“ท่านอาสะใภ้สี่” สวีซื่อฉินเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “พวกเรามาเพื่อขอบะหมี่อายุยืนทาน”
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ” สืออีเหนียงยิ้มพลางเชิญพวกเขาไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือ ให้สาวใช้ไปกำชับคนครัวทำบะหมี่อายุยืนให้
สวีซื่อฉินรีบเอ่ยห้าม “ท่านอาสะใภ้สี่ ข้าเพียงหยอกล้อท่านเล่นขอรับ พวกเราทานอาหารเช้ามากันแล้ว” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเรามาเพื่ออวยพรวันเกิดให้น้องสอง”
สืออีเหนียงคิดเอาไว้อยู่แล้ว พูดเชิญพวกเขา “อีกสักครู่อยู่ทานอาหารกลางวันที่นี่เถิด!”
สวีซื่อฉินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ขอรับ เช่นนั้นขอรบกวนท่านอาสะใภ้ด้วย” แต่สายตากลับมองไปที่สวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้ส่ายหัวเบาๆ
สีหน้าสวีซื่อฉินดูกังวล ส่งสายตาให้สวีซื่ออวี้
สวีซื่ออวี้กลับหลบตาและมีท่าทางปฏิเสธ
สืออีเหนียงเข้าใจดี
เด็กผู้ชายอายุสิบห้าสิบหกปีล้วนมีความลับของตัวเอง
นางลอบยิ้ม พลางพูดหยอกล้ออย่างตรงไปตรงมา “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าเลิกยักคิ้วหลิ่วตาให้กันได้แล้ว นัดไว้ว่าจะไปไหนก็ไปกันเถิด เพียงแต่ว่าตอนกลางวันข้าจะให้ห้องครัวทำขนมเถาซู เมื่อถึงเวลานั้นอย่ามาโอดโอยว่าไม่ได้ทานก็แล้วกัน”
“เปล่าขอรับ!” สวีซื่ออวี้รีบปฏิเสธ
สีหน้าสวีซื่อฉินกลับดูปิติยินดี พูดขึ้นมาว่า “ขอบคุณท่านอาสะใภ้ขอรับ”
ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน อดหันไปมองหน้ากันไม่ได้
สวีซื่ออวี้มองสวีซื่อฉินแล้วพูดว่า “พวกเราไม่ได้มีแผนอะไร ตอนกลางวันจะอยู่ทานขนมเถาซูที่เรือนท่านแม่”
ถ้าไม่รวมความรู้สึกส่วนตัวแล้ว สวีซื่ออวี้นับว่าเป็นเด็กผู้ชายที่รู้ประสา ใส่ใจและละเอียดอ่อน
“ขนมเถาซูยังไม่ได้เริ่มทำเลย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะให้ห้องครัวทำเป็นอาหารสำหรับมื้อดึกก็ได้ ตอนกลางคืนก็ไม่ต้องมาคารวะแล้ว ทางฝั่งของท่านพ่อเจ้าข้าจะพูดกับเขาเอง วันนี้เป็นวันเกิดเจ้า ออกไปเที่ยวเล่นสักวันเถิด!”
