของนางก็เสียไปตั้งแต่นางยังเด็ก… 

 

 

หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป นางจะวางตัวเช่นไรดี! 

 

 

ด้านข้างของนางมีคนตะโกนเรียกชื่อนางอย่างร้อนใจ แต่นางกลับไม่ได้ยินอะไรเลย นางนึกในใจเพียงว่า หากหมดสติไปไม่ต้องรับรู้อะไรก็คงดี เช่นนี้นางก็จะได้ไม่ต้องกลุ้มใจและไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีกต่อไป 

 

 

จากนั้นก็มีเสียงดังก้องมาจากก้นบึ้งหัวใจว่า นี่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองเสียหน่อย! 

 

 

ถึงแม้ว่าการที่ให้เหลียนฝังไปเดินเล่นที่บ้านสกุลสวีจะเป็นนางเองที่ทำไม่ถูก แต่นางก็ไม่ได้ให้เหลียนฝังไปตากลมหนาวถึงศาลาผีอะไรนั่นสักหน่อย และก็ไม่ได้ให้นางไปถึงลานสวนเล็กโดยที่ไม่หลีกเลี่ยงแบ่งแยกความเหมาะสมระหว่างชายหญิงเช่นนี้… 

 

 

ไม่ใช่ความผิดของนาง! 

 

 

ไม่ใช่ความผิดของนางอย่างแน่นอน! 

 

 

หากจะหาคนผิด ก็ล้วนเป็นความผิดของน้องสะใภ้ที่ไม่สั่งสอนบุตรีของตัวเองให้ดี เกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่า 

 

 

นางจึงรีบยืดตัวตรง พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นว่า “เหลียนฝัง” 

 

 

“ท่านอาสะใภ้” เสียงที่สะอื้นด้วยความตกใจของเหลียนฝังดังขึ้นข้างหูของนาง “ท่าน…ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ” 

 

 

เมื่อนางหันมา ก็เห็นเข้ากับใบหน้าที่ขาวเนียนอวบอิ่มของเหลียนฝัง 

 

 

ใบหน้านี้แหละที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น…หากไม่ใช่เพราะมีใบหน้านี้ นางจะกล้าทำได้อย่างไร 

 

 

เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัว…นางก็เงื้อมือขึ้นเพื่อจะตบไปยังใบหน้าของเฉียวเหลียนฝัง แต่จู่ๆ ก็มีเสียงของไท่ฮูหยินดังขึ้นว่า “ดีแล้ว ฟื้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าอย่ามุงล้อมอย่างนี้ ให้นางได้สูดอากาศที่ถ่ายเทสักหน่อย” 

 

 

เฉียวฮูหยินจึงได้ตื่นและได้สติขึ้นมาอย่างเต็มที่ 

 

 

ตอนนี้มาคิดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไร ต้องรีบกลับไปคิดวางแผนรับมือถึงจะถูก 

 

 

“เป็นอะไรไป” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นมิตร “ไม่สบายตรงไหนหรือ เข้าไปนั่งที่โถงบุปผากับข้า ข้างนอกเย็นลงมากแล้ว ระวังจะเป็นหวัดเอาได้” 

 

 

ฮูหยินห้าเข้าไปช่วยประคองมือข้างขวาของนาง 

 

 

นางจึงได้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา “ไท่ฮูหยิน ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกค่อนข้างเหนื่อย ก็เลยผล็อยหลับไป” เมื่อพูดจบ นางก็ได้ยิ้มขึ้นอย่างเก้อเขิน “นี่ก็ดึกมากแล้ว แขกทยอยกลับไปหมดแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ขอตัวกลับไปก่อนเจ้าค่ะ” พูดจบก็ได้เรียกเฉียวเหลียนฝัง “เรากลับกันเถิด!” 

 

 

หวงฮูหยินและคนอื่นๆ ก็ได้เข้ามารั้งไว้ด้วยความเป็นห่วง “สีหน้าของเจ้าซีดขนาดนี้ นั่งพักต่ออีกสักเดี๋ยวค่อยกลับเถิด!” 

