สืออีเหนียงเองก็ได้รับข่าวแล้วเช่นกัน
“ได้อันดับต่ำเกินไปแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างมีนัยยะว่า “ได้ยินมาว่าครั้งนี้รับเพียงสามร้อยสี่สิบคนเท่านั้น”
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็นึกถึงบทกวีคู่ที่แพร่หลายประโยคนั้น ‘การสอบได้บัญฑิตระดับสามไม่ต่างอะไรกับล้างเท้าให้อนุ’ เป็นการเปรียบเทียบระหว่างการล้างเท้าให้อนุภรรยากับบัณฑิตระดับสาม สามารถนึกถึงความลำบากใจและความไร้หนทางของผู้ที่เกิดมาเป็นบัณฑิตระดับสาม แต่ที่แย่ก็คือมันไม่เหมือนกับการสอบเข้ามหาลัย การสอบเข้ามหาลัยหากสอบได้ไม่ดีก็สามารถสอบใหม่ได้ แต่ว่าตำแหน่งบัณฑิตระดับจะติดตัวไปตลอดชีวิต
“บางทีพี่เขยหาอาจจะตอบคำถามการสอบเตี่ยนซื่อได้ดี” นางพูดอย่างมีความหวัง
ต่อให้ตอบได้ดีมากแค่ไหนก็ยากที่จะเลื่อนขึ้นมาเป็นบัณฑิตระดับสอง!
แต่ว่าผลก็ยังไม่ได้ปรากฏออกมา แล้วเหตุใดต้องให้สิ่งไม่ดีเหล่านี้มาทำให้สืออีเหนียงไม่มีความสุขด้วยเล่า
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็จริง อย่างมากก็หนึ่งเดือน ผลสอบเตี้ยนซื่อก็จะออกมาแล้ว อีกอย่างฮ่องเต้เป็นคนตั้งคำถาม ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ในราชสำนัก เฉียนหมิงอยู่ที่เมืองหลวงมาหลายปีและมีประสบการณ์ ไม่แน่อาจจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นบัณฑิตระดับสองก็ได้”
สืออีเหนียงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋กำลังปลอบใจนาง จึงยิ้มพลางพยักหน้า ถามว่าต้องไปแสดงความยินดีที่ตรอกซื่อเซี่ยงหรือไม่
“เจ้าส่งผู้ดูแลหญิงคนสนิทไปเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “รอให้รายชื่อออกมาแล้วข้าค่อยไปแสดงความยินดีกับเขา”
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าเฉียนหมิงจะให้รางวัลเมื่อสอบติด แล้วยังต้องไปเยี่ยมอาจารย์ สหายร่วมชั้นเรียน และเชิญมางานเลี้ยง มีเรื่องต้องใช้เงินเยอะ จึงให้ป้าซ่งนำซองแดงที่ใส่เงินสองร้อยตำลึงไปมอบให้
ป้าซ่งกลับมากระซิบกับนางว่า “คุณหนูห้าโกรธจั๋วเถาจึงคว้าถ้วยชาขว้างจนแตก แล้วยังบอกอีกว่าจะไปเรียกคนซื้อทาสมา นายท่านเฉียนรำคาญจึงหลบไปดื่มสุราอยู่ในห้องครัวเจ้าค่ะ!”
เกรงว่าเป็นเพราะเฉียนหมิงทำข้อสอบได้ไม่ดีจึงใช้เรื่องนี้มาระบายความโกรธกระมัง!
สืออีเหนียงอดขมวดคิ้วไม่ได้
อู่เหนียงเริ่มควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเฉียนหมิงจะได้รับตำแหน่งบัณฑิตระดับสาม ถึงกระนั้นการทำเช่นนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้อย่างนั้นหรือ!