สวีซื่ออวี้อยากจะพูดอะไรบางอย่าง สวีซื่อฉินก็อธิบายขึ้นมาว่า “ท่านอาสะใภ้ พวกเราไม่ได้จะออกนอกจวน เพียงแต่จะเชิญน้องสองไปดื่มที่เรือนของข้าสักหน่อย ข้าพึ่งจะแต่งงาน แล้วก็มาถึงวันเกิดของน้องสองพอดี…”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดตัดบทสนทนาของเขา “มีบรรดาผู้อาวุโสอย่างพวกเราอยู่ พวกเจ้าคงรู้สึกอึดอัด” จากนั้นก็กำชับว่า “สุราอาจทำลายสุขภาพได้ จำไว้ว่าอย่าดื่มมากเกินไป”
สวีซื่ออวี้คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะมองออกเช่นนี้ เมื่อพูดถึงตรงนี้ หากปฏิเสธก็จะดูเหมือนเสแสร้ง เขาจึงรีบให้คำสัญญา “ท่านแม่วางใจได้ พวกเราจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนขอรับ”
“ข้ารู้ พวกเจ้าสองคนพี่น้องต่างก็รู้จักขอบเขตดี” สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ไหว้วานฟังซื่อ “อย่าให้พวกเขาดื่มจนเมา!” จากนั้นก็ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปส่งพวกเขา
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยท่าทางเหมือนอยากไปด้วย
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้ม
เพราะว่าสวีซื่อฉินไม่ได้เชิญเจ้าตัวเล็กสองคนนี้ไปด้วย นางจึงไม่อาจปล่อยให้ทั้งสองคนนี้ไปกับพวกเขาได้
ให้จิ่นเกอเล่นอยู่บนเตียงเตาแล้วหันไปพูดกับสวีซื่อจุนต่อ “วันนั้นที่เจ้าไปปีนเขา ได้พบใต้เท้าเจี่ยงหรือไม่ นอกจากใต้เท้าเจี่ยงแล้วยังมีใครอีก”
สวีซื่อจุนไม่ใช่เด็กที่เอาแต่ใจเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงถามเขาก็ค่อยๆ หยุดความคิด ตอบสืออีเหนียงอย่างตั้งใจว่า “ยังมีโต้วเก๋อเหล่า ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหลี่ ใต้เท้าเฉิน…”
สืออีเหนียงถามถึงตำแหน่งหน้าที่ของใต้เท้าแต่ละท่าน รูปร่างหน้าตาและการปฏิบัติต่อผู้อื่น…
“โต้วเก๋อเหล่าเป็นมหาบัณฑิตของตำหนักเหวินหวา รูปร่างสูง ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ…” สวีซื่อจุนค่อยๆ ตอบทีละคำถาม
สวีซื่อเจี้ยนั่งฟังอยู่เงียบๆ บนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ด้านหน้าเตียงเตา จิ่นเกอลากหมอนอิงใบใหญ่ไปที่หัวเตียงเตา อีกสักครู่ก็ลากกลับมาที่ท้ายเตียงเตา ทั้งยังหยิบกลองป๋องแป๋งจากใต้โต๊ะบนเตียงเตามาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ดู แล้วยังเขย่าไปมาเสียงดัง พอโยนป๋องแป๋งทิ้งก็ไปดึงดอกชากุหลาบแดงในแจกันโลหะที่วางอยู่บนขอบหน้าต่าง ไม่อยู่นิ่งเลยแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่จิ่นเกอเริ่มเดินได้ ข้าวของเครื่องใช้ในเรือนของสืออีเหนียงก็เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด พวกแจกันโหลแก้วต่างๆ พยายามจะไม่ตั้งไว้ถ้าไม่จำเป็น อันไหนที่ต้องตั้งไว้ก็จะเปลี่ยนเป็นโลหะ เพราะกลัวว่าจิ่นเกอจะทำเครื่องลายครามแตกแล้วถูกบาดเป็นแผล
เจินเจี่ยเอ๋อร์กลัวเขาจะทำแจกันโลหะคว่ำจึงรีบพยุงแจกันโลหะไว้
จิ่นเกอดึงดอกไม้ออกมาอย่างราบรื่นแล้วรีบวิ่งไปหาสืออีเหนียง นำดอกไม้เสียบไว้บนศีรษะของสืออีเหนียง
ทำเอาเจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะลั่น
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเองก็ถูกเขาดึงดูดความสนใจ คนหนึ่งก็พูดอย่างใจลอย อีกคนหนึ่งก็เม้มปากยิ้ม
สืออีเหนียงเห็นว่าไม่เหมาะสม จึงหยุดถามคำถาม ยิ้มแล้วพูดว่า “วันๆ ข้าอยู่แต่ในจวน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าข้างนอกมีสิ่งที่น่าสนใจเช่นนี้ จุนเกอ หากต่อไปเจ้าได้ไปร่วมสังสรรค์อีก อย่าลืมกลับมาเล่าให้ข้าฟัง ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาด้วย”
สวีซื่อจุนตอบรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยหัวเราะแล้ววิ่งไปที่ข้างเตียงเตา “น้องหก น้องหก น้องหก” เรียกชื่อพลางจับมือน้อยๆ ของจิ่นเกอ
จิ่นเกอคิดว่าสวีซื่อเจี้ยอยากได้ดอกไม้ในมือของเขาจึงหันหนีแล้ววางดอกไม้ไว้ใต้โต๊ะบนเตียงเตา จากนั้นก็หันกลับมาโบกไม้โบกมือให้สวีซื่อเจี้ยเพื่อจะบอกว่าไม่มีดอกไม้แล้ว
ทุกคนต่างพากันหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน มีเพียงจิ่นเกอที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมึนงง มองมาที่พวกเขาอย่างทำตัวไม่ถูก…บางคนก็หัวเราะจนตัวงอ
ทันใดนั้นสวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา “เกิดอะไรขึ้น”
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพาบรรดาบุตรชายและบุตรสาวไปคำนับสวีลิ่งอี๋ สองสามีภรรยานั่งลงตามลำดับ เจินเจี่ยเอ๋อร์รับถ้วยชาจากสาวใช้น้อยมาคำนับท่านพ่อ จากนั้นสืออีเหนียงก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ อุ้มจิ่นเกอ “เจ้ากลายเป็นเด็กหวงของอย่างที่ท่านย่าพูดไว้จริงๆ ด้วย สิ่งใดที่ผ่านมือของเจ้าแล้ว คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้ไป!”
รอยยิ้มเอ็นดู ท่าทางทะนุถนอม…ราวกับว่าเขามีความอดทนและความสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับจิ่นเกอ ทำให้สวีซื่อจุนประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินบิดาถามถึงพี่สอง “…เหตุใดถึงไม่อยู่ที่นี่”
“ฉินเกอตั้งใจจัดงานเลี้ยงให้เขาโดยเฉพาะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางรับจิ่นเกอมา “ไปเล่นที่เรือนฉินเกอแล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรอีก หอมแก้มจิ่นเกอแล้วส่งเขาให้แม่นมกู้ “วันนี้อากาศดี อุ้มคุณชายน้อยหกไปรับแสงแดดที่ลานเถิด” ทำให้คำพูดทั้งหมดที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ถูกกลืนหายไป
จิ่นเกอกลับคว้าแขนเสื้อของสวีลิ่งอี๋ไม่ยอมปล่อย
สวีลิ่งอี๋ลูบศีรษะเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กดี ไปเล่นกับแม่นมกู้เถิด! ข้าต้องสอนพี่สี่เจ้าขี่ม้า!”
