บอกว่าหมั้นหมายมาแล้วหลายครั้ง คนที่หมั้นหมายมีใครบ้าง พูดอย่างชัดเจน กระทั่งแนะนำให้สืออีเหนียงส่งคนไปสืบดูที่หูโจว
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าฟังซื่อแต่งกับสกุลที่บรรดาศักดิ์ต่ำกว่า นึกถึงเงื่อนไขในตอนนั้นของสกุลฟังที่จำเป็นต้องตอบตกลง…ดูเหมือนว่าจะมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล นางเชื่อว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีที่มาที่ไป
แต่ว่าทำไมเจียงจิ่นขุยถึงทำเช่นนี้
ถ้าจะบอกว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง แต่นางก็นึกไม่ออกว่าฟังซื่อกับเจียงจิ่นขุยมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์อย่างไร หากเป็นการเตือนนางด้วยความหวังดี นางกับเจียงจิ่นขุยก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีมิตรภาพเช่นนั้นต่อกัน หรือว่าเจียงจิ่นขุยว่างจนไม่มีอะไรทำก็เลยอยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วสำรวจมองเจียงจิ่นขุยอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
เจียงจิ่นขุยขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเหลือบมองต่ำ พูดพึมพำว่า “ถ้าหากสกุลเจ้ารู้เรื่องนี้ พวกเขาจะไม่เกี่ยวดองกับสกุลฟังอย่างแน่นอน แต่ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ นะ” จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับ “ข้าขอตัวก่อน!” น้ำเสียงเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก เดินผ่านนางไป
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็เริ่มเข้าใจเจียงจิ่นขุยขึ้นมาบ้างแล้ว
เดินทางมาหลายพันลี้เพื่อแต่งเข้าจวนองค์หญิง แม่สามีฐานะสูงศักดิ์และเพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน ส่วนสามีเป็นคนมีแผนการชั่วร้าย หลอกลวงและเย่อหยิ่ง มีงานอดิเรกที่ทุกคนรู้จักก็คือทำให้คนต้องอับอาย นางเป็นเหมือนกับเครื่องประดับที่ล้าสมัย ไม่เพียงแต่หาที่ยืนในจวนขององค์หญิงไม่ได้ ซ้ำยังมีชีวิตที่ต้อยต่ำและโดดเดี่ยว ในชีวิตที่น่าเบื่อและไม่มีชีวิตชีวา จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวลือที่ทำให้คนสนใจอยากรู้อยากเห็น…ราวกับกับวัชพืชที่ค่อยๆ เติบโตและแพร่กระจายในใจนาง…นางจะทนได้อย่างไร!
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ได้หลอกข้า” สืออีเหนียงดึงแขนเสื้อของเจียงจิ่นขุย “เรื่องนี้ยังมีใครรู้อีกบ้าง” เสียงของนางเบาราวเสียงกระซิบ แต่ค่อนข้างจริงจัง
เจียงจิ่นขุยหันกลับมา ดวงตาเปล่งประกาย รีบพูดขึ้นมาว่า “นอกจากข้าก็คงไม่มีใครรู้แล้ว! ไม่ใช่สิ ในเยี่ยนจิงยังไม่มีใครรู้ แม้แต่ในหูโจวก็ไม่ค่อยมีใครรู้ หากข้าไม่ถาม แม่ของข้าก็คงไม่พูดกับข้าเรื่องนี้…พวกเราก็ไม่ใช่คนพูดมาก…”
จากคำอธิบายที่ดูสับสนของนาง สืออีเหนียงได้รับข้อมูลมากพอแล้ว
ประการแรกเจียงจิ่นขุยรู้เรื่องนี้ได้ยังไม่นาน ซ้ำยังเป็นเรื่องที่รู้เข้าโดยบังเอิญ แล้วก็ไม่ได้ไปพูดกับคนอื่น ประการที่สองข่าวลือว่าฟังซื่อมีดวงพิฆาตสามีนั้นแพร่กระจายในหมู่ญาติบางคนเท่านั้น ไม่ได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง มิเช่นนั้นสกุลฟังก็คงจะไม่กล้าให้บุตรสาวแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่
“ขอบคุณเจ้าที่บอกเรื่องนี้กับข้า” นางมองเจียงจิ่นขุยอย่างตรงไปตรงมา “รบกวนเจ้าช่วยเก็บความลับนี้ให้สกุลเราด้วย…”