 

 

“ข้ากลับไปนอนพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว” เฉียวฮูหยินยังคงยืนกรานที่จะกลับ แต่ทุกคนล้วนเห็นว่าเมื่อครู่นี้สีหน้าของนางดูแย่มาก ไท่ฮูหยินเองก็มีเรื่องในใจ จึงได้พูดคุยกับเฉียวฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้เรียกคุณชายห้าสกุลสวี “…เจ้าไปส่งฮูหยินเฉิงกั๋วกงหน่อย”  

 

 

คุณชายห้าสกุลสวีก็ได้ขานตอบกลับว่า “ขอรับ” ด้วยความเคารพ แล้วจึงได้ออกไปส่งเฉียวฮูหยินและเฉียวเหลียนฝังกลับไป 

 

 

เมื่อมีคนกลับไปก่อน ก็รู้สึกเหมือนงานเลี้ยงที่กำลังเลิกรา 

 

 

ไม่นาน เจิ้งไท่จวินก็ได้ลาไท่ฮูหยินแล้วกลับไป 

 

 

ไท่ฮูหยินได้เดินประคองออกมาส่งด้านนอกของโถงบุปผาด้วยตัวเอง จากนั้นก็ได้ให้คุณชายห้าสกุลสวีไปส่งที่นอกประตูใหญ่ 

 

 

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา 

 

 

เวลานี้นายหญิงใหญ่ยังไม่กลับมา 

 

 

นางครุ่นคิดในใจว่าควรจะให้คนไปตามดีหรือไม่ แต่แล้วนายหญิงใหญ่ก็ได้พาลั่วเชี่ยวเดินเข้ามาจากประตูด้านข้างโถงบุปผา 

 

 

สืออีเหนียงแสร้งว่าไม่ได้เห็นพวกเขาออกจากที่นี่ไป และได้หันไปคุยเสียงเบากับคุณหนูสามสกุลกาน นายหญิงใหญ่ได้เรียกอู่เหนียง สือเหนียงและนางด้วย “…พวกเราก็กลับกันเถิด! พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าอยู่บ้านคนเดียว!”  

 

 

พวกเรา หมายถึงใครกัน 

 

 

สือเหนียง อู่เหนียง และสืออีเหนียงย่อตัวถอนสายบัวพร้อมกับขานรับ “เจ้าค่ะ” 

 

 

นายหญิงใหญ่ยิ้มขึ้นช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็ได้พาทั้งสามไปทำความเคารพเพื่อลาไท่ฮูหยิน 

 

 

ไท่ฮูหยินได้พูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนเช่นเดียวกันกับเจิ้งไท่จวิน ส่งนายหญิงใหญ่ไปยังหน้าโถงบุปผา ขึ้นรถลากของคุณชายห้าสกุลสวีไปยังประตูฉุยฮวา แล้วจึงเปลี่ยนเป็นรถม้า คุณชายห้าสกุลสวียังได้ยื่นนามบัตรของหยงผิงโหวให้กับนายหญิงใหญ่ด้วยความใส่ใจ “…หากเจอกับคนจากกองปัญจทิศรักษานคร ท่านยื่นนามบัตรนี้ให้กับเขาก็พอแล้ว พี่สี่ยังพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง!” 

 

 

ด้วยความที่กลัวว่าแม่ยายจะดูถูกบุตรเขย สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นที่มุมปาก 

 

 

ตอนนี้เป็นเวลาที่ห้ามออกจากบ้าน นายหญิงใหญ่เองก็แอบเป็นกังวลใจเล็กน้อย แต่คุณชายห้าสกุลสวีก็ได้ให้ความช่วยเหลือในยามคับขัน นางจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับกล่าวขอบคุณคุณชายห้าสกุลสวี ทั้งคู่ได้พูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยเดินทางไปตามตามตรอกกงเสียน 

 

 

คุณนายใหญ่พาป้าหังมายืนรออยู่หน้าประตูฉุยฮวา 

 

 

นางเข้าไปช่วยประคองแม่สามีลงจากรถม้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “บ่ายวันนี้หวังฮูหยินมาเที่ยวหาท่านด้วย พอได้ยินว่าท่านไปที่จวนหย่งผิงโหว นางจึงให้นามบัตรไว้ นั่งอยู่ไม่นานก็กลับไปเจ้าค่ะ”  