นางยิ่งให้ความสนใจกับเวลาประกาศผลสอบเตี่ยนซื่อและผลการสอบมากขึ้นกว่าเดิม
และในเวลานี้ก็มีข่าวออกมาจากวังว่าฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ให้กำเนิดองค์ชายอย่างราบรื่น
โจวฮูหยินมีความสุขจนทำตัวไม่ถูก แม้ว่าในเวลานี้จะห้ามสัญจรบนถนน แต่นางก็รีบไปที่เหอฮวาหลี่เพื่อบอกข่าวดีกับสืออีเหนียง
“ข้าสวดมนต์ขอพรอยู่ทุกวัน ถึงขั้นยอมลดอายุไขตัวเองไปสิบปี” นางพูดพลางน้ำตาไหลออกมา “นับว่าไท่จื่อเฟยสมความปรารถนาแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นความดีความชอบขององค์ไท่จื่อ มิเช่นนั้นไท่จื่อเฟยจะตั้งครรภ์บุตรถึงสามคนติดต่อกันได้อย่างไร”
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินนางบอกว่ายกความดีความชอบให้ไท่จื่อก็อดหัวเราะไม่ได้ หยิบตุ๊กตาล้มลุกที่จิ่นเกอวางทิ้งไว้บนเตียงเตามาใส่ลงในตะกร้าหวายที่วางอยู่ใต้โต๊ะบนเตียงเตา
โจวฮูหยินอุทานขึ้นมา “เอ๊ะ! แล้วจิ่นเกอไปไหนเล่า เหตุใดถึงไม่เห็นจิ่นเกอเลย” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “จะว่าไปแล้วการที่ไท่จื่อเฟยให้กำเนิดหวงจั่งซุน[1]ได้นั้น ก็ต้องขอบคุณจิ่นเกอเป็นอย่างมาก!” นางยิ้มพลางกำชับชิวอวี่ที่อยู่ข้างๆ “เร็ว รีบไปอุ้มจิ่นเกอมา ข้ามีอั่งเปาซองใหญ่จะมอบให้เขา!”
สืออีเหนียงไม่สบายใจ รีบพูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นวาสนาของไท่จื่อเฟย เกี่ยวอะไรกับจิ่นเกอเล่าเจ้าคะ”
โจวฮูหยินไม่สนใจนาง เอาแต่เร่งชิวอวี่ให้ไปอุ้มจิ่นเกอมา
ชิวอวี่มองสืออีเหนียงเพื่อขอความช่วยเหลือ
สืออีเหนียงเห็นว่าโจวฮูหยินมีความสุข คิดว่าอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องดีจึงพยักหน้าให้ชิวอวี่
ชิวอวี่ย่อเข่ารับคำด้วยความดีใจ “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
โจวฮูหยินหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่พวกกุนซือที่ปรึกษาของฮ่องเต้เหล่านั้นที่เอาแต่เอาดีเข้าตัวแล้วโยนความชั่วให้กับหัวหน้าทั้งหกกรม หากไม่ได้ความโชคดีของจิ่นเกอแล้วจะดึงดูดเซินเกอกับหวงจั่งซุนมาได้อย่างไร…” ขณะที่กำลังพูดชิวอวี่ก็อุ้มจิ่นเกอเข้ามา โจวฮูหยินลงจากเตียงเตาแล้วเดินเข้าไปรับจิ่นเกอมา
“จิ่นเกอ” นางเอ่ยเรียกจิ่นเกอพลางหอมแก้มเขาหนึ่งที “เจ้าช่างมีวาสนาเสียจริง เจ้าได้เป็นท่านอาแล้วรู้หรือไม่”
จิ่นเกอไม่ใช่เด็กขี้อาย เมื่อเห็นว่ามีคนชอบตน เขาก็ยิ้มหน้าบาน
โจวฮูหยินเห็นดังนั้นก็ยิ่งถูกอกถูกใจเข้าไปใหญ่ อุ้มเขาแล้วนั่งลงบนเตียงนั่ง หยิบถุงเงินสีแดงปักลายกวางชมดอกเหมยยัดใส่มือจิ่นเกอ “นี่คืออั่งเปาที่ข้ามอบให้ เจ้าเก็บเอาไว้ใช้”
“พี่หญิงใจกว้างเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อมีความสุขก็จะให้เงินเป็นรางวัล ให้คนรอบข้างได้มีความสุขไปด้วย สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกของโจวฮูหยินดี ยิ้มพลางขอบคุณแทนจิ่นเกอ จิ่นเกอนั่งแกะถุงเงินอยู่ข้างๆ หยิบตาข่ายแดงที่ห่อทองก้อนเล็กๆ ไว้ออกมาจากถุงเงิน มีทั้งหมดแปดก้อน และละก้อนมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วลิสง