ตั้งแต่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สวีลิ่งอี๋ก็ได้หาอาจารย์มาสอนสวีซื่อจุนขี่ม้าและยิงธนู ทุกๆ ห้าวันจะมีเรียนสองชั่วยาม บางครั้งเขาก็มาเป็นอาจารย์ให้เอง
อย่างไรเสียสวีซื่อจุนก็เป็นเด็กผู้ชาย ถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ ทำได้เพียงนั่งอยู่บนม้าแล้วให้คนจูงม้าพาเดินอยู่ในสนามม้า ใช้ธนูคันเล็กที่ทำขึ้นเป็นพิเศษมาฝึกยิง แต่เมื่อมีคาบเรียนวิชาขี่ม้าและยิงธนู เขาก็มีท่าทางดีใจเป็นอย่างมาก
สวีซื่อเจี้ยได้ยินบิดาบอกว่าจะสอนพี่ชายขี่ม้าด้วยตัวเองจึงมองไปที่สวีซื่อจุนและสวีลิ่งอี๋ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา แต่จิ่นเกอที่เห็นว่าบิดายืนขึ้นแล้วกำลังจะเดินออกไป ก็เบะปากแล้วร้องไห้ออกมาทันที
แววตาของสวีลิ่งอี๋มีความลังเลปรากฏอยู่ครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวไปเถิด ข้าจะพาเด็กๆ ไปที่เรือนไท่ฮูหยิน!”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าไท่ฮูหยินชอบให้สืออีเหนียงพาจิ่นเกอไปเล่นด้วย
เขาจึงใจแข็งแล้วพาสวีซื่อจุนไปที่ลานด้านหน้า
จิ่นเกอร้องไห้ตามบิดาที่เดินออกไป
สืออีเหนียง เจินเจี่ยเอ๋อร์และเจี้ยเกอพากันกล่อมอยู่นานกว่าเขาจะหยุดร้องไห้แล้วสงบลง
อารมณ์ของเด็กน้อยเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสัมพันธ์กับอายุและความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นของเด็ก และยังเกี่ยวข้องกับความรักที่ผู้อื่นมีต่อเขา
ทำเอาสืออีเหนียงอดรู้สึกปวดหัวไม่ได้
หลังจากวันนั้น ฮองเฮาก็เรียกนางเข้าวังและประทานปิ่นปักผมดอกไม้ที่ทำจากไข่มุกทางตอนใต้สีเงิน บอกว่าให้เป็นของขวัญพิธีปักปิ่นของเจินเจี่ยเอ๋อร์
เมื่อมีของพระราชทานจากฮองเฮา พิธีปักปิ่นก็นับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว
เสืออีเหนียงเอ่ยพขอบพระทัย เมื่อออกจากพระตำหนักคุนหนิงก็ได้พบขันทีคนสนิทของฟังเจี่ยเอ๋อร์มอบกล่องไม้สีแดงให้ “บอกว่าพิธีปักปิ่นบุตรสาวคนโตของสวีลิ่งอี๋ในวันนั้นไม่สามารถไปร่วมเฉลิมฉลองได้ หวีงาช้างนี้เป็นสิ่งที่ไท่จื่อเฟยโปรดปรานมากที่สุด พระราชทานให้เป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่คุณหนูใหญ่”
สืออีเหนียงรับมาอย่างนอบน้อม มอบรางวัลให้ขันทีผู้นั้นแล้วถามว่าสามารถไปขอบพระทัยไท่จื่อเฟยด้วยตัวเองได้หรือไม่
ขันทียิ้มแล้วพูดว่า “องค์ไท่จื่อกำลังเสวยพระกระยาหารอยู่ที่พระตำหนักของไท่จื่อเฟย ไว้ฮูหยินหย่งผิงโหวค่อยมาวันหลังเถิด!”
สืออีเหนียงยิ้มรับคำแล้วกลับจวนหย่งผิงโหว
เมื่อไท่ฮูหยินรู้ว่าฮองเฮาและฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ประทานของขวัญให้ก็ย่อมดีใจเป็นอย่างมาก ปรึกษากับสืออีเหนียงว่าจะเชิญโจวฮูหยินมาเป็นแขกกิตติมศักดิ์ เชิญซื่อเหนียงมาเป็นแขกหลัก แล้วเชิญฟังซื่อมาเป็นผู้ดำเนินงานในพิธีปักปิ่น โจวฮูหยินกับซื่อเหนียงตอบตกลงด้วยความดีใจ เพียงแต่ว่าตอนที่ไปเชิญฟังซื่อ ฟังซื่อมีท่าทางประหลาดใจและปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
สืออีเหนียงประหลาดใจอย่างมาก แม้จะบอกว่านี่เป็นความต้องการของไท่ฮูหยินแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจของฟังซื่อได้ จึงทำได้เพียงกลับไปรายงานไท่ฮูหยินด้วยความเสียดาย
ไท่ฮูหยินเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อไม่เต็มใจ พวกเราก็อย่าบังคับเลย ข้าว่าเชิญคุณหนูสามสกุลหลินมาเป็นผู้ดำเนินพิธีให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เถิด”
ผู้ที่มาเป็นคนดำเนินพิธี ปกติจะเป็นพี่น้องกับคนที่เข้าพิธีปักปิ่น ซินเจี่ยเอ๋อร์ยังเล็กเกินไป ไม่เหมาะสม ส่วนฟังซื่ออายุเหมาะสมพอดีแต่กลับไม่ตกลง
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วไปยังสกุลหลิน
คุณนายใหญ่สกุลหลินตอบรับเต็มปากเต็มคำ ซ้ำยังยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สกุลเดิมของพวกเราตั้งตารอทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็รอจนวันนี้มาถึง!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็หัวเราะ
เมื่อถึงวันพิธีปักปิ่นของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ไม่เพียงมีแค่คนจากตรอกกงเสียนเท่านั้นที่มา คนจากตรอกหงเติงและคนจากจวนจงฉินปั๋วต่างก็มากันหมด สืออีเหนียงยังเชิญเหวินอี๋เหนียงมาร่วมพิธีด้วย
สวีลิ่งอี๋เป็นประธานในพิธีปักปิ่น
ช่วงที่คุณหนูสามสกุลหลินนำปิ่นปักผมที่ฮองเฮาประทานให้ปักให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
วินาทีนั้น เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มขึ้นพลางน้ำตารินไหล
******
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ทุกคนก็ย้ายไปรับประทานอาหารกลางวันในห้องโถงบุปผาที่อยู่ข้างห้องโถงเตี่ยนชุน
สืออีเหนียงจึงได้มีโอกาสถามหลานถิงว่า “คุณหนูสามคลอดแล้วใช่หรือไม่ ไม่ทราบว่าเป็นคุณหนูหรือว่าคุณชายน้อย”
หลานถิงหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “พึ่งจะได้รับข่าวสารเมื่อคืนนี้ บอกว่าได้คลอดเด็กชายที่หนักห้าจินกว่า!”
“ยินดีกับนางด้วย” สืออีเหนียงพูดอย่างจริงใจว่า “ต่อไปก็จะมีคนคอยอยู่ข้างกายแล้ว!”
หลานถิงพยักหน้า “ข้าก็เกลี้ยกล่อมพี่หญิงสามแบบนี้เช่นกัน ตอนนี้มีซุ่ยเกอแล้ว เช่นนี้พี่เขยสุยก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว!หรือว่าเขาจะยังกล้าให้ท้ายอนุแล้วละเลยภรรยาเอกได้”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ชีเหนียงกับฮูหยินห้าก็กำลังพูดคุยกันอยู่ที่ลานเล็กถัดจากห้องโถงเตี่ยนชุน
“ข้าได้ยินพี่สะใภ้สี่บอกว่าจูอานผิงคุกเข่าให้เจ้าหรือ”
“ไม่ได้คุกเข่าให้ข้าหรอก” ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “คุกเข่าให้พี่หญิงสี่ต่างหาก” พูดจบก็หัวเราะ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจ
ฮูหยินห้าขมวดคิ้วเล็กน้อย อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะฮูหยินห้า นางจะคืนดีกับจูอานผิงได้อย่างไร ทุกครั้งที่พวกเขาทะเลาะกัน ในใจนางก็รู้สึกโศกเศร้ามากเช่นกัน
“เจ้าจะพูดอะไรหรือ” ชีเหนียงดึงแขนเสื้อฮูหยินห้า “ด้วยมิตรภาพของเจ้ากับข้า เรายังมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกันตรงๆ ได้ด้วยหรือ”