 

 

หวัง? หรือว่าจะเป็นคนจากเรือนเม่ากั๋วกง 

 

 

สืออีเหนียงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ จึงรีบเงี่ยหูตั้งใจฟัง จนเกือบจะพลัดตกจากที่เหยียบเท้า ยังดีที่ตงชิงมือไวจึงคว้าตัวนางไว้ได้ทัน 

 

 

“หวังฮูหยินคนไหน” นายหญิงใหญ่ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ 

 

 

“เห็นบอกว่าเคยพบกับท่านที่เทียนจิน” คุณนายใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สามีของนางคือบุตรชายของจวนเจิ้นหนานโหวสกุลหวัง”  

 

 

คนที่เกือบจะตีกันเพราะแย่งที่นั่งบนเรือ…? 

 

 

นายหญิงใหญ่นึกขึ้นได้ทันที “นางเองหรอกหรือ! นางมาทำไมกัน” นางพูดขึ้นพลางเดินเข้าไปด้านใน สืออีเหนียงถอนหายใจออกมา 

 

 

คุณนายใหญ่เข้าไปช่วยประคองแขนขวาของนาง แล้วเดินตามเข้าไปในประตูฉุยฮวา “เห็นนางว่าใต้เท้าหวังได้ปล่อยตัวฝ่ายปกครองมณฑลฝูเจี้ยนแล้ว กำลังจะเดินทางเร็วๆ นี้ จึงตั้งใจจะมาเยี่ยมเยียน ว่าท่านพ่อท่านแม่มีอะไรฝากไปทางโน้นหรือเปล่า” น้ำเสียงของนางค่อนข้างทุ้มต่ำ 

 

 

นายหญิงใหญ่ชะงักฝีเท้าลงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเดินต่อ “ข้ารู้แล้ว เมื่อคนจากมา ความสัมพันธ์ก็แปรเปลี่ยน ไม่มีอะไรให้น่าฝากไปหรอก”  

 

 

คุณนายใหญ่พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย 

 

 

“ซิวเกอเล่า” นายหญิงใหญ่ถามขึ้น “พักผ่อนแล้วหรือ”  

 

 

“พักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“แล้วซิงเกอเล่า” 

 

 

“อยู่ที่ห้องตำราเจ้าค่ะ” 

 

 

“นายท่านใหญ่อยู่ที่เรือนหรือไม่” นายหญิงใหญ่ถามต่อ 

 

 

คุณนายใหญ่ยิ้มขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านพ่อออกจากบ้านแต่เช้า พึ่งกลับมาเมื่อครู่นี้ ได้ยินว่าท่านรับสือเหนียงกลับมาด้วย ก็เลยดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้กำลังรออยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” 

 

 

สะใภ้ใหญ่คนนี้เป็นคนฉลาดไหวพริบดี 

 

 

สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ 

 

 

สาวใช้เปิดม่านเชิญนายหญิงใหญ่และคุณนายใหญ่เข้าไปในเรือน ทั้งสามคนเดินเรียงแถวตามเข้าไป เมื่อนายท่านใหญ่เห็นทั้งสามแล้ว ก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก รีบถามไถ่เรื่องราวของทางจวนหย่งผิงโหวที่พวกนางไปกัน จากนั้นก็ได้หันไปถามคุณนายใหญ่ว่า “ที่พักของสือเหนียงจัดเตรียมทำความสะอาดเสร็จแล้วหรือยัง”  

 

 

สือเหนียงรีบพูดขึ้นว่า “ข้ากับสืออีเหนียงนอนเบียดด้วยกันก็พอแล้วเจ้าค่ะ”  

 

 

นายท่านใหญ่หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในบ้านใช่ว่าจะไม่มีที่นอน จะไปนอนเบียดกันทำไมเล่า ไหนจะสาวใช้และคนติดตามตั้งเยอะตั้งแยะ จะเบียดก็เบียดไม่ลงเสียหน่อย!” 