สืออีเหนียงยังพูดไม่ทันจบ เจียงจิ่นขุยก็รีบพยักหน้า “เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ขอบเขตดี ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น” จากนั้นก็เน้นย้ำอีกว่า “แม้แต่องค์หญิงข้าก็จะไม่บอก” แล้วพูดต่อไปว่า “เจ้ารีบคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้เถิด! กระดาษห่อไฟไว้ไม่อยู่หรอก ในเยี่ยนจิงมีขุนนางหลายคนที่เป็นคนเจียงหนาน ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้จะต้องแพร่กระจายออกไป เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะต้องรอดูความครึกครื้นของตระกูลเจ้าอย่างแน่นอน” รีบพูดต่ออีกว่า “องค์หญิงเข้าตำหนักหลวงไปแล้ว ข้าไม่มีเวลาคุยกับเจ้าแล้ว หากเจ้ามีเรื่องอันใดจะถามข้าก็ให้คนนำเทียบเชิญมาส่งให้ข้า แม้ว่าสามีข้าจะมีเรื่องขัดยังกับจวนเม่ากั๋วกงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เห็นจวนเม่ากั๋วกงอยู่ในสายตา กลับให้ความสำคัญกับท่านโหวเป็นอย่างมาก หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนเชิญข้า ท่านพี่จะต้องให้ข้าไปอย่างแน่นอน หากเป็นเรื่องที่ท่านพี่อนุญาตแล้ว องค์หญิงไม่กล้าคัดค้านอย่างแน่นอน” ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงแล้วย้ำอีกครั้งว่า “ข้าต้องไปแล้ว” จากนั้นก็รีบเดินไปที่ตำหนักหลวง
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่เชื่อเรื่องดวงพิฆาตสามี ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของสวีซื่อฉินกับฟังซื่อตั้งแต่หมั้นหมายจนถึงแต่งงานก็เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว ถ้าหากฟังซื่อมีดวงพิฆาตสามีจริงๆ สวีซื่อฉินจะยังมีชีวิตชีวากระโดดโลดเต้นเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร
ไม่รู้ว่าฮูหยินสามจะรู้เรื่องนี้หรือไม่
หากรู้แล้วก็จะเป็นเรื่องดี ทุกคนจะได้คิดหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้
แต่ถ้าไม่รู้…
เมื่อนางนึกถึงสีหน้าภาคภูมิใจของฮูหยินสามตอนที่สู่ขอลูกสะใภ้คนโตก็อดปวดหัวไม่ได้
เมื่อถึงเวลานั้นเรือนสามจะสร้างปัญหาอะไรบ้างก็ไม่รู้!
เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
สืออีเหนียงหยุดความคิดแล้วรีบเดินไปที่ตำหนักหลวง
โจวฮูหยินหาโอกาสไปกระซิบถามนาง “เจียงจิ่นขุยมาหาเจ้ามีเรื่องอันใด” พูดจบก็ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบ พูดขึ้นมาว่า “ข้าเห็นนางก็อดกังวลไม่ได้ สามีก็เป็นเช่นนั้นแล้ว แต่นางกลับทำตัวเหมือนกลัวว่าจะเหยียบมดตาย หากคนอื่นเห็นเข้าก็จะมองนางด้วยความเหยียดหยาม ไม่แปลกที่องค์หญิงฉังหนิงจะโมโหอยู่บ่อยๆ พอพูดถึงนางก็เอาแต่ส่ายหน้า”
สุดท้ายก็กลายเป็นวงจรอุบาทว์ ยิ่งนางด้อยค่าตัวเองก็จะยิ่งกลัว ยิ่งนางหวาดกลัวก็ยิ่งดูขี้ขลาด ยิ่งถูกสามีและแม่สามีตำหนินางก็จะยิ่งด้อยค่าตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ …
“ก็ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “บอกว่าพวกเราต่างก็มาจากเจียงหนานแล้วแต่งเข้ามาที่เยี่ยนจิง หากมีเวลาว่างก็ให้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ”
“ไอ๊หยา!” โจวฮูหยินอุทานด้วยความสงสัย “นางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร” ยังไม่ทันได้พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของไท่จื่อเฟยดังขึ้น
ทั้งสองคนหยุดบทสนทนาแล้วเข้าไปรวมกลุ่ม
******
เมื่อกลับมาถึงเรือนสืออีเหนียงก็เอาแต่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
รู้สึกว่ามันเหมือนกับระเบิดเวลาที่ทำให้คนไม่สบายใจเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋นึกว่านางกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวังวันนี้ สวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นนั่งคุยกับนาง “…ฮองเฮาเป็นคนมีเหตุผลไม่เก็บคำพูดขององค์หญิงใหญ่มาใส่ใจอย่างแน่นอน เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี ต่อไปในวังก็จะไม่เรียกจิ่นเกอเข้าวังโดยไม่มีเหตุผล จิ่นเกอก็จะได้ไม่ต้องคอยระมัดระวัง รอให้เขาโตสักหน่อย รู้จักควบคุมอารมณ์แล้วค่อยไปคารวะฮ่องเต้กับฮองเฮาก็ยังไม่สาย”
บางเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน สืออีเหนียงไม่อยากจะบอกสวีลิ่งอี๋ตอนนี้
“เป็นข้าที่กังวลมากเกินไป” สืออีเหนียงสงบจิตสงบใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าทำให้ท่านโหวต้องตื่น พรุ่งนี้ท่านยังต้องพาจุนเกอไปจวนเฉินเก๋อเหล่าแต่เช้าตรู่!”
เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ก็ถึงตาสวีลิ่งอี๋ที่ต้องเป็นฝ่ายกังวลบ้างแล้ว
“เจ้าว่าจะเลือกบ่าวรับใช้ดีๆ ให้จุนเกอสักคนดีหรือไม่” พูดพึมพำว่า “ข้าเห็นว่าคนที่อยู่รอบกายเขาไม่มีใครที่ออกความคิดเห็นได้เลยสักคน”
“คนเช่นนี้หาได้ยาก” หลายวันมานี้สวีซื่อจุนมักจะออกไปสังสรรค์กับสวีลิ่งอี๋ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นของเขาพัฒนาขึ้นมาก แต่เขาไม่กระตือรือร้น ฟังจากที่สวีลิ่งอี๋บอก เขาเพียงทำไปตามคำสั่ง เวลาอยู่กับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหรือคนที่อายุน้อยกว่าเขาก็ถือว่าทำได้ดี แต่หากต้องพบกับผู้อาวุโสที่น่าเกรงขาม ก็จะเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจมากจึงพาเขาออกไปนอกจวนบ่อยขึ้น สืออีเหนียงก็รู้สึกว่าสวีซื่อจุนต้องการโอกาสในการฝึกฝนมากขึ้น และค่อนข้างสนับสนุนให้สวีลิ่งอี๋พาเขาไปเยี่ยมขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักหรือไปร่วมงานเลี้ยง นางนึกถึงหลินปัวกับจ้าวอิ่ง ด้วยอายุของพวกเขาอีกไม่กี่วันก็จะต้องไปทำงานที่เรือนนอกแล้ว นางแนะนำว่า “ให้คนใดคนหนึ่งระหว่างหลินปัวกับจ้าวอิ่งมาอยู่ข้างกายจุนเกอ ท่านว่าดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “สองคนนี้รับใช้ข้ามาตั้งแต่อายุเจ็ดแปดปี ย่อมกระทำการต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เพียงแต่ว่าทางฝั่งของฝูเจี้ยนเป็นเมืองที่ผู้คนมีเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบาย อีกอย่างสองคนนี้ก็จะไปกว่างตงในอีกไม่กี่วันแล้ว…” สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ผิดต่อซื่อจื่อที่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะปฏิเสธ แต่น้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความลังเลอยู่บ้าง
สืออีเหนียงแอบตกใจ รีบหยัดกายลุกขึ้นนั่ง “ท่านโหว หรือว่าสกุลโอว…”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางสวมเพียงแค่ชุดลำลองจึงถอดเสื้อแล้วคลุมให้นาง พูดเสียงเบาว่า “การกระทำขึ้นอยู่กับคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้า”
พูดอย่างชัดเจนแล้ว
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย จับมือสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว พวกเราจะต้องสมปรารถนาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ ลูบศีรษะนาง “รีบนอนเถิด! ช่วงนี้จิ่นเกอเริ่มดื้อขึ้นเรื่อยๆ หากเจ้ารู้สึกเหนื่อยก็ให้สาวใช้น้อยกับป้ารับใช้เหล่านั้นเล่นเป็นเพื่อนเขาก็พอแล้ว อย่าไปฝืน หากป่วยขึ้นมาจะยิ่งวุ่นวาย”
สืออีเหนียงรับปากพลางล้มตัวนอนลง พูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ต่อ “ในเมื่อต่อไปนี้หลินปัวกับจ้าวอิ่งไม่สามารถอยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านได้แล้ว เช่นนั้นท่านจะเลือกบ่าวรับใช้ข้างกายคนใหม่เมื่อไร เลือกให้จุนเกอสักคนด้วยเลยดีหรือไม่ เขาเป็นซื่อจื่อ ในสถานการณ์คับขันจะได้ช่วยเหลือเขาได้…”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องในครอบครัวแล้วหลับไป