เขาดีใจเป็นอย่างมาก ยิ้มพลางยกขึ้นให้สืออีเหนียงดู
แม้ว่าสิ่งนี้จะมีราคาแพงแต่ก็ไม่ใช่ของหายาก
สืออีเหนียงยิ้มพลางผูกไว้ที่เอวของจิ่นเกอ
จิ่นเกอหยิบก้อนทองขึ้นมานั่งเล่นอยู่บนเตียงเตา ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
เมื่อโจวฮูหยินเห็นว่าเขาชอบก็รู้สึกปิติยินดี อุ้มจิ่นเกอมาหอมสองสามที “ไม่แปลกใจเลยที่พอไท่ฮูหยินไม่ได้เจอจิ่นเกอหนึ่งวันในใจก็กระวนกระวาย แม้แต่ข้าเองก็แทบจะอยากอุ้มกลับเรือนเสียด้วยซ้ำ”
สืออีเหนียงกลั้นเสียงหัวเราะ พูดคุยกับโจวฮูหยินเรื่องพิธีสรงสาม “…เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราไปด้วยกันเถิด!”
โจวฮูหยินพยักหน้า เมื่อเห็นว่าจิ่นเกอกำลังดิ้นไปมาเพื่อจะปีนไปบนเตียงเตาขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง นางจึงปล่อยเขา จิ่นเกอทั้งคลานทั้งเดินมุดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง โจวฮูหยินลูบผมสีดำขลับของจิ่นเกอ “แล้วก็ยังมีจิ่นเกอของพวกเราที่ต้องไปด้วยกัน”
เข้าวัง…
สืออีเหนียงเหงื่อแตกพลั่กทันที พูดขึ้นมาว่า “เขาอยู่ในวัยกำลังซุกซน ข้าว่าอย่าไปเลยจะดีกว่า หากไปชนของในวังเข้าจะไม่ดี!”
“ต้องไป ไม่ไปได้อย่างไรกัน!” โจวฮูหยินยืนกราน “เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะช่วยดูเอง จะไม่ให้เขาทำลายของในวังเด็ดขาด”
นางกลัวว่าบุตรชายจะไปซุกซนต่างหาก
สืออีเหนียงตอบตกลงอย่างคลุมเครือ เมื่อถึงวันนั้นกลับมอบจิ่นเกอให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนดูแล โจวฮูหยินบ่นอยู่สองสามประโยค จะส่งคนให้ไปรับจิ่นเกอมาแล้วค่อยเข้าวัง สืออีเหนียงจึงอ้างว่าหากไม่เข้าวังตอนนี้ก็จะสายเพื่อหยุดความคิดของโจวฮูหยิน ใครจะไปรู้ว่าพอเข้ามาในวังฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ถามถึงจิ่นเกอ เมื่อได้ยินสืออีเหนียงบอกว่ากลัวจิ่นเกอจะทำลายข้าวของในวังก็ปิดปากหัวเราะ “จะบอกว่าสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากกว่าจิ่นเกอของพวกเราอย่างนั้นหรือ” แล้วกำชับให้ขันทีไปยังเหอฮวาหลี่เพื่อรับตัวจิ่นเกอมา
องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “อย่าให้จิ่นเกอเข้าวัง เขาทำข้าปวดหูจะตายอยู่แล้ว”
สตรีในห้องที่สวมชุดตี๋อีสีแดง ปักปิ่นบุปผาเก้ายอดต่างมองหน้ากัน ก่อนจะก้มหน้าดื่มชาต่อ
เสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลของฮองเฮาดังขึ้นในห้อง “จิ่นเกอยังเล็ก เขาไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเป็นพี่หญิงก็ต้องยอมให้เขาบ้าง…”
สืออีเหนียงแอบดีใจ ส่งสายตาให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจจึงส่งสายตาให้โจวฮูหยินต่อ
โจวฮูหยินรอให้ฮองเฮาพูดจบ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “สำนักดาราศาสตร์กำหนดฤกษ์มงคลไว้ยามไหน ต้องเริ่มอาบน้ำให้หวงจั่งซุนเลยหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงฉังหนิงรับบทต่อ กำชับนางในว่า “ไปดูสิว่ายามไหนแล้ว”
นางในย่อเข่ารับคำ “เพคะ” แล้วรีบเดินออกไป
องค์หญิงฉังหนิงพูดถึงพิธีสรงสามของเริ่นคุน “…ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจ นับว่าหวงจั่งซุนมีวาสนา เกิดในเดือนสี่ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ผลิที่อากาศอบอุ่น…”
ทุกคนคุยไปหัวเราะไปเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดเมื่อครู่ และเริ่มต้นบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองตัวเองอยู่เป็นเวลานาน
นางแสดงสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเหลือบมองด้วยหางตาอย่างรวดเร็ว
เป็นเจียงจิ่นขุยที่ยืนอยู่ด้านข้างขององค์หญิงฉังหนิง
สีหน้าของนางดูไม่มีชีวิตชีวา ยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงฉังหนิง ดูต่ำต้อยยิ่งกว่านางในที่ยืนอยู่ข้างๆ เสียอีก
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
นางนึกขึ้นได้ว่าเจียงจิ่นขุยเป็นคนเริ่มเข้ามาทักทายนางก่อน แล้วนึกถึงวิธีการฆ่าหวังหลังของเริ่นคุน สุดท้ายก็เลยตัดสินใจแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ยิ้มพลางฟังบรรดาสตรีในตำหนักพูดคุยกัน
มีนางในวิ่งเข้ามากระซิบกับฟังเจี่ยเอ๋อร์สองสามประโยค
สายตาของฟังเจี่ยเอ๋อร์มองไปที่สืออีเหนียง จากนั้นก็ส่ายหน้าเบาๆ ตอบกลับนางในผู้นั้นสองสามประโยค นางในได้ยินดังนั้นก็ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
ฮองเฮาแอบเหลือบมองสืออีเหนียง
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย มองไปทางโจวฮูหยิน
โจวฮูหยินพยักหน้าให้นางเบาๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง
สืออีเหนียงไม่กล้าประมาท แม้ว่าบรรยากาศพิธีสรงสามจะครึกครื้น แต่นางทำเพียงยืนอยู่ข้างไท่ฮูหยินตามกฏระเบียบ ถ่อมตนได้เท่าไรก็ยิ่งดี กว่าจะอดทนอยู่จนถึงตอนที่ขันทีมาเชิญทุกคนไปทานบะหมี่อายุยืนของหวงจั่งซุนนั้นไม่ง่ายเลย นางเห็นว่าโจวฮูหยินนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน พวกนางออกมาจากพระตำหนักหน่วนเก๋อแล้วแต่โจวฮูหยินก็ยังไม่ออกมา จึงได้ตัดสินใจพยุงไท่ฮูหยินไปที่ห้องโถงข้างพระตำหนัก
พอทุกคนนั่งลงกับที่กันหมดแล้วโจวฮูหยินก็เดินเข้ามา ขยิบตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อทานบะหมี่อายุยืนเสร็จทุกคนก็ไปกล่าวลาฟังเจี่ยเอ๋อร์
ไปๆ มาๆ สืออีเหนียงก็ไปเดินอยู่กับโจวฮูหยิน
“ไม่มีอะไร” โจวฮูหยินพูดเสียงเบา “องค์ไท่จื่อส่งคนมาถามว่าจิ่นเกอได้มาด้วยหรือไม่ อยากจะให้คนอุ้มจิ่นเกอไปให้ดูสักหน่อย” แล้วบ่นขึ้นมาว่า “ข้าบอกให้เจ้าพาจิ่นเกอเข้าวังมาด้วยเจ้าก็ไม่ฟัง เสียโอกาสไปพบไท่จื่อเลย”
“ใครจะไปรู้ว่าจะมีโอกาสเช่นนี้” สืออีเหนียงหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “ต่อให้ข้าเสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน ก็มีเสียงคนตะโกนเรียกสืออีเหนียงเบาๆ “หย่งผิงโหวฮูหยิน!”
สืออีเหนียงหันกลับไปด้วยความสงสัย
เจียงจิ่นขุยยืนอยู่ข้างเสาสีแดง จ้องมองนางอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สืออีเหนียงอดมองหาองค์หญิงฉังหนิงไม่ได้ ก็เห็นว่าองค์หญิงฉังหนิงกำลังเดินอยู่ข้างหลังฮองเฮา กำลังฟังฮองเฮาพูดอย่างตั้งใจ
เจียงจิ่นขุยมาหาตนทำไมกัน
“เริ่นฮูหยิน!” สืออีเหนียงสงสัยอยู่ในใจ ลังเลว่าจะทักทายนางดีหรือไม่
“ข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า” นางมองซ้ายมองขวาราวกับกลัวว่าจะมีคนมาพบเข้า
โจวฮูหยินยิ้มให้สืออีเหนียงแล้วรีบเดินตามองค์หญิงหย่งอานที่อยู่ข้างหน้าไป “องค์หญิง เหตุใดวันนี้ถึงมาคนเดียวเล่าเพคะ…” พูดพลางสาวเท้าเดินไปข้างหน้า
สืออีเหนียงหยุดฝีเท้าลง ยิ้มแล้วพูดว่า “เริ่นฮูหยินมีเรื่องอันใดหรือ”
เจียงจิ่นขุยกัดริมฝีปาก พูดเสียงเบาว่า “สะใภ้ฟังของพวกเจ้า นาง…นางมีดวงพิฆาตสามี!”
สืออีเหนียงไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจของตัวเองเอาไว้ได้ มองดูเจียงจิ่นขุยอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สายตาของเจียงจิ่นขุยมีเพียงความกังวล ท่าทางที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“จริงๆ นะ ข้าไม่ได้หลอกเจ้า” เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงมองนางด้วยสายตาแหลมคมราวกับมีด ก็สะดุ้งเล็กน้อย พูดพึมพำว่า “สกุลข้ากับสกุลพวกเขามีความสัมพันธ์จากการแต่งงาน เจ้าเองก็เป็นคนเจียงหนาน อีกอย่างอวี๋หังก็อยู่ไม่ไกลจากหูโจว หากเจ้าไม่เชื่อก็ส่งคนไปถามที่หูโจวก็ได้ คนที่เคยหมั้นหมายกับนางก่อนหน้านี้แซ่หูจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ในหนิงไห่ เป็นหลายชายสกุลเดิมของนายหญิงผู้เฒ่าสกุลฟัง ต่อมาก็ได้หมั้นหมายกับคนแซ่ฮั่วจากหูโจว แต่คุณชายทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งคู่ เจ้าก็ควรระวังไว้ ประเดี๋ยวจะไปติดความโชคร้ายจากนางได้” น้ำเสียงฟังดูจริงใจเป็นอย่างมาก
[1]หวงจั่งซุน หลานชายคนโตของฮ่องเต้