 

 

บรรยากาศภายในห้องจึงเงียบลงไปโดยปริยาย 

 

 

ตอนที่พวกนางกลับมา ไม่มีใครบอกกล่าวกับคนของสือเหนียงเลย…สือเหนียงกลับมากับนายหญิงใหญ่ครั้งนี้ ไม่มีแม้แต่หีบสักใบ…จะมีสาวใช้และคนติดตามมาจากไหนกันล่ะ 

 

 

สืออีเหนียงทอดสายตามองไปยังนายหญิงใหญ่ 

 

 

สีหน้าและแววตาของนายหญิงใหญ่เรียบเฉยไม่แสดงอะไรออกมาทั้งสิ้น 

 

 

คุณนายใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ครั้งนี้น้องหญิงสิบมาค่อนข้างกะทันหัน จึงไม่ได้พาใครติดตามมาด้วย ถึงแม้นางจะบอกว่าสนิทสนมกับน้องหญิงสิบเอ็ด แต่ไปนอนเบียดกันอย่างนั้นก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก ข้าจะจัดห้องทิศตะวันออกให้กับน้องหญิงสิบ แล้วให้สาวใช้สองคนตามไปปรนนิบัติ ท่านพ่อ ท่านว่าอย่างนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

นายท่านใหญ่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และไม่ได้ถามเรื่องสือเหนียงต่อ จากนั้นเขาก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกับบุตรสาวทั้งหลายของเขาว่า “ถึงแม้ว่าจะไปเป็นแขกของเรือนอื่น แต่การเป็นแขกก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยเช่นกัน นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด!” จากนั้นก็ได้หันไปพูดกับคุณนายใหญ่ว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ต้องดูแลเด็กแล้วยังต้องปรนนิบัติผู้ใหญ่อีก เจ้าเองก็รีบไปพักผ่อนเถิด!” 

 

 

เมื่อได้รับการเชยชมจากพ่อตา สีหน้าแววตาของคุณนายใหญ่ก็เป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที นางย่อตัวถอนสายบัว จากนั้นก็พาอู่เหนียงและคนอื่นๆ เรียงแถวถอยออกไป 

 

 

นายท่านใหญ่จึงค่อยถามเรื่องหยวนเหนียงขึ้นมา “…ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”  

 

 

นายหญิงใหญ่ถอนลมหายใจออกมา “ยื้อได้แบบนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว!” 

 

 

สีหน้าและแววตาของนายท่านใหญ่มืดมัวลงไปในทันที 

 

 

นายหญิงใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นอย่างสองจิตสองใจว่า “หรือท่านควรไปขอร้องท่านโหวสักหน่อย เห็นแก่หยวนเหนียงที่ป่วยหนักเช่นนี้ เขาคงไม่…” 

 

 

ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดจบ นายท่านใหญ่ก็สบถ หึ ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “เจ้าก็รู้ว่าหยวนเหนียงป่วยอยู่ ข้าจะไปขอได้อย่างไร คำพูดพวกนี้ อย่าเอามาพูดอีก!” นายหญิงใหญ่ใบหน้าซีดเผือดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ตอบกลับไปว่า “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

***** 

 

 

เวลานี้เอง ทางไท่ฮูหยินสกุลสวีหย่งผิงโหวได้แขวนโคมไฟสว่างไสวไปทั่ว แม้ว่าจะดึกมากแล้ว เหล่าบรรดาสาวใช้ยังคงยืนเรียงรายอยู่ใต้ชายคาอย่างสงบเสงี่ยม 

 

 

วางถ้วยน้ำชาเก่าแก่สีฟ้าครามลงบนแท่นโต๊ะข้างหน้าต่างที่มีลวดลายสีดำเงาด้วยความระมัดระวัง จากนั้นจึงค่อยๆ ถอยออกไปด้วยความนอบน้อม ขณะที่กำลังเดินออกจากห้องไป ก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูกระจกลวดลายสีดำเงานั่นลง 

 

 

ภายในเรือนเหลือเพียงสวีลิ่งอี๋สองแม่ลูกเท่านั้น 

 

 