วันรุ่งขึ้นตอนที่สวีซื่ออวี้มาคารวะ สืออีเหนียงถามเขาว่า “เรื่องที่อาจารย์เจียงมอบหมายให้เจ้าทำไปถึงไหนแล้ว”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางพูดว่า “โชคดีที่มีพี่ใหญ่ฟังคอยช่วยเหลือ ตอนนี้ก็รอเพียงแค่ข้อสอบเตี่ยนซื่อออกมาขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หากพวกเจ้าจัดการกันเสร็จแล้วก็เชิญคุณชายฟังมาทานอาหารที่จวนสักมื้อเถิด! ถือว่าเป็นการขอบคุณเขา”
สวีซื่ออวี้ขานรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ”
เสียงร้องไห้ของจิ่นเกอดังมาจากด้านนอก
ทั้งสองคนตกใจรีบออกจากห้องด้านใน
เห็นจิ่นเกอยืนอยู่กลางห้องโถงคนเดียว ร้องไห้หน้าแดงหันไปทางผ้าม่านประตู บรรดาสาวใช้น้อยที่คอยรับใช้พากันยืนล้อมรอบเขาแต่ไม่กล้าเดินเข้าไป แม่นมกู้นั่งลงปลอบเขาแต่กลับถูกเขาตบหน้า
สืออีเหนียงไม่เคยเห็นจิ่นเกออารมณ์เสียเช่นนี้มาก่อน นางนั่งลงแล้วคว้าตัวจิ่นเกอ กำลังจะไต่ถามแม่นมกู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ได้ยินเสียงสวีซื่ออวี้ตะโกนใส่แม่นมกู้ “เจ้าเป็นแม่นมประสาอะไร ปล่อยให้คุณชายน้อยหกร้องไห้เช่นนี้!” น้ำเสียงดุดันอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่าว่าแต่แม่นมกู้เลย แม้แต่สืออีเหนียงก็ยังมองสวีซื่ออวี้ด้วยความตกใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนก็สงบลง มีเพียงเสียงร้องไห้ของจิ่นเกอที่ดังขึ้นกว่าเดิมราวกับว่าโลกจะแตกสลาย
เมื่อผ้าม่านเปิดออกสวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
เขาปักปิ่นหยกขาวสวมเสื้อคลุมสีคราม ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วเอามือไขว้หลัง เหมือนมีไอเย็นเสียดแทงเข้ากระดูก ทำเอาบ่าวรับใช้ในเรือนต่างก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
สวีซื่อจุนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยังรับรู้ถึงความไม่พอใจของบิดา ยืนอยู่หน้าประตูอย่างทำตัวไม่ถูก
สืออีเหนียงรีบอุ้มจิ่นเกอแล้วยืนขึ้น “เจ้าตัวเล็กอารมณ์ไม่ดี ข้าโอ๋สักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านโหวรีบออกเดินทางเถิดจะได้ไม่เป็นการรบกวนธุระสำคัญของท่าน”
แม้ว่าจิ่นเกอจะอายุเพียงหนึ่งขวบกว่า แต่น้ำหนักกลับเหมือนเด็กอายุสองขวบ สืออีเหนียงให้เขาหยุดนมแล้วทานผักผลไม้และเนื้อสัตว์แทน ผิวขาวสีแดงระเรื่อ ร่างกายแข็งแรงจนนางอุ้มแทบไม่ไหวแล้ว
พูดพลางนั่งลงบนเตียงเตาริมหน้าต่าง
เสียงงอแงของจิ่นเกอค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ เขาสะอื้นพลางซบลงบนไหล่ของสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า หันหลังกำลังจะเดินออกไป
จิ่นเกอก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นมาอีก
ร้องไห้พลางตะโกนเสียงดังว่า “ข้าอยากหาท่านพ่อ ข้าอยากหาท่านพ่อ!”
พูดห้าพยางค์อย่างชัดเจน
ทุกคนในห้องล้วนพากันตกตะลึง
โดยเฉพาะสืออีเหนียง น้ำตาของนางรินไหลออกมา วางจิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนลงบนเตียงเตา แล้วมองดูเขาอย่างจริงจัง “จิ่นเกอ เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไร” สีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
จิ่นเกอไม่เหลือบมองสืออีเหนียงแม้แต่นิดเดียว ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ข้าอยากหาท่านพ่อ…”
สวีลิ่งอี๋ทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาอุ้มจิ่นเกอไว้ในอ้อมแขน “เอาล่ะๆๆ เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว!”