นายหญิงใหญ่พูดขึ้นโดยไม่พิธีรีตองและเคร่งครัดอะไรมากมาย “หากว่าไปตามจริงแล้ว เรื่องนี้เจ้าก็มีส่วนผิด ยามบ่ายไปดื่มสุราจนเมามายที่หอชุนซี ก็ควรที่จะต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำเข้าไปใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่าที่บ้านมีแขกเป็นผู้หญิง จะพักที่ไหนก็พัก แต่ต้องไปพักถึงลานสวนเล็กข้างโถงเตี่ยนชวนด้วยหรือ แถมยังไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามไปสักคน…” มองสีหน้าที่เคร่งเครียดของบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยมาทำสีหน้าอย่างนี้ บางครั้ง ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองดูบ้าง!” 

 

 

สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายกถ้วยน้ำชาลายครามขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย จากนั้นก็วางถ้วยน้ำชาลงบนแท่นโต๊ะค่อนข้างแรง “นี่มันเรื่องวุ่นวายอะไรกัน…” 

 

 

“เจ้าก็อย่าไประบายอารมณ์กับของพวกนี้เลย” นายหญิงใหญ่ตัดบทสนทนาของสวีลิ่งอี๋ลง “เล่ามาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น” 

 

 

“เรื่องมาถึงนี่แล้ว มีอะไรให้น่าพูดกัน” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเข้มขรึม “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” 

 

 

“จะจัดการเรียบร้อยหรือ” ไท่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ พร้อมกับหันไปมองหน้าของบุตรชาย “งั้นก็ลองพูดให้ฟังหน่อย ว่าเจ้ามีวิธีจัดการอย่างไร” 

 

 

“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องสนใจแล้ว!” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่ว่าอย่างไร ก็จะไม่ทำให้จวนสกุลสวีขายหน้าอย่างแน่นอน!” 

 

 

“ไม่ทำให้จวนสกุลสวีขายหน้าหรือ” รอยยิ้มไท่ฮูหยินค่อยๆ จางลง “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เรียกว่าขายหน้า? บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขา คุณหนูแห่งสำนักองคมนตรี มาฟังละครที่จวนของเรา ก็ต้องจำใจมาเป็นสะใภ้บ้านเรา นี่เรียกว่าไม่ขายหน้าเช่นนั้นหรือ เจ้าจะให้ผู้อื่นคิดอย่างไร จะให้คิดว่าคุณหนูสกุลเฉียวเป็นโรคบ้าคลั่งขาดซึ่งสติ หรือไม่มีใครมาแต่งด้วย จึงต้องส่งนางให้มาเป็นอนุของจวนสกุลสวี หรือว่าท่านโหวจวนหย่งผิงโหวสกุลสวีสนับสนุนในการกระทำของตนเอง มักมากในกาม กระทำเรื่องที่ไร้ซึ่งจรรยาบรรณและคุณธรรมออกมาได้…” เมื่อพูดถึงประโยคตอนท้าย น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความประชดประชัน 

 

 

“ท่านแม่! ท่านก็อย่าเอาคำพูดเหล่านี้มาประชดข้านัก” สวีลิ่งอี๋ดีดตัวลุกขึ้น “ตอนที่จัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของฮ่องเต้องค์ก่อน ฝ่าบาทเคยทรงรับสั่งให้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงเพื่อสนับสนุน แต่เขากลับกระทำการโดยผ่านๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นำไปสู่ความเกลียดชัง แต่ก็สร้างความกังวลใจไม่น้อย ฝ่าบาทจิตใจกว้างขวางไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่เขากลับใจคอคับแคบ วิตกกังวลร้อนใจจนเกินไป วันนี้ข้าไปมีความข้องเกี่ยวกับบุตรสาวจวนสกุลเฉียว ผู้คนต่างพูดกันว่าจวนสกุลเฉียวชอบเกาะตระกูลที่มั่งคั่งและสูงส่ง เรื่องอะไรจะต้องมาเกี่ยวข้องกับข้าด้วย” เมื่อพูดจบเขาก็หัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ถือโอกาสนี้คอยดูว่าทุกคนจะพูดเรื่องนี้ว่าอย่างไรกัน” 

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท